บทที่ 44 ต้องทำอย่างพอประมาณ
เช้าวันต่อมา ทั้งสามก็เก็บข้าวของแล้วออกเดินทางก่อนฟ้าจะมืด
บริเวณที่พวกเขาจะไปในครั้งนี้คือเมืองมนุษย์ของตระกูลสวี แม้สถานที่ดังกล่าวจะอยู่ในโลกเซียนเช่นกัน แต่ปราณวิญญาณที่นี่กลับเบาบาง ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนจึงไม่เต็มใจที่จะอาศัยที่นี่ ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ที่ตระกูลสวีให้มนุษย์ตั้งรกราก
มนุษย์ยังคงมีผลบางอย่างสำหรับผู้บำเพ็ญเซียน
ยกตัวอย่างเช่น มีดินแดนวิญญาณที่มนุษย์สามารถปลูกข้าววิญญาณและโอสถวิญญาณคุณภาพต่ำได้
ยิ่งกว่านั้น มนุษย์ยังมีโอกาสบางอย่างที่จะให้กำเนิดเด็กที่มีรากฐานวิญญาณ ซึ่งในแต่ละปี ตระกูลสวีพบเด็กหลายสิบคนที่มีรากฐานวิญญาณในเมืองมนุษย์ที่พวกเขาควบคุมได้
อย่าได้ดูถูกจำนวนเพียงสิบคนเป็นอันขาด เพราะมันจะกลายเป็นหนึ่งร้อยในเวลาเพียงสิบปีเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญเซียนมีอายุขัยยืนยาว ประกอบกับมีพวกเขาเข้าร่วมทุกปี ทำให้ตระกูลนี้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าเขตเยี่ยนหลินซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฟางตระกูลสวีมากกว่าสองพันลี้ ด้วยการฝึกตนของสวี่หยาง ระยะทางดังกล่าวต้องใช้เวลาประมาณห้าวัน
เพื่อความปลอดภัย พวกเขาทั้งสามเดินทางไปแผ่นดินใหญ่ร่วมกับคาราวานของตระกูลสวีซึ่งปลอดภัยกว่า
ตกกลางคืน พวกเขากางกระโจมโดยมีสวี่หยางกับเสิ่นม่านอวิ๋นผลัดกันเฝ้าระวัง
คืนนี้เป็นคืนแรก
ขณะเสิ่นม่านอวิ๋นเฝ้าระวัง สวี่หยางนอนอยู่ในกระโจมเพื่อสร้างความสำราญให้กับหลินอวี้อย่างเร่าร้อน
แน่นอนว่าหลินอวี้ชอบความรู้สึกอันแสนตื่นเต้นนี้ก่อนจะยอมปล่อยกายใจอย่างรวดเร็ว ทำให้ผ้าห่มเปียกโชกพร้อมกับมีกลิ่นอบอวลไปทั่วกระโจมจนต้องรีบทำการระบายอากาศ
เสิ่นม่านอวิ๋นไม่ใช่คนโง่เช่นกัน หลังจากได้กลิ่นแล้ว นางก็เข้าใจทันทีว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลังจากเงียบไปสักพัก นางมองสวี่หยางผู้เดินออกมาก่อนจะเอ่ย “สหายเต๋าสวี่ช่างปล่อยตัวปล่อยใจเหลือเกิน เจ้าถึงขั้นทำเรื่องอย่างว่าขณะทำภารกิจในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้”
“ราตรียังอีกยาวไกล ข้าก็เลยอยากให้อวี้เอ๋อร์ได้นอนหลับฝันดีเสียหน่อยน่ะ”
เสิ่นม่านอวิ๋นกลอกตา “สหายเต๋าสวี่ช่างหาข้ออ้างเก่งเหลือเกิน”
“อวิ๋นเอ๋อร์ เข้ามานั่งก่อนสิ”
ข้างต้นไม้ สวี่หยางสวมกอดเสิ่นม่านอวิ๋นพลางคลอเคลียไปด้วย
“สหายเต๋าสวี่ เมื่อครู่เจ้ายังไม่หนำใจอีกหรือถึงได้ตั้งชูชันเช่นนี้”
เสิ่นม่านอวิ๋นสัมผัสมันเพื่อทดสอบความอดทนของสวี่หยาง
“ถึงข้าจะเข้าใจว่าเจ้าชอบเสพสังวาส แต่ก็ต้องทำอย่างพอประมาณ”
สวี่หยางบีบแก้มนุ่มของเสิ่นม่านอวิ๋นก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงเรื่องความแข็งแรงทางร่างกายของข้า เมื่อพวกเราแต่งงานกันอย่างเป็นทางการแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความรู้สึกยอมจำนนทุกวันเอง”
สิ้นคำ เสิ่นม่านอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะหนีบต้นขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่อ่อนข้อ “เอาเถอะ ข้าอยากรู้นักว่าใครกันแน่ที่จะยอมจำนน!”
น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ถึงอย่างไรในความเห็นของนาง ตนกับหลินอวี้มีกันอยู่สองคน หากอยู่ด้วยกัน พวกนางไม่เชื่อว่าจะเอาสวี่หยางไม่อยู่
หากเอาไม่อยู่จริง นางก็ยังมีปากอยู่ ซึ่งทักษะของนางก็นับว่าไร้เทียมทาน
ฟิ่ว ฟิ่ว…
ทันใดนั้น ลมสีดำก็พัดผ่านท้องนภา
คาราวานที่พวกเขาติดตามมีมากกว่าสามสิบคน ซึ่งในหมู่พวกเขามีแปดคนที่ประจำการอยู่ในเขตเยี่ยนหลิน
“ลมแรงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ทุกคนระวังตัว!”
“เปิดค่ายกลป้องกัน”
ผู้นำคาราวานของตระกูลสวีคือผู้บำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเก้านามว่าสวีอันเซิง แม้จะมีอายุแปดสิบปีแล้วแต่ก็พลาดยุคทองของขอบเขตสร้างรากฐานไป เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่สามารถสร้างรากฐานได้อีก
เขาถ่ายทอดคำสั่งก่อนปรมาจารย์ค่ายกลทั้งสี่จะควบคุมธงค่ายกล แล้วชั้นหมอกบางก็ปรากฏเหนือกลุ่มคน
นี่คือค่ายกลชั่วคราว แม้จะไม่ใช่ของระดับสูงและไม่สามารถมอบการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดได้ แต่ก็สามารถทำการตักเตือนผู้บุกรุกได้
เมื่อค่ายกลปรากฏ ลมสีดำก็กระแทกเข้าใส่จนเกิดระลอกคลื่น หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ผู้อาวุโสอันเซิง ดูเหมือนลมประหลาดนั่นจะเกิดจากปราณฟ้าดินอันขุ่นมัวในถิ่นทุรกันดาร”
ศิษย์ตระกูลสวีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ขณะสวี่หยางถอนหายใจ ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจำนวนมากที่เคลื่อนผ่านท้องนภา
“ทุกคนระวัง มีคนอยู่ข้างนอก!”
สีหน้าของสวี่หยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตอนแรกสวีอันเซิงยังคงผ่อนคลาย แต่เมื่อได้ยินเสียงของสวี่หยาง เขาก็หยิบดาบขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร “ทุกคนระวังตัว”
“สหายเต๋าสวี่ เจ้าพบอะไรบ้าง?”
ใครบางคนถาม
ก่อนสวี่หยางจะทันได้ตอบก็มีเสียง ‘ซู่ซู่ซู่…’
เสียงเสียดแทงหูสองเสียงแหวกผ่านอากาศ แล้วอาวุธลับคล้ายตะปูจำนวนมากก็ปรากฏจากอากาศธาตุ
เพียงพริบตา อาวุธลับเหล่านี้ก็ทะลวงผ่านค่ายกลป้องกันก่อนจะเข้าถึงตัวของกลุ่มผู้บำเพ็ญตระกูลสวี
“ศัตรู”
สีหน้าของสวีอันเซิงเปลี่ยนไปมาก เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดขณะฟาดฟันดาบในมือ เมื่อแสงสว่างวาบไหว อาวุธลับหนึ่งในสามซึ่งอยู่บนท้องนภาก็แตกสลาย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน