ตอนที่ 5 กระดานค่ายกลเปื้อนเลือด
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินอวี้ได้มาเยือนตลาดแห่งนี้ จึงให้ความรู้สึกแปลกใหม่เป็นพิเศษ
ตามคำบอกเล่าของนาง ผู้เป็นบิดาเคยพาออกไปข้างนอก แต่ตนไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก
ทว่าเบื้องหน้าของทั้งสองคน ณ ยามนี้คือเถ้าแก่สวี และเมื่อเห็นสวี่หยางแวะเวียนเข้ามา เขาก็เผยรอยยิ้มการค้าบนใบหน้าทันที
“สหายเต๋าสวี่ คราวนี้เจ้าพาภรรยามาด้วยหรือ?”
“ใช่ พวกเราเพิ่งแต่งงานกันเลยพามาทำความคุ้นเคยกับสิ่งรอบตัวเสียหน่อย”
เมื่อเห็นว่าหลินอวี้เป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่มีพลังวิญญาณ เถ้าแก่สวีก็เมินเฉยทันที
สวี่หยางหยิบหญ้าหลิงซวีออกมายี่สิบสี่ต้น ทำให้ดวงตาของเถ้าแก่สวีทอประกายวาว เนื่องจากพวกมันล้วนมีอายุหนึ่งปี
เถ้าแก่สวีเผยรอยยิ้มสดใสขณะในใจประเมินค่าสวี่หยางเพิ่มขึ้น ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็สามารถปลูกหญ้าหลิงซวีที่มีอายุหนึ่งปีได้ ซึ่งหมายความว่าเคล็ดปลูกถ่ายวิญญาณจะต้องอยู่ขั้นกลางระดับหนึ่งหรือแม้แต่ขั้นสูงระดับหนึ่งเป็นอย่างน้อย
“สหายเต๋าสวี่ มูลค่าของพวกมันเท่ากับหินวิญญาณราวยี่สิบแปดก้อนกับเศษหินวิญญาณแปดสิบก้อน…”
“ช่วยปัดเป็นเลขกลมสักสามสิบก้อนที” สวี่หยางเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “ข้าจะซื้อเมล็ดพันธุ์คืนจากเจ้าทีหลัง แล้วร่วมมือกันมากขึ้นในอนาคตเป็นอย่างไร?”
เถ้าแก่สวีเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ได้ ข้าจะไว้หน้าสหายเต๋าสวี่สักครั้ง หากภายภาคหน้าต้องการขายของดีอีกก็มาหาข้าได้”
หลังจากนั้น สวี่หยางก็ซื้อต้นกล้าเสาวรส
เสาวรสคือผลไม้วิญญาณขั้นกลางระดับหนึ่ง ต้นกล้าผลไม้หนึ่งต้นสามารถให้ผลผลิตได้มากสุดหนึ่งถึงสามลูก หากกินมันเข้าไปก็จะสามารถเพิ่มปราณวิญญาณซึ่งช่วยในการยกระดับการฝึกตนได้
ผลไม้หนึ่งลูกมีค่าประมาณหินวิญญาณห้าก้อน
ว่ากันว่าตระกูลใหญ่เป็นผู้ผูกขาดการซื้อขายเมล็ดของต้นกล้าผลไม้ดังกล่าว ดังนั้นหากต้องการปลูกพวกมันก็ทำได้เพียงซื้อต้นกล้าผลไม้ในราคาเท่ากับหินวิญญาณสามก้อนต่อหนึ่งต้นเท่านั้น
แม้การปลูกเสาวรสจะให้ผลกำไรสูง และสามารถเก็บเกี่ยวผลไม้วิญญาณได้หนึ่งลูกต่อหนึ่งต้น เขาก็ยังมีรายได้เท่ากับหินวิญญาณสองก้อน แต่ปัญหาก็คือเสาวรสดูแลรักษายาก จำเป็นต้องใช้ความพยายามไม่น้อย
กอปรกับทันทีที่โตเต็มที่ กลิ่นหอมของมันจะดึงดูดนกได้ง่าย ดังนั้นผู้ปลูกถ่ายวิญญาณที่อ่อนแอจึงไม่กล้าปลูกผลไม้ชนิดนี้
ครั้งนี้สวี่หยางต้องการลองทำเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปลูกเสาวรสและใช้คะแนนพิเศษเพื่อกระตุ้นการเติบโตเข้าไป
หากได้ผลตอบแทนสูงก็คงดีไม่น้อย
“เถ้าแก่ ข้าอยากซื้อยาที่ช่วยพัฒนาการฝึกตนให้มนุษย์เสียหน่อย” สวี่หยางถามอีกครั้ง
เถ้าแก่สวีเหลือบมองหลินอวี้ผู้อยู่ข้างกายสวี่หยางแล้วหัวเราะ “พี่สวี่ช่างเป็นคนดีนัก ร้านของข้าก็พอมีขายอยู่”
สถานที่แห่งนี้มีมนุษย์อยู่อาศัยค่อนข้างมากเช่นกัน โดยผู้บำเพ็ญเซียนบางส่วนก็มีญาติพี่น้องมนุษย์รวมอยู่ด้วย ซึ่งบางครั้งพวกเขาก็ต้องการยาชนิดนี้
ทันใดนั้นเขาก็หยิบขวดหยกจากชั้นวางที่เต็มไปด้วยฝุ่น ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘โอสถปราณ โลหิตและปราณภายใน’
ตามการแนะนำของเถ้าแก่สวี ยานี้เป็นสมบัติที่ทุกคนในโลกมนุษย์พยายามไขว่คว้ามาครอบครอง เพราะหลังจากกินเข้าไป ปราณและโลหิตจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถฝึกฝนลมปราณได้ และทำให้ความแข็งแกร่งบรรลุถึงขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าได้ในชั่วข้ามคืน
อีกทั้งราคาของมันยังถูกจนน่าตกใจ เขาเพียงต้องจ่ายด้วยหินวิญญาณหนึ่งก้อนเท่านั้น
แต่ต้องทราบก่อนว่ายารักษาระดับสูงในโลกเซียนมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่หินวิญญาณสามก้อน แต่ผู้ที่ต้องการพัฒนาวิชายุทธ์กลับใช้หินวิญญาณเพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น
ราคาขายของเถ้าแก่สวีนับว่าค่อนข้างถูก
หลังออกมาจากร้าน สวี่หยางก็เหลือหินวิญญาณเพียงยี่สิบหกก้อน แม้จะซื้อข้าววิญญาณและเนื้อวิญญาณ ก็ยังเหลือหินวิญญาณอีกยี่สิบสามก้อน
ทั้งสองคนมาถึงตลาดสดซึ่งมีแผงขายของมากมาย โดยของที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นมือสอง
“เร่เข้ามา เสื้อคลุมชุดนี้สามารถกันไฟและอาวุธลับได้ ข้าขายราคาไม่แพงเพียงหินวิญญาณสิบห้าก้อนเท่านั้น”
“ศัสตราศักดิ์สิทธิ์มีดบินเล่มนี้เป็นของดี เหมาะสำหรับการป้องกันตัว”
“ค่ายกลมือสอง แม้ผ่านการใช้งานมาแล้ว แต่ความสามารถของมันไม่ได้ด้อยกว่าของมือหนึ่งเลยสักนิด”
เสียงตะโกนว่า ‘ค่ายกลมือสอง’ นั้น เรียกความสนใจของสวี่หยางในฉับพลัน
คนขายเป็นผู้บำเพ็ญมนุษย์วัยกลางคนร่างผอม ใบหน้าซูบตอบไร้เนื้อหนัง ไว้หนวดเคราช่วงริมฝีปากบน ในเวลานั้นดวงตาเรียวเล็กของเขากำลังมองหาผู้บำเพ็ญมนุษย์ที่พลุกพล่านไปมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นสวี่หยางแวะเวียนเข้ามา ดวงตาของเขาก็ทอประกายก่อนจะรีบตะโกน “สหายเต๋าอยากได้ค่ายกลใช่หรือไม่? เชิญดูตามสบาย ทุกชิ้นเป็นของดี คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย มีให้เลือกทุกอย่าง”
สวี่หยางลอบคิดว่าสายตาของคนขายผู้นี้ร้ายกาจไม่เบา มองเพียงปราดเดียวก็บอกได้ว่าตนเองต้องการสิ่งใด
“ข้าอยากซื้อค่ายกลมาทดแทนอันเดิมที่บ้าน แต่เพราะของเดิมยังพอใช้การได้อยู่เลยยังไม่รีบเท่าไร”
สวี่หยางยิ้มกลับ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่รีบร้อนที่จะซื้อมัน
บนแผงขายของมีธงค่ายกล กระดานค่ายกลและค่ายกลแปลกประหลาด ซึ่งบางชิ้นมีคราบโลหิตสีแดงเข้มหลงเหลืออยู่
เขากับคนขายต่อรองกันไปมา จึงสรุปได้ว่าพวกเขาในยามนี้จำเป็นต้องมีค่ายกลสังหาร ซึ่งสามารถรับมือกับผู้ที่ฝึกวิชายุทธ์ต่ำกว่าระดับห้าได้
แต่ราคาค่ายกลชนิดนี้แพงเกินกว่าจะจ่ายได้ หากมีคนแบบนั้นมาหาเรื่องจริง มีค่ายกลก็หาได้มีประโยชน์ไม่ ส่วนงบน่ะหรือ เขาตั้งเอาไว้ไม่เกินหินวิญญาณยี่สิบก้อน
“สหายเต๋าลองดูธงค่ายกลอัคคีผืนนี้ก่อน!”
พ่อค้าชี้ไปที่ธงค่ายกลสี่ผืน “แค่ปักธงค่ายกลรอบบ้านเท่านั้น หากมีศัตรูเข้ามา เจ้าเพียงกระตุ้นมัน แล้วเปลวเพลิงของค่ายกลจะแผดเผาศัตรูทั้งเป็น”
“ถ้าข้าไม่กระตุ้นจะเป็นอย่างไร?”
“แน่นอนว่าประสิทธิภาพของค่ายกลจะลดลง!” คนขายเผยรอยยิ้มลำบากใจ เพราะคำว่า ‘ลดลง’ มีความหมายว่าไม่เกิดผล
“แล้วการแจ้งเตือนล่ะ?”
“สหายเต๋าทำถูกแล้วที่ซักไซ้อย่างละเอียด ดูตรงนี้ มันคือหญ้าแจ้งเตือนภายในค่ายกล!”
เขาชี้ไปที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ข้างกัน
ภายในกระถางมีต้นหญ้าใบเขียวคล้ายผักกระเฉดสั่นไหวภายใต้แสงอาทิตย์ ซึ่งบางครั้งก็ส่งเสียง ‘กรุ๊งกริ๊ง’
สวี่หยาง “…”
“เจ้านี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของค่ายกลหรือ?”
เขาเองก็ทราบเช่นกันว่าหญ้าแจ้งเตือนนี้จะส่งเสียงทันทีที่มีคนแปลกหน้าเข้ามา แม้ต้นหนึ่งจะมีราคาถูกมาก แต่บางครั้งก็จะส่งเสียงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนส่งผลต่อการฝึกตน ดังนั้นผลที่ได้จึงไม่ดีเท่าที่ควร น้อยคนนักที่จะยอมเสียเงินเพื่อซื้อมัน



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน