บทที่ 53 ตระกูลสวีเตรียมทิ้งเมืองชั้นนอก
คราวที่แล้ว เขากับเสิ่นม่านอวิ๋นมาทะเลสาบปี้กุ้ยเพื่อเฝ้ารักษาการณ์จนจับปลาจวี้ฉือได้ทั้งสิ้นเก้าตัว ทำเอาสวีอันอู๋ประทับใจเป็นอย่างมาก
เพราะเหตุนี้ตระกูลโจวจึงไม่กล้าส่งปลาจวี้ฉือมาสร้างปัญหาอีกด้วยเกรงว่าจะสูญเสียยิ่งกว่านี้
หลังจากเงียบไปสักพัก คาดไม่ถึงว่าตระกูลโจวจะส่งหนูสุ่ยหลิงมา
“มันคือสัตว์อสูรดินและน้ำที่เป็นสายเลือดขั้นสูงระดับสอง!”
“ว่าอะไรนะ? ขั้นสูงระดับสองหรือ? นั่นมันขอบเขตสร้างรากฐานเลยนะ” สวี่หยางคิ้วขมวด เขาเกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
“ไม่ต้องห่วง แม้จะเป็นสายเลือดขั้นสูงระดับสอง แต่มันยังอยู่ในช่วงเยาว์วัย สวีอันอู๋บอกว่าความแข็งแกร่งของมันไม่เกินขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นปลาย! พลังต่อสู้ของฝ่ายนั้นพอจะรับมือไหว ปัญหาก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในน้ำยากจะจับตัวได้”
สวี่หยางมีเหตุผลล้านแปดที่จะปฏิเสธ
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นทายาทต่างแซ่ของตระกูลสวี ซึ่งภารกิจที่ได้รับคือปลูกต้นไม้ ดังนั้นจึงมีเหตุผลมากพอที่จะปฏิเสธได้
ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธอย่างสุภาพ
“สวี่หยาง พูดตามตรง ตระกูลสวีเตรียมที่จะทิ้งเมืองชั้นนอกแล้ว”
“ว่าอะไรนะ!!!”
“ทันทีที่เมืองชั้นนอกถูกทิ้ง เขตนั้นจะเผชิญการโจมตีจากตระกูลโจวกับกลุ่มเจ็ดคาบสมุทรอย่างแน่นอน เจ้าก็ทราบดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร!” ผู้อาวุโสสวีแนะนำอย่างใจกว้าง “หากเจ้าทำภารกิจที่นั่นจนสำเร็จ ตระกูลสวีรับปากว่าจะตระเตรียมบ้านให้เจ้ากับครอบครัวที่เมืองชั้นในเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัย”
“ดี งั้นข้าไป”
ในเมื่อพูดมาขนาดนี้ สวี่หยางย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
คืนนั้น สวี่หยางเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาทั้งสองฟัง
“พวกข้าก็จะไปด้วย!”
เสิ่นม่านอวิ๋นนั่งตักสวี่หยางทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ข้าไปด้วยคน!” หลินอวี้กังวลเช่นกัน
สวี่หยางยิ้ม “ครั้งนี้พวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่”
“ไม่นะ!”
สองสาวเอ่ยคำพร้อมกัน
“สามี ทั้งร่างกายและขอบเขตของเจ้าอ่อนแอกว่าข้า เจ้าต้องมีข้าติดตามไปด้วยเพื่อช่วยดูแล ส่วนพี่อวี้เอ๋อร์ หากนางอยู่ที่นี่เพียงลำพังก็คงทำให้พวกเราไม่สบายใจ ดังนั้นนางก็ต้องไปด้วย”
เสิ่นม่านอวิ๋นวิเคราะห์อย่างละเอียด
“ใช่ ๆๆ” หลินอวี้พยักหน้า
“เฮ้อ งั้นก็ได้” สวี่หยางเปลี่ยนเรื่อง “แต่เจ้าถึงกับบอกว่าร่างกายอ่อนแอกว่าเนี่ยมันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าอยากรู้นักว่าใครกันแน่ที่จะแข็งแกร่งกว่า”
“ก็ได้ก็ได้ สามีเลิกอวดเก่งได้แล้ว เจ้าไม่มีทางสู้ข้ากับพี่อวี้เอ๋อร์ได้หรอก”
สิ้นคำนางก็คว้ามือของสวี่หยางเอาไว้
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงเตียงสั่นไหวก็ดังขึ้นอีกครั้งในบ้าน
……
เช้าวันถัดมาก่อนจะถึงรุ่งสาง สวี่หยางกับภรรยาตื่นแต่เช้าเพื่อเก็บค่ายกลป้องกันขั้นสูงระดับหนึ่ง จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทะเลสาบปี้กุ้ยภายใต้ม่านราตรี
หลังออกจากเมืองฟาง พวกเขาเห็นชายหนุ่มสามคนจากตระกูลสวีกำลังรออยู่
พวกเขาคือสหายจากตระกูลสวีผู้กำลังเดินทางไปทะเลสาบปี้กุ้ยเช่นกัน ขอบเขตของเขาอยู่ที่ราวขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้า
เมื่อเห็นสวี่หยางกับภรรยาทั้งสองผู้งดงาม ชายหนุ่มตระกูลสวีทั้งสามก็ไม่ประหลาดใจ ถึงอย่างไรทุกวันนี้ก็มีผู้บำเพ็ญกับคู่รักอยู่ถมไป
แต่สิ่งที่ประหลาดใจคือหลังจากพบว่าหลินอวี้เป็นเพียงมนุษย์ต่างหาก
ทว่าพวกเขาก็ไม่เอ่ยอะไร เพราะหนึ่งในภรรยาของสวี่หยางอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเจ็ด ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสำคัญโดยไม่กล้าแสดงท่าทีเพิกเฉยแต่อย่างใด
หลังจากแนะนำตัวเองแล้ว พวกเขาก็ทราบว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาซึ่งเป็นผู้นำมีนามว่าสวีเหวินเผิง
สามคนนี้มาเพื่อปกป้องพวกสวี่หยาง
สวี่หยางพยักหน้า แม้สามคนนี้จะไม่แข็งแกร่งมาก แต่การมีคนคอยช่วยปกป้องย่อมดีกว่าไม่มีเลย
หลังจากเดินตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบปี้กุ้ย พวกเขาก็มาถึงจุดหมายในช่วงเย็น
เขาไม่ได้มาที่นี่เกือบสามเดือนแล้ว ทะเลสาบปี้กุ้ยในตอนนี้ได้รับการติดตั้งค่ายกลป้องกันระดับสอง ทั้งยังมีพวกหน้าใหม่อีกมากมาย
ทันทีที่มาถึง สวีอันอู๋ก็เข้ามาทักทาย
“พี่สวี่หยาง!”
“คารวะผู้อาวุโส” สวี่หยางประสานมือ
“พวกเราเดินไปคุยไปก็แล้วกัน”
สวีอันอู๋ให้ความสำคัญกับสวี่หยางเป็นอย่างมาก เขาเชื่อว่าการแก้ปัญหาหนูสุ่ยหลิงในครั้งนี้จะต้องพึ่งอีกฝ่ายได้
“เมื่อไม่นานมานี้พวกเราได้รับความสูญเสียในทะเลสาบปี้กุ้ยไม่น้อย ตอนแรกคิดว่าสาเหตุมาจากปลาจวี้ฉือ แต่ภายหลังก็พบรอยกัดที่ผิดปกติ หลังจากให้ผู้เชี่ยวชาญทำการยืนยันแล้วว่ามันคือรอยกัดจากหนู! ภายหลังพวกเราได้ข่าวว่าปรมาจารย์สัตว์ร้ายตระกูลโจวซื้อหนูสุ่ยหลิงมาจากต่างแดนเมื่อไม่กี่วันก่อน…”
สวีอันอู๋อธิบาย
“หนูสุ่ยหลิงนี้แม้อายุไม่มากแต่ก็เป็นสายพันธุ์แท้ หากโตเต็มวัยเมื่อไหร่จะมีพลังเทียบเท่าขั้นสูงระดับสอง! มันเทียบเท่ากับมนุษย์ขอบเขตสร้างรากฐาน โชคดีที่มันยังไม่โตเต็มวัย…”
“ข้าจะหาวิธีจับให้ แต่ไม่รับปากว่าจะทำสำเร็จ”
สวี่หยางแสดงจุดยืน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน