บทที่ 62 ไพ่เด็ดของตระกูลสวี
คำพูดของสวี่หยางทำให้เพื่อนบ้านหลายคนตระหนักถึงปัญหาทันที
เดิมทีบางคนเห็นว่าสวี่หยางตกเป็นเป้าหมายก็รู้สึกโชคดีอยู่ในใจ แต่ถ้าคิดอย่างรอบคอบ ตอนนี้พวกเขาก็เป็นเหมือนตั๊กแตนที่ถูกมัดบนเชือกเส้นเดียวกัน!
หากไม่ช่วยสวี่หยางในเวลานี้ หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถร่วมมือกันได้อีกตลอดไป
นักปรุงยาเกาเยวียนเป็นคนแรกที่แสดงท่าที “สหายเต๋าสวี่พูดถูก เรามาช่วยกันเถอะ”
เขาพูดเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่ามีน้ำใจ แต่เพราะเขาก็เป็นสมาชิกตระกูลสวีเช่นกัน หากสวี่หยางถูกจัดการ ตระกูลโจวก็คงไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่
ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญมนุษย์สองคนที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับเจ็ด ได้มายืนตรงหน้าสวี่หยางแล้ว
ชายคนนั้นพูดเย้ยหยัน “สวี่หยาง ผู้อาวุโสโจวอิงเกลียดชังเจ้าเข้ากระดูก แต่เจ้ายังพยายามดิ้นรนอยู่อีก ช่างน่าสมเพชจริง ๆ”
หลังจากพูดจบ เงานั้นก็เคลื่อนไหวว่องไว เอื้อมมือหมายจะคว้าตัวสวี่หยาง
ในความเห็นของเขา ปราณวิญญาณบนร่างกายของสวี่หยางบ่งบอกว่าอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับห้าเท่านั้น เรื่องนี้จึงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเลยสักนิด
“ตายซะ!”
สวี่หยางไม่รอช้า ใช้ร่มพันกลกวาดออกไป ตัดศีรษะของชายคนนั้นกระเด็น เลือดแดงฉานสาดกระเซ็น
“เอ๊ะ?”
เมื่อเห็นดังนั้น โจวเป่าซานก็คำรามด้วยความโกรธ “บังอาจนัก!”
ผู้บำเพ็ญมนุษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณ กล้าสังหารคนใต้จมูกขอบเขตสร้างรากฐานอย่างเขา น่ารังเกียจนัก
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เขาก้าวเข้าไปโจมตีสวี่หยางด้วยปราณวิญญาณอันเฉียบคมทันที
สวี่หยางกางร่มพันกลปิดกั้นปราณวิญญาณที่โจมตีเข้ามาทั้งหมด
“หืม? ศัสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงระดับหนึ่ง เจ้าเด็กนี่มีของดีอยู่ในมือนี่นา”
ทันใดนั้นดวงตาของโจวเป่าซานก็ร้อนผ่าน ถ้าเขาได้ศัสตราศักดิ์สิทธิ์นี้มาครอบครอง ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยการฝึกฝนของเขาที่ถึงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นต้น ถ้ามีอาวุธชิ้นนี้เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขอบเขตสร้างรากฐานขั้นกลางได้
“ฆ่ามัน!”
ในเวลาเดียวกัน นักปรุงยาเกาเยวียนก็ลงมือ เขาร่วมมือกับภรรยาและเมียน้อยลอบโจมตี สังหารศิษย์ของตระกูลโจวที่อยู่ด้านข้าง
“สหายเต๋าหูต๋า สหายเต๋าจ้าวหลาน รีบลงมือเร็ว” เกาเยวียนตะโกนขณะต่อสู้
นี่เป็นการบังคับให้คนที่เหลือต้องเริ่มต่อสู้ แม้ว่าจะไม่ต้องการก็ตาม
หูต๋าพ่นลมหายใจฮึดฮัด แล้วควบคุมหุ่นเชิดสองตัวเข้าร่วมวงต่อสู้
แม้ว่าจ้าวหลานจะไม่มีไพ่เด็ดที่แข็งแกร่ง แต่ก็มีประสบการณ์การต่อสู้มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากนั้นผู้หญิงหลายคนจากหอนางโลมก็ออกมาช่วยต่อสู้ และสังหารคนตระกูลโจวไปได้สามคน
ทางฝั่งของสวี่หยาง มีหุ่นเชิดเวหาไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตน มันเป็นหุ่นเชิดสังหารของหลินอวี้
สวี่หยางบอกให้นางกับเสิ่นม่านอวิ๋นหลบอยู่ในบ้าน ห้ามออกมา แต่เมื่อเห็นสวี่หยางเผชิญหน้ากับโจวเป่าซาน ปรมาจารย์ขอบเขตสร้างรากฐาน หลินอวี้ก็ทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้
ส่วนเสิ่นม่านอวิ๋นได้พุ่งออกไปโจมตีด้วยกระบี่อัสนีประกายม่วง ฟาดฟันใส่โจวเป่าซาน
“หมาแมวตัวไหนกล้าโจมตีข้า?”
เมื่อโจวเป่าซานเห็นเสิ่นม่านอวิ๋น เขาก็พ่นลมหายใจด้วยความโกรธ เพียงแค่ตบเบา ๆ กระบี่อัสนีประกายม่วงก็กระเด็นออกไป
ตู้ม!
โจวเป่าซานลงมือโจมตีทันใด เปลวไฟที่ลุกโชนพวยพุ่งออกมาจากดาบ อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นเฉียบพลัน พัดไปทางเสิ่นม่านอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
แต่ยันต์ขั้นสูงระดับหนึ่งบนตัวเสิ่นม่านอวิ๋นปล่อยพลังออกมาสกัดกั้นการโจมตีไว้ได้
แม้ว่าจะป้องกันได้ชั่วคราว แต่พลังของปรมาจารย์ขอบเขตสร้างรากฐานก็ทรงพลังจริง ๆ ยันต์ดังกล่าวเปล่งประกายแสงจ้า แล้วเกือบจะจางหายไป
สวี่หยางรู้ว่าการเผชิญหน้ากับปรมาจารย์เช่นนี้ เขาต้องรีบจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเมื่อหากปล่อยเวลาผ่านไป ฝ่ายพวกเขาจะมีแต่อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสมบูรณ์
“ตาย!!”
เขาตะโกน ทันใดนั้นเปลวไฟพลันพุ่งออกมาจากด้านหน้าของร่มพันกล
แต่สิ่งที่โจวเป่าซานไม่ได้สังเกตก็คือเข็มเงิน ซึ่งเป็นศัสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นต่ำระดับหนึ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้ท่ามกลางเปลวเพลิง
นี่เป็นอาวุธอีกอย่างที่ซ่อนอยู่ในร่มพันกล มันทรงพลัง และเป็นรองเพียงยันต์แสงทองเท่านั้น
“เจ้าหนู ความแข็งแกร่งของเจ้าต่ำเกินกว่าจะใช้พลังของศัสตราศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ เอามันมาให้ข้าจะดีกว่านะ ฮ่า ๆ”
โจวเป่าซานโบกมือ ลมหนาวบนท้องฟ้าก่อตัวเป็นมังกรพุ่งเข้าหามังกรของสวี่หยาง
มังกรทั้งสองตัวปะทะกัน จนเปลวไฟระเบิดใส่ผู้บำเพ็ญมนุษย์ที่อยู่ด้านข้าง ถนนทั้งสายถูกแรงระเบิดจนกลายเป็นหลุมลึก
สวี่หยางคร่ำครวญ เลือดในใจพลุ่งพล่าน สีหน้าตกตะลึง
สมแล้วที่อยู่ขอบเขตสร้างรากฐาน ถ้าเขาไม่มียันต์คอยป้องกัน ด้วยระดับขอบเขตกลั่นลมปราณ เขาคงถูกบดขยี้เป็นเสี่ยง ๆ ไปนานแล้ว
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน