บทที่ 87 ถูกจับตามองโดยผู้บำเพ็ญมาร
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหูต๋า หลี่หวั่นก็แสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี นางพยักหน้าอย่างแรงก่อนจะเอ่ยคำด้วยสายตามุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง “หวั่นเอ๋อร์จะร่ำเรียนอย่างหนักและใช้ชีวิตตามความคาดหวังของท่านอาจารย์ ภายภาคหน้า ข้าจะตอบแทนท่านด้วยการสืบสานทักษะการสร้างหุ่นเชิดต่อไป”
“ดี ดีมาก”
หูต๋ามองสวี่หยางด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
สวี่หยางยิ้มเช่นกัน เขาไม่เคยรู้เลยว่าปกติแล้วหลี่หวั่นจะเป็นคนพูดเก่งขนาดนี้
จากนั้นหลี่ต้าต่งกับภรรยาก็เดินเข้ามา ทั้งสองขอบคุณหูต๋าอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงพาหลี่หวั่นกลับบ้านเพื่อเก็บเสื้อผ้าแล้วค่อยกลับมาทีหลัง หลังจากนั้น นางก็จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อร่ำเรียนจากผู้เป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการ
……
ในอีกสองวันต่อมา สวี่หยางมาเยี่ยมหูต๋าบ่อยครั้ง ซึ่งหลี่หวั่นก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
แม้นางจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุสิบสองปี แต่ก็เป็นคนฉลาดและขยันขันแข็ง ในช่วงสองวันที่ผ่านมา นางจะจัดร้านพร้อมกับเรียนรู้เกี่ยวกับชิ้นส่วนหุ่นเชิดกับเครื่องมือทั้งหลาย ทำให้หูต๋าเอ่ยชมไม่ขาดปาก
ในวันที่สาม หูต๋าได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับศิษย์ที่ด้านหลังร้าน
คนที่มามีไม่มากนัก เป็นเพื่อนบ้านประมาณสิบครอบครัวเท่านั้น
สวี่หยางกับภรรยาทั้งสองมางานเลี้ยงเช่นกัน ภายในลานบ้านมีโต๊ะเพียงสามตัวเท่านั้น
โต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งสำหรับผู้ชาย โต๊ะหนึ่งตัวสำหรับผู้หญิง และโต๊ะหนึ่งตัวสำหรับเด็ก
สวี่หยางนำของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วย มันคือยันต์ขั้นต่ำระดับหนึ่งกับเสาวรสสามลูกจัดเรียงอยู่ในตะกร้าผลไม้ ดูงดงามยิ่ง
“เถ้าแก่สวี่คือผู้มีความสามารถที่สุดในหมู่พวกเรา ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่จื่อรั่วให้ค่าเจ้าค่อนข้างมาก ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกัน บัดนี้นางกำลังปิดด่านสร้างรากฐาน ทันทีที่ออกมาพร้อมกับรากฐานที่สร้างสำเร็จ สถานะในตระกูลของนางก็จะยิ่งสำคัญมากขึ้น ในฐานะที่เถ้าแก่สวี่เป็นคนดังประจำเมืองฟาง คุณหนูใหญ่ย่อมให้ค่ามากกว่าใคร”
เมื่อมองไปทางสวี่หยางที่กำลังดื่มอยู่ข้างกาย น้ำเสียงของเกาเยวียนก็เต็มไปด้วยความอิจฉา เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งขณะถือพัดกระดาษสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง จากนั้นพัดโบกให้ตัวเองจนเกิดลมเย็นพลางสนทนา
ไม่มีใครตำหนิเขาที่แสดงความอิจฉาเช่นนี้
ในฐานะนักปรุงยา เขาเป็นทายาทสายนอกของตระกูลสวีมานานกว่าสิบปี ถึงกระนั้นก็ไม่เคยได้พบคุณหนูใหญ่เลยสักครั้ง
เขาได้ยินมาว่าสวี่หยางได้เข้าพบสองสามวันครั้งด้วยซ้ำ
สวี่หยางหัวเราะแผ่วเบา “อาจารย์เกาชมเกินไปแล้ว”
จ้าวหลานเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด “สหายเต๋าสวี่ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากสหายของเจ้าจากสำนักชิงหยางสังหารปราชญ์หน้าหยก สหายของมันจากฝั่งมารก็ได้ทำการเคลื่อนไหว!”
ใบหน้าของสวี่หยางกระตุก “โห?? สหายเต๋าจ้าวพอจะเล่าอย่างละเอียดได้หรือไม่?”
จ้าวหลานหัวเราะคิก “ได้แน่นอน แต่ข้าเกรงว่าหากพูดจาเหลวไหลออกไปจะทำให้ตกเป็นเป้าของผู้บำเพ็ญมารจนถูกฆ่าเอาน่ะสิ ผู้หญิงอ่อนแอเช่นข้าก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ”
คนรอบข้างกลอกตา กลัวหรือ? คนอื่นน่ะสิที่ต้องกลัวเจ้า
สวี่หยางครุ่นคิดสักพักก่อนจะหยิบเครื่องรางขั้นต่ำระดับหนึ่งออกมา “สหายเต๋าจ้าว ทีนี้เจ้าหายกลัวแล้วหรือยัง?”
“สหายเต๋าสวี่ช่างใจกว้างนัก ถ้าเช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟังแล้วกัน!”
ธุรกิจหอนางโลมของจ้าวหลานเป็นไปได้ด้วยดี เนื่องจากมีผู้คนมากมายไหลหลั่งเข้ามา ทำให้นางทราบข้อมูลเป็นอย่างดีเช่นกัน
จากคำบอกเล่าของนาง ปราชญ์หน้าหยกคืออดีตลูกชายของตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดา เนื่องจากถูกสมาชิกในตระกูลกลั่นแกล้ง ทำให้ใบหน้าของเขาถูกไฟคลอกเสียโฉม
หลังจากนั้น เขาก็ละทิ้งตระกูลแล้วไปเจอกับผู้บำเพ็ญมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งเหมือนกัน ก่อนจะหลบหนีเข้าสู่วิถีมารโดยไม่ตั้งใจ
แล้วทั้งสองก็สานสัมพันธ์กัน
หลังจากนั้น ผู้บำเพ็ญมารก็แยกตัวจากปราชญ์หน้าหยกเพราะมีภารกิจที่ต้องไปทำ…
“ว่ากันว่าปราชญ์หน้าหยกเคยขัดขวางและสังหารผู้บำเพ็ญมนุษย์ ซึ่งมีผู้บำเพ็ญมารให้ความร่วมมืออยู่เบื้องหลัง บางคนจึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นสหายของปราชญ์หน้าหยก ตอนนี้ปราชญ์หน้าหยกตายแล้ว แม้คนที่สังหารเขาจะเป็นศิษย์สำนักชิงหยาง แต่คนผู้นั้นอาจจะมาแก้แค้นเจ้าก็ได้! ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแก้แค้นกับศิษย์สำนักชิงหยางอยู่แล้ว…”
ที่โต๊ะอาหาร คนกลุ่มหนึ่งมองสวี่หยางด้วยสีหน้าซับซ้อน
สวี่หยางลอบถอนหายใจ นึกแล้วเชียว ถือเป็นการยืนยันการคาดเดาก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี!
เกาเยวียนรีบเอ่ยคำ “สหายเต๋าสวี่อย่ากังวลไปเลย ไม่มีใครกล้าลงมือบุ่มบ่ามในเมืองฟางแห่งนี้หรอก”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่ต้องห่วง”
“ถ้ามีอะไรก็เรียกข้าได้เสมอ” หูต๋าแสดงจุดยืน
สวี่หยางมองจ้าวหลานขณะลอบส่งกระแสจิต “สหายเต๋าจ้าวมีข้อมูลสำคัญอื่นอีกหรือไม่ คุณหนูใหญ่สวีจะต้องตกรางวัลให้อย่างงามแน่นอน!!”
จ้าวหลานยกยิ้มเล็กน้อย นางเหลือบมองสวี่หยางก่อนจะเอ่ย “แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว!”
นึกแล้วเชียว!!
สวี่หยางเอ่ยเช่นนั้น จ้าวหลานต้องมีข้อมูลสำคัญที่จะขายในราคาดีเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นนางไม่มีทางพูดขึ้นมาโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน
จ้าวหลานเอ่ยต่อ “หลังจบงานเลี้ยงแล้ว มาหาข้าที่หอสุคนธสวรรค์เพื่อดื่มกินกันเสียหน่อย”
“ตกลง”
สวี่หยางพยักหน้าอย่างเงียบงัน
หลังจากดื่มไปสามไห
เกาเยวียนเป็นคนแรกที่จากไปพร้อมกับประสานมือ จากนั้นเขาเดินโซเซในสภาพที่ได้รับความช่วยเหลือจากภรรยาทั้งสาม

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน