บทที่ 90 หลินหวั่นชิงตายงั้นหรือ?
ตูม!!
ขณะค่ายกลทะเลโลหิตแตกสลาย ผู้บำเพ็ญมารก็กระอักเลือดพร้อมกับเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา “ค่ายกลของข้า!”
ค่ายกลทะเลโลหิตนี้คือไพ่ตายที่ร้ายกาจที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับพังทลายแล้ว
นี่ทำให้นางรู้สึกทำใจเชื่อไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ได้การ ต้องรีบหนี”
ใบหน้าของผู้บำเพ็ญหญิงเผยความหวาดกลัวออกมาชัดเจน
แต่ก่อนจะได้หนีตามที่คิด นางพลันสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลในอากาศ
แน่นอนว่าความผันผวนที่ซ้อนทับกันนี้ไม่ได้เป็นของตนเอง มันทำให้พละกำลังสลายไปในทันทีที่ตอบสนอง จนสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ยันต์แสงทอง!!”
ในตอนนี้ นางตระหนักได้ว่าสวี่หยางงัดยันต์แสงทองออกมาใช้แล้ว
แสงสีทองเจิดจ้าประหนึ่งกระบี่คมปลาบกำลังทิ่มแทงมาที่นาง
มันคือพลังที่สามารถจัดการกับขอบเขตสร้างรากฐานขั้นปลายได้ เสื้อคลุมที่ผู้บำเพ็ญมารสวมใส่ฉีกขาดในบัดดล ร่างกายถูกทิ่มแทง ปากอ้ากว้างแต่ไร้เสียงเล็ดลอดออกมา พร้อมกับพลังวิญญาณที่สูญสลายจนหายใจไม่ออก
“ต้องมาเสียยันต์แสงทองหนึ่งใบเสียได้ ให้ตายเถอะ!!”
สวี่หยางมองศพที่ขาดวิ่นบนพื้นพลางสบถ
จากนั้นเขาก็หันไปหาสองภรรยา “อย่าออกมา ปิดปากและจมูกเอาไว้ ผู้บำเพ็ญมารคนนี้เต็มไปด้วยพิษ!”
หลินอวี้พยักหน้า “ข้าจะส่งหุ่นเชิดสังหารเข้าไปก่อน”
นางควบคุมหุ่นเชิดไปอยู่ข้างกายผู้หญิงคนนั้น ก่อนที่มันจะบดขยี้ศีรษะอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดี
“อื้ม ปลอดภัยแล้ว”
สวี่หยาง “…”
ไม่ยักรู้ว่าหลินอวี้จะโหดเหี้ยมปานนี้
แต่นับว่าโดนใจเขานัก
หลังจากทำความสะอาดศพแล้ว เขาก็หยิบถุงเก็บของขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญหญิงรายนี้ไม่เจ้าเล่ห์เท่าปราชญ์หน้าหยก เพราะภายในถุงเก็บของมีของดีมากมาย รวมถึงหินวิญญาณประมาณแปดร้อยสามสิบก้อน
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีศัสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งหลายประเภท และดูท่าว่าพวกมันต่างเป็นของผู้บำเพ็ญมนุษย์ที่ต่างกัน
“ผู้บำเพ็ญมารคนนี้สังหารคนไปมากมายเพียงนี้เชียว”
หลินอวี้ประหลาดใจ
เสิ่นม่านอวิ๋นอธิบาย “เห็นได้ชัดว่าค่ายกลของนางคือค่ายกลบำเพ็ญมาร นางสังหารผู้คนนับไม่ถ้วนเพื่อทำการขัดเกลาค่ายกลขึ้นมา!”
สิ้นคำ นางมองสวี่หยาง “เอาอย่างไรต่อ? ให้ข้าบอกตระกูลสวีเลยหรือไม่?”
สวี่หยางส่ายหน้า “พูดตามตรง ผลลัพธ์ที่ตามมาค่อนข้างยุ่งยาก ข้าจะไปเอง…”
……
ผ่านไปสักพัก สวี่หยางก็ไปรับหลินหวั่นชิง
ระหว่างทาง สวี่หยางเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดให้หลินหวั่นชิงฟัง ก่อนจะประกาศต่อสาธารณชนว่าตนเองกับนางได้คลี่คลายเรื่องผู้บำเพ็ญมารเรียบร้อยแล้ว
ในหมู่พวกเขา หลินหวั่นชิงมีไพ่ตายแข็งแกร่งที่สุดอยู่ในมือตอนออกจากตระกูลหลิน ดังนั้นนางจึงคลี่คลายปัญหาได้อย่างราบรื่น
ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะกลัวว่าจะเผชิญกับปัญหาอีกในอนาคต
หลินหวั่นชิงชั่งน้ำหนักก่อนจะทราบว่าสวี่หยางกลัวจะมีปัญหา ดังนั้นเขาจึงขอให้นางเป็นผู้ป่าวประกาศว่าตนเองเป็นคนที่คลี่คลายปัญหา
นางย่อมเห็นด้วยกับคำขอนี้ ถึงอย่างไรสวี่หยางก็เป็นคนเดียวที่สามารถช่วยให้นางรอดจนมาถึงตอนนี้ได้
อีกอย่าง นางกำลังจะตายแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหาเหาใส่หัวมากจนเกินไป
แน่นอนว่าสวี่หยางให้สัญญาว่าจะพยายามรักษานางอย่างสุดความสามารถเช่นกัน
คราวนี้สวีฉางหลงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลสวีมาตรวจสอบร่างของผู้บำเพ็ญมารด้วยตัวเอง
“วั่นลี่ลี่!”
สวีฉางหลงจำคนผู้นี้ทันที “นางคือศิษย์มารของราชันสวรรค์กระดูกขาว ข้าเคยต่อสู้กับเขามาก่อน ผู้บำเพ็ญหญิงคนนี้นี่แหละที่อยู่ข้างกายเขา หลังจากโดนผู้บำเพ็ญมนุษย์จากสำนักชิงหยางล้อม เขาก็หลบหนีในสภาพบาดเจ็บสาหัส ส่วนศิษย์ของเขาก็พากันหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง… หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวจากผู้หญิงคนนี้อีก แต่คาดไม่ถึงว่านางจะมาที่นี่”
หัวใจของสวี่หยางเต้นระรัว แน่นอนว่าต้องมีอาจารย์อยู่เบื้องหลังผู้บำเพ็ญหญิงคนนี้
“ท่านผู้นำตระกูล ราชันสวรรค์กระดูกขาวจะมาแก้แค้นหรือไม่?”
หากมาแก้แค้นจริง เขาก็อยากไปจากที่นี่ทันที
สวีฉางหลงเห็นความกังวลของสวี่หยางก่อนจะแย้มยิ้ม “สวี่หยาง เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ในตอนนั้นราชันสวรรค์กระดูกขาวได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะหลบหนีไปได้ แต่ขอบเขตของเขาก็ตกต่ำไปแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต่อให้ไม่ตายก็อาจไม่แข็งแกร่งไปกว่านี้อีก!! นอกจากนี้ ข้าจำกลิ่นอายของเขาได้ หากกล้าเข้ามาในเมืองนี้จริง ข้าจะไปหาถึงที่เลย!”
“นอกจากนี้ ราชันสวรรค์กระดูกขาวยังมีความโหดเหี้ยมและปฏิบัติต่อศิษย์ไม่ต่างกัน เขาไม่สนเรื่องความเป็นความตายของศิษย์อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง”
สวี่หยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“สวี่หยาง เจ้าได้รับความดีความชอบอีกแล้ว แม้หลินหวั่นชิงจะให้ความช่วยเหลือด้วย แต่ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญมารก็ถูกฆ่าตายในร้านของเจ้า!”
สวี่หยางเอ่ยอย่างถ่อมตัว “ขอบคุณสหายเต๋าหลิน”
หลินหวั่นชิงเผยสีหน้าสุขุม นางไม่ได้เอ่ยอะไรมากขณะคารวะสวีฉางหลง “ท่านผู้นำตระกูล ข้าไม่ต้องการรางวัลอะไร ขอเพียงว่าหลังจากข้าจากโลกไปแล้ว ตระกูลของข้าจะยอมรับพ่อแม่เอาไว้ยามแก่เฒ่า แค่นั้นข้าก็พอใจแล้ว”
สวีฉางหลงทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลินหวั่นชิง เขายังทราบเรื่องที่ป่าวประกาศก่อนหน้าของนางที่ว่าร่างกายฟื้นตัวแล้วเป็นเพียงการล่อให้ผู้บำเพ็ญมารลงมือเท่านั้น
เขาถอนหายใจ “ไม่ต้องห่วง”
“ท่านผู้นำตระกูล นี่คือยันต์สื่อสารของผู้บำเพ็ญมารวั่นลี่ลี่ จากการตรวจสอบทำให้พบว่าคนทรยศทั้งห้าคนที่ถูกนางควบคุมล้วนเคยติดต่อสื่อสารผ่านยันต์นี้”
สวี่หยางมอบยันต์สื่อสารให้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย่างก้าวสู่วิถีเซียน