ความจริงแล้ว หากพูดกันตามหลักการ สัญชาตญาณแบบนี้ไม่ควรปรากฏในตัวเธอ
ในชาติอดีต แม้ว่าพ่ออยากจะให้เธอมีทักษะป้องกันตัวไว้บ้าง ถึงขนาดจ้างอาจารย์มาสอนให้เธอ แต่ว่าเธอเรียนไปเพียงหนึ่งเดือนเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
แต่เธอก็พบว่าไม่ว่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้ หรือว่าศิลปะการป้องกันตัวอะไร หรือกระทั่งทักษะบางอย่างที่คนอื่นมองว่าไม่ธรรมดานั้น ตนกลับมีความเข้าใจขั้นสูง เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในหัวของเธออยู่แล้ว เธอไม่ต้องไปเรียน เพียงแค่ดึงจากความทรงจำมาใช้ก็พอแล้ว
ในชาติอดีต เพื่อเป็นการหลบเลี่ยงซือเยี่ยหาน เธอไม่เพียงปกปิดโฉมหน้าของตัวเอง แต่ยังรวมถึงทักษะทั้งหมดของเธอ ความสามารถทุกอย่างที่จะสามารถปรากฏขึ้นมาได้
แต่ในชาตินี้ เธอไม่มีทางโง่เขลาแบบนั้นอีกแล้ว มีอาวุธอยู่ในมือแท้ๆ แล้วยังจะปล่อยให้ตัวเองและญาติข้างกายตกอยู่ในจุดจบที่น่าเศร้าแบบนั้น
หลังเลิกเรียน
เยี่ยหวันหวั่นเพิ่งจะโผล่พ้นประตูห้องเรียน ก็เหลือบเห็นเฉินเมิ่งฉีกำลังยืนอยู่ที่ประตูรอเธออย่างใจจดใจจ่อ
ดูจากท่าทางแล้วคงจะพบว่าช่วงนี้จู่ๆ เธอก็ดูใกล้ชิดสนิทกับเจียงเยียนหรานขึ้นมา คงเริ่มร้อนใจแล้วสินะ
“หวันหวั่น!” เห็นเยี่ยหวันหวั่น เฉินเมิ่งฉีก็รีบเดินเข้ามาควงแขนเธออย่างกระตือรือร้น “เย็นนี้พวกเราไปกินเนื้อย่างด้วยกันเถอะ?”
น้ำเสียงและท่าทางของเยี่ยหวันหวั่นไม่ต่างไปจากปกติเลยสักนิด “ได้สิ!”
เฉินเมิ่งฉีเดินไปพลาง ลองถามหยั่งเชิงไปพลาง “หวันหวั่น ได้ยินว่าตอนนี้เธอพักอยู่กับเจียงเยียนหรานเหรอ? นิสัยแบบเจียงเยียนหราน คงจะเข้ากันได้ยากมากใช่ไหม? เธออยากจะย้ายมาอยู่กับฉันไหม?”
“ก็พอได้นะ ขี้เกียจจะย้ายไปย้ายมาน่ะ” เยี่ยหวันหวั่นตอบกลับอย่างไม่เป็นอะไร
เฉินเมิ่งฉีแสดงออกชัดเจนว่ายังไม่สบายใจ “คือว่า เยียนหรานพูดถึงฉันให้เธอฟังบ้างไหม? หวันหวั่น เธอเป็นคนที่เข้าใจฉันดีที่สุด เรื่องของเหยียนหรานเรื่องนั้น ฉันไม่ได้เจตนาจริงๆ นะ ซ่งจื่อหางเอาแต่ตามตื๊อฉันไม่เลิก ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะกลัวว่าจะทำให้เยียนหรานเสียใจ ฉันจึงพยายามปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะกลายเป็นว่าทำให้เยียนหรานเสียใจได้ อีกทั้งยังเข้าใจฉันผิดอีก…หวันหวั่น เธอเข้าใจฉันใช่ไหม?”
หากว่าเป็นเธอในชาติก่อน เธอต้องเข้าใจอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่เข้าใจเลย ต่อให้เอาหลักฐานมากางตรงหน้า เกรงว่าเธอคงเลือกที่จะเชื่อเฉินเมิ่งฉี
เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้วย่นท่าทางคิดพัลวันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า ใบหน้าแสดงออกว่าถูกชักจูงถูกล้างสมอง พลางเอ่ย “เมิ่งฉี ฉันเข้าใจเธออย่างแน่นอน เธอดูดีขนาดนี้ เป็นคนดีคนเก่งขนาดนี้ เป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงให้มีคนจำนวนมากมาชอบเธอได้! จะไปโทษเธอได้อย่างไรกัน?”
เฉินเมิ่งฉีได้ยินแบบนี้ เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ซ่อนร่องรอยการเย้ยหยันในสายตาไว้ โชคดีที่เธอประหม่าตื่นเต้นเพียงเล็กน้อย คนโง่เขลาอย่างเยี่ยหวันหวั่น ยังคงล้างสมองหลอกง่ายเหมือนเดิมอย่างที่คิดไว้
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน โทรศัพท์ของเฉินเมิ่งฉีก็ดังขึ้น
เยี่ยหวันหวั่นตาไวเหลือบไปเห็นเป็นชื่อของรุ่นน้องผู้ชายม.5 เป็นหนึ่งในแฟนคลับผู้คลั่งไคล้เฉินเมิ่งฉี ทางบ้านมีฐานะอยู่พอประมาณ แต่ก็ยังไม่อาจเอามาเปรียบเทียบกับซ่งจื่อหางในเวลานี้ได้
คนประเภทนี้ที่เฉินเมิ่งฉีเก็บไว้เป็นตัวสำรอง เท่าที่เธอรู้ก็มีอยู่หลายคน
คิดมาถึงตรงนี้ เยี่ยหวันหวั่นลูบคาง นัยน์ตาประกายด้วยเลศนัย
“ฮัลโหล?” เฉินเมิ่งฉีก็ไม่ได้เลี่ยงเยี่ยหวันหวั่น แต่กลับรับสายไปตรงๆ
“วันเสาร์เหรอ? เกรงว่าคงไม่ได้น่ะ ฉันมีเรียนพิเศษ วันอาทิตย์ก็ไม่ว่างเลย ต้องขอโทษจริงๆ นะ เป็นครั้งหน้าได้ไหม?”
เฉินเมิ่งฉีปฏิเสธฝ่ายตรงข้ามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและลำบากใจเป็นที่สุด
ตอนนี้เธอพุ่งความสนใจไปที่ซ่งจื่อหาง ส่วนตัวสำรองเบอร์ 1 เบอร์ 2 เบอร์ 3 แน่นอนว่าให้รอด้านข้างไปก่อน
หลังจากเฉินเมิ่งฉีวางสาย ก็หันไปพูดกับเยี่ยหวันหวั่นต่อ “แต่ว่าฉันไม่คิดเลยจริงๆ ปกติเยียนหรานเขาดูรักซ่งจื่อหางมากขนาดนั้น ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็หันไปคบกับฉู่เฟิงแล้ว คงเพราะครอบครัวตระกูลเฟิงฐานะไม่เลวสินะ…”
ดูจากท่าทางแล้ว เธอไม่เพียงต้องการล้างสมองตน แต่ยังเตรียมวางยาใส่เจียงเยียนหรานต่อหน้าเธออีกด้วย บอกเป็นนัยว่าเจียงเยียนหรานเป็นคนหน้าซื่อใจคด เกลียดคนจนชอบคนรวย
อย่างไรแล้วในความเป็นจริงด้วยความฉลาดของคนอย่างเฉินเมิ่งฉี ต้องเข้าใจแจ่มแจ้งเหมือนกับคนอื่นๆ สถานภาพของครอบครัวตระกูลเฟิงในเวลานี้ อุตสาหกรรมอยู่ในภาวะถดถอย อยู่ในช่วงขาลง อีกไม่นานก็จะล้มละลายแล้ว คนแบบนี้ เธอย่อมดูถูกอยู่แล้ว
คนทั้งสองพูดคุยกันไปพลางเดินไปหอพัก เตรียมจะเอาหนังสือเรียนไปเก็บก่อน
เพิ่งจะเดินมาถึงประตูของหอพักหญิง ก็พบว่ามีคนกลุ่มใหญ่มายืนมุงกันอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี