“ฮาๆๆ ผู้อาวุโสเยี่ย หรือว่าคุณยังไม่รู้เรื่อง?” ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยหัวเราะออกมา ยกมือชี้ไปที่เยี่ยหวันหวั่นแล้วพูด “หลานสาวคุณคนนี้เก่งกาจ สอบเอ็นทรานซ์คณะศิลปศาสตร์ในเมืองนี้ พวกนักเรียนรุ่นใหม่ หวั่นหวันเธอสอบได้อันดับหนึ่ง ไม่ อีกสามรุ่นถัดมา ก็ไม่มีใครได้คะแนนเกินหวั่นหวัน มหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงของพวกเรา เพื่อเธอแล้ว เกือบจะต้องต่อสู้แย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกกับมหาวิทยาลัยเมืองหลวงกันเลยทีเดียว โชคดี สุดท้ายแล้วหวั่นหวันเลือกมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวง”
“ก่อนหน้านี้ผมยังพูดอยู่เลย ครอบครัวไหนที่มีบุญวาสนามากขนาดนี้ สามารถเลี้ยงดูเด็กให้โดดเด่นแบบนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าจะเป็นตระกูลของคุณ!
ผมว่านะผู้อาวุโสเยี่ย คุณซ่อนหลานสาวที่ล้ำค่าคนนี้ไว้ได้ลึกมาก เมื่อก่อนได้ยินแต่คุณพูดถึงอีอี คิดไม่ถึงเลย ว่าคุณยังเลี้ยงเยี่ยหวันหวั่นที่เก่งยิ่งกว่าไว้เป็นการส่วนตัวอีก ผมนับถือจริงๆ”
ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น สายตามองไปทางเยี่ยหวันหวั่นไม่หยุด มีความชื่นชมอยู่ในแววตาอย่างเปิดเผย
“ศาสตราจารย์หลี่ชมเกินไปค่ะ เป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มเล็กน้อย ตอบอย่างใจกว้าง ทำให้คนรู้สึกเหมาะสม
“หวั่นหวัน ปีนั้นถ้าฉันมีโชคอย่างเธอ กลัวว่าจะลำพองจนไม่รู้ชื่อแซ่ตัวเองแล้ว เด็กอย่างเธอ กลับยังควบคุมอารมณ์ได้” ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยยิ้มแล้วส่ายหน้า ยิ่งแสดงออกว่าชื่นชอบเด็กน้อยคนนี้ที่ไม่หยิ่งผยอง ยังสงบเสงี่ยมอยู่
“หวั่นหวัน เธอทำไม่ถูกต้องนะ” จู่ๆ ก็มีผู้อาวุโสอีกท่านที่นั่งอยู่บนโต๊ะหลักลุกขึ้นยืน หรี่ตาไปทางหลี่เยวี่ย ท่าทางไม่พอใจ
ผู้อาวุโสท่านนี้สวมสูทสีขาว ดูมีกำลังวังชา ท่าทางดูร่ำรวย
ผู้อาวุโสตรงหน้า ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับทุกคนที่นี้ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้อำนวยการของ ‘มหาวิทยาลัยเมืองหลวง’ โจวชิงกัง
“หวั่นหวัน ตอนแรกพวกเรามหาวิทยาลัยเมืองหลวงถึงกับเสนอให้เธอได้ผ่านการประเมินขั้นตอนต่างๆ โดยที่ไม่ต้องสอบ แต่สุดท้ายเธอดันเลือกมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวง ทำร้ายจิตใจของพวกเราจริงๆ มหาวิทยาลัยเมืองหลวงนั้นต้องการเชิญเธอมาเข้าเรียนด้วยใจจริง เงื่อนไขของพวกเราไม่ด้อยไปกว่ามหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงเลย”
นอกจากโจวชิงกังจะทอดถอนใจแล้ว ก็หลงเหลือเพียงความเสียดาย ต้นกล้าอ่อนแบบนี้ ไม่สามารถแย่งชิงมาจากมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงได้เลย… ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าเยี่ยหวันหวั่นเป็นหลานสาวของเยี่ยหงเหวย เขาจะต้องเข้าทางผู้อาวุโสเยี่ยเพื่อมาชิงตัวเธอก่อนแล้ว
“โจวชิงกัง หวั่นหวันหลานสาวที่มีคุณธรรมได้เลือกมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงของพวกเราแล้ว คุณก็อย่าพูดมากความอีกเลย ยังไงหลังเปิดเทอม หวั่นหวันก็จะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงของพวกเรา คุณน่ะ… ตัดใจเสียเถอะ” ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยยิ้มแล้วพูด
“นั่นก็ไม่แน่นะ เรื่องนี้ยังไม่ได้จบเสียทีเดียว หวั่นหวันแค่มีเจตจำนงเท่านั้นเอง ไม่แน่ สุดท้ายแล้วอาจจะเลือกมหาวิทยาลัยเมืองหลวงของเราก็ได้” โจวชิงกังไม่พอใจ พูดจบก็ยังไม่ลืมมองเยี่ยหวั่นหวั่น แสดงออกถึงท่าทีที่ตัวเองเลือกดีแล้วอย่างลึกซึ้ง
เวลานี้ นักวิชาการสองคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงในเมืองหลวง กลับเหมือนเด็กที่แย่งเยี่ยหวันหวั่นกัน
ภาพนี้ ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงต่างเข้าสู่ความเงียบ ราวกับทั้งโลก เหลือแค่เสียงของโจวชิงกังและหลี่เยวี่ย
เหลียงซือหานและฟางซิ่วหมิ่นสองแม่ลูก ใต้เท้าเหมือนหยั่งรากลงไป ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม ในสมองมีเสียงสั่นสะเทือนเป็นระยะ แล้วเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
เยี่ยหวันหวั่นที่พวกเธอบอกว่า ไม่ร่ำเรียน เป็นมอดไร้ค่าของสังคม…
กลับโดนนักวิชาการสองคนจากมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงและมหาวิทยาลัยเมืองหลวงแย่งชิงตัวกัน…
“ก่อนหน้านี้… เหลียงซือหานกับฟางซิวหมิ่น… บอกว่าเยี่ยหวั่นหวันโดนไล่ออกเรียนไม่จบไม่ใช่เหรอ…”
“ใครบอกว่าไม่ใช่ ฉันนึกว่าที่พวกเธอพูดเป็นเรื่องจริงเสียอีก คิดไม่ถึงเลย… เรื่องจะกลับตาลปัตรแบบนี้…”
“ฉันว่าเยี่ยหวันหวั่น ยังไม่เคยตอบโต้กลับสักประโยค…”
…………………………………………………
บทที่ 338 หนูเชื่อฟังคุณปู่
“หึๆ … ไม่ตอบโต้กลับตรงไหน ท่าทางแบบนี้ ทำเอาฟางซิ่วหมิ่นสองแม่ลูกกลายเป็นตัวตลกไปโดยปริยาย แม้พวกเธออยากจะพูดแก้ตัวยังไม่ได้เลย…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี