ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 125

แต่เฉินซ่าที่หลับลึกอยู่ไม่รู้เลยว่า ในคอของเขากำลังมีเส้นสีดำเส้นหนึ่งทอดยาวไปจนถึงหน้าอกของเขา เส้นทางที่ผ่านไปไม่ใช่เส้นตรง แต่เหมือนกับกำลังวาดลวดลายอะไรบางอย่างอยู่ใต้ผิวหนังของเขา และในที่สุดลวดลายนั้นก็มาใกล้จะวิ่งไปถึงหน้าอกของเขาแล้ว

ในขณะที่เยว่กำลังดูรูปนั้นอยู่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกมากอย่างหาที่สุดมิได้ เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่เขารู้ว่าไม่อาจปล่อยให้มันลอยขึ้นไปถึงหัวใจของเฉินซ่าได้อย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาจะเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิดได้ โหลชีเคยพูดกับพวกเขาเอาไว้แล้ว เป็นหนอน กู่ คำสาป และผู้พิทักษ์ทั้งหมดก็คือหัวใจและสมอง

สิ่งนั้นที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังจะเคลื่อนตัวไปถึงหัวใจของเฉินซ่าแล้ว เยว่จึงยกพิชิตวันที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาและต้องการที่จะกรีดลงไป แต่ในที่สุดเขาก็กัดฟันวางมันลงด้วยจิตใจที่หงอยเหงาเศร้าซึม เขาไม่ใช่โหลชี จะไปรู้วิธีแก้สิ่งที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร! ถ้าหากว่าเขากรีดลงไปแล้วไม่สามารถทำลายสิ่งนั้นได้ แต่กลับเป็นการทำให้หัวใจของนายท่านได้รับบาดเจ็บไปเสียแล้วล่ะ เขาควรจะทำอย่างไรดี?

ในตอนที่เขากำลังอับจนหนทางอยู่นั้น เส้นสีดำนั้นก็วิ่งไปถึงหัวใจของเฉินซ่าแล้วพอดิบพอดี ราวกับว่ามันกำลังจะเจาะเข้าไปข้างในอย่างไรอย่างนั้น ในเวลานั้นเองเขาก็เห็นเพียงว่าจู่ๆก็มีลายสีเข้มๆของเลือดแวบเข้ามาบนหน้าอกของเฉินซ่าหลังจากนั้นก็ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และยิ่งผ่านไปนานก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นแผนภาพเลือดที่ซับซ้อนมากภาพหนึ่ง!

ในขณะเดียวกันที่แผนภาพนี้ปรากฏขึ้นมาเส้นสีดำนั้นก็ดูเหมือนว่าจะส่งเสียงแปลกๆที่คล้ายกับเสียงดังจี๊ดๆออกมา มันแปลกประหลาดมาก เห็นได้ชัดว่าไม่มีเสียงใดปรากฏขึ้นมาเลย แต่ในขณะที่กำลังดูฉากนี้ เขากลับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงแปลกๆที่ดังคล้ายกับเสียงจี๊ดๆดังขึ้นมาจริงๆ ขณะที่เส้นสีดำกำลังร้องแปลกๆอยู่นั้น มันก็รีบล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับหนูเห็นแมว และถอยกลับไปยังเส้นทางเดิม มันล่าถอยทัพกลับไปในเส้นทางเดิม ราวกับกองทัพที่กลืนกินความพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว

แต่ทว่าลวดลายเข้มๆของสีเลือดนั้นดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ในฉับพลันนั้นแสงก็ดูเหมือนจะลุกโชนขึ้นมา ราวกับทหารที่กำลังไล่ล่า มันคุกคามเข้ามาทีละก้าวๆอย่างรวดเร็ว และชั่วประเดี๋ยวเดียวมันก็บีบเค้นเอาเส้นสีดำเหล่านั้นออกไปจนหมด หลังจากนั้นเฉินซ่าก็กระอักเลือดออกมา แล้วก็ฟื้นขึ้นมาในทันทีทันใด

องครักษ์เยว่ดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง และเอาแต่คุกเข่าลงขอบคุณสวรรค์

อีกด้านหนึ่ง เป่ยฝูหรงก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดจนเสียงดังพรวดเช่นเดียวกัน ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้ว กลับพบเห็นคนที่สวมชุดคลุมสีดำคนนั้นกำลังปิดปากและทรุดตัวลงอยู่ข้างๆ และร่างกายก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว

"นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" เห็นได้ชัดว่านางเกือบจะได้ยินคำตอบของเฉินซ่าแล้ว ก็แค่เกือบจะได้ยินแล้วเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าภายในใจของนางจะสั่นไหว และหน้าอกก็ราวกับถูกกระแทกอย่างแรง หลังจากนั้นนางก็ฟื้นขึ้นมา

ความฝันแตกสลายไปแล้ว ความฝันแตกสลายไปแล้ว!

แบบนี้นับว่าเป็นความฝันที่นางเป็นผู้ชักนำอะไรกัน?

"หน้า.. หน้าอกของเขา มีคนวางค่ายกลเอาไว้..." ชายหนุ่มพูดอย่างยากลำบาก

"พูดเรื่องตลกอะไร จะมีใครสามารถวางค่ายกลอยู่บนร่างกายของผู้อื่นได้?" เป่ยฝูหรงตะโกนเสียงแหลมขึ้นมา คิดว่านางเป็นองค์หญิงโง่ๆที่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆอย่างนั้นหรือ? ในโลกนี้ มีเพียงคำสาปกู่เท่านั้นที่จะสามารถใช้กับร่างกายคนได้ ไม่เคยได้ยินว่าสามารถวางค่ายกลบนร่างกายมนุษย์ได้เลย!

"แน่นอน นั่นเป็นเคล็ดวิชาลับที่หายไปขอรับ..."

แต่ทว่า เคล็ดวิชาลับที่หายไป จะมีคนทำได้ได้อย่างไร? จะมีคนทำได้ได้อย่างไร? แม้ว่าจะมีคนทำได้ ทำไมถึงบังเอิญมาวางอยู่บนร่างกายของเฉินซ่าได้ล่ะ!

ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า "ค่ายกลนี้ มีบทบาทในการป้องกันที่แข็งแกร่งต่อเฉินซ่าและสิ่งที่มันปกป้องก็คือคำสาปและกู่นั่นเอง! เดิมทีคำสาปสำหรับเฉินซ่าแล้วก็คือตัวยับยั้งที่มีขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง! ข้าเดาว่าเจตนาเดิมของผู้ที่วางค่ายกลก็คือการยับยั้ง คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้มันจะมาสกัดกั้นเฉินซ่าแทนอย่างพอเหมาะพอดีแบบนี้"

เป่ยฝูหรงเกือบจะกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง

เฉินซ่า!

ทันใดนั้นโหลชีก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง แสงรุ่งอรุณสลัวๆอยู่ตรงหน้า ท้องฟ้ากำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว และมีระลอกคลื่นกระเพื่อมเบาๆอยู่เบื้องล่าง ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อวานนี้นางกับหยุนเฟิงขโมยเรือของอุทยานเขาเฟิงหยุนมาได้ แล้วล่องออกแม่น้ำไป

แต่นางจะฝันว่าเฉินซ่าประสบเหตุที่ไม่คาดฝันได้อย่างไรกัน?

เฉินซ่าไม่มีทางประสบเหตุที่ไม่คาดฝันได้ เขาแข็งแกร่งขนาดนั้น หลังจากที่ปลอบโยนตัวเองเสร็จแล้ว โหลชีก็ระงับความกังวลที่อยู่ภายในใจนั้นเอาไว้ หลังจากที่นางออกแม่น้ำไปแล้ว ถ้านางต้องการจะไปหาเฉินซ่าอีกครั้งก็น่าจะไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้นใช่ไหมนะ? และนางก็เชื่อว่าเฉินซ่าจะไล่ตามมาตลอดทาง เช่นนั้น ขอเพียงแค่นางกลับไปทางเดิมก็พอแล้ว

ก๊อกๆๆ

มีคนมาเคาะประตู

ใต้หน้าผาน้ำของอุทยานเขาเฟิงหยุนมีเรืออยู่สองลำ และมีเรือที่ใหญ่มากหนึ่งลำ คาดว่าถ้าคนที่อยู่ในเขามีธุระอะไรก็สามารถนั่งเรือออกไปได้ และอีกลำหนึ่งก็คือเรือลำนี้ที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ในตอนนี้ ความจริงแล้วมันก็ไม่เล็กเลย มันถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งมีดาดฟ้าเรือ และชั้นสองยังมีห้องพักผู้โดยสารห้าห้อง แถมยังงดงามเป็นอย่างมาก

หยุนเฟิงไปขับเรือเอง พอนางเลือกห้องพักเสร็จแล้วก็ขอตัวไปนอนหลับก่อน เมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้พักผ่อนมากเท่าไหร่นัก หลังจากที่ใช้เวลาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั้งวันกับข่งซิวที่ไม่เคยพูดคุยกับใครมานานหลายปีแล้ว จริงๆแล้วเขาเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน แต่เขาก็ยังอยากจะพูดคุย

เมื่อเปิดประตูออกมา นางก็เห็นหยุนเฟิงกำลังยืนถือจานด้วยมือข้างหนึ่งอยู่นอกประตู

"แม่นาง เจ้าอยากรับประทานอาหารเช้าข้างนอกหรือในห้องรึ?" หยุนเฟิงมองมาที่นางและยิ้มเล็กน้อย

โหลชีมองไปที่จานนั้น ในจานมีหอยที่ใหญ่มากสองตัว บนหอยยังมีสาหร่ายสีเขียวที่ทอดมาแล้วอยู่เล็กน้อย โรยน้ำมันและหัวหอมสับจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังมีแป้งแผ่นชิ้นเล็กๆสองสามชิ้น ซึ่งกลิ่นหอมกระทบจมูกเป็นอย่างมาก

"เจ้าทำอาหารจานนี้เองรึ?" โหลชีถามด้วยความประหลาดใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ