"พวกเจ้าพูดจริงรึ?" ฟ่านฉางจื่อเองก็ทนไม่ไหวแล้ว
โหลชีมองบนใส่ "พวกเราว่างหรือมาล้อเล่นกับท่าน?" นางไม่เคยพูดดีกับฟ่านฉางจื่ออยู่แล้ว พร้อมจะทำให้เขาโกรธปางตายได้ทุกเมื่อ
ถึงสองวันนี้เฉิงสิบจะแปรเปลี่ยนไปตามนางบ้าง ไม่เคารพยำเกรงฟ่านฉางจื่อเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังไม่กล้าทำอย่างโหลชี เขาพูดอย่างจริงจังว่า "ผู้อาวุโสสาม เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว เพราะเมืองพั่วอวี้มีทหารคอยตรวจตราสอบสถานการณ์ทุกแหล่งอำนาจในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ พวกเขาเองก็พยายามอย่างหนักถึงสืบรู้ว่า เขาพยัคฆ์เป็นค่ายโจรของไอ้ตาเดียวผู้นี้"
ฟ่านฉางจื่อโดนโหลชียั่วจนโกรธจัด เลยไม่คุยกับนาง ได้แต่ถามเฉิงสิบว่า "วีรกรรมความสำเร็จในตอนนั้นของไอ้ตาเดียวข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่เขาจะย้ายสมบัติที่ปล้นมาทั้งหมดมาที่นี่รึ?"
"ใช่ไง ผู้อาวุโสสามท่านดูสิ เขาสามารถซ่อนตัวในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้นี่น่าจะไม่ออกไปแล้วกระมัง สมบัติมากมายขนาดนั้นไม่ย้ายมาไว้ใกล้ตัว เขาทนไหวรึ? อีกอย่าง ถึงทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้จะมีภูเขามีน้ำ แต่นอกจากในเมืองพั่วอวี้แล้ว ที่อื่นไม่มีใครทำนาปลูกผักกันเลยนะ เสบียง ผัก ผลไม้ อะไรก็ไม่มีใครปลูก ทุกที่มีแต่หญ้า ต้นไม้ และบางที่ยังอันตราย บึง หล่มอะไรมีหมด มาอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ต้องมีเงินจำนวนมากถึงจะถูก เพราะทุกครั้งที่ออกไปซื้อของต้องซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันมาจำนวนมากทีเดียว ท่านว่า สมบัติพวกนั้นของไอ้ตาเดียวเขาจะไม่เอามาได้รึ?"
โหลชีได้ยินแล้วตลกมาก นางไม่คิดเลยว่าเฉิงสิบจะพูดเก่งขนาดนี้ คำพูดของเขาไม่มีอะไรเกินจริงเลย แต่เพราะมันดูสมจริงขนาดนี้ ถึงยิ่งทำให้คนคล้อยตามได้ง่าย
ฟ่านฉางจื่อได้ยินแล้วพยักหน้าตามรัวๆ
"ไอ้ตาเดียวนั่นจะร่ำรวยทัดเทียมเขาเวิ่นเทียนรึ?"
เฉิงสิบอึ้งไป เขาเป็นคนจริงใจซื่อสัตย์ คำถามนี้จะตอบอย่างไรดี? เขาเวิ่นเทียนมีประวัติศาสตร์ร้อยปี ต้องมีสมบัติไม่น้อยอยู่แล้ว ทรัพย์สินย่อมไม่น้อยแน่ แต่จะเทียบยังไงล่ะ เขาก็ไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายมีเท่าไหร่กันแน่ พูดน้อยไป เขาจะโกรธไหม?
"ใครจะรู้ว่าเขาเวิ่นเทียนของพวกท่านได้ทรัพย์สมบัติที่แลกมาด้วยเลือดและหยาดเหงื่อของประชาชนเท่าไหร่กัน?" โหลชีมองออกถึงความลำบากใจของเฉิงสิบ เลยพูดต่อให้ "แต่ว่า นั่นเป็นเรื่องของพวกท่าน ถ้าเป็นข้านะ ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมายก็ไม่มีทางบ่นว่าเยอะหรอก แต่ผู้อาวุโสฟ่าน ต่อให้เขาเวิ่นเทียนร่ำรวยเป็นหนึ่งในใต้หล้า สมบัติพวกนั้นเป็นท่านหรือ?"
คำพูดสุดท้ายนี้โหลชีใช้น้ำเสียงเย้ยหยันถามออกมา ถึงจะทำให้ฟ่านฉางจื่อโกรธจนหายใจติดขัด แต่ในเวลาเดียวกันก็เตือนเขาด้วย
เขาต้องยอมรับจริงๆว่า โหลชีมีสองคำที่พูดถูก หนึ่งคือใครก็ไม่บ่นว่าเงินเยอะดอก สองคือเขาเวิ่นเทียนมีสมบัติมากมายเพียงใด มันก็ไม่ใช่ของเขาคนเดียว
เวลานี้โหลชีกับเฉิงสิบโหลวซิ่นทั้งสามคนเหมือนขี้เกียจสนใจเขา ทั้งสามคนคุยแผนการกันเสียงต่ำ ฟ่านฉางจื่อฟังไปพลางก็เยาะหยันพวกเขาโง่เขลาเบาปัญญาไปพลาง ด้วยกำลังภายในของเขา ระดับเสียงเท่านี้ทำอะไรเขาไม่ได้ดอก เขาได้ยินชัดเจนทุกคำรู้ไหม? ต้องมาแสร้งทำมีลับลมคมใน
"พวกเราอ้อมเขาพยัคฆ์ไป ต่อให้แอบขโมยมาได้ลังเดียว ต่อไปก็พอให้เราใช้จ่ายใช้สอยไปได้กว่าครึ่งชีวิตแล้ว!"
"ไปขโมย?"
"อะไรเรียกขโมย พวกเขาปล้นมันมา ปล้นมาจากพ่อค้า พวกเราไปเอามานิดหน่อย กลับไปก็ไปซื้อของ เท่ากับกลับไปสู่มือพ่อค้าอีกครั้ง--"
ฟ่านฉางจื่ออดด่าโหลชีออกมาไม่ได้ ขโมยก็ขโมย ยังพูดราวกับทำเรื่องดี เถียงข้างๆคูๆจริง แต่เขากลับเริ่มคล้อยตามแล้ว...
"แค่กแค่ก!" เขาแกล้งกระแอมไอเสียงดัง ดึงดูดความสนใจจากพวกโหลชีกลับมา แทรกกลางการสนทนาของพวกเขา
"พวกเจ้าสามคนกระซิบกระซาบอันใดกัน"
โหลชีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ "พวกข้าอยากต่อรองกับท่านหน่อย คืนนี้พวกเราจะออกไปเดินเล่นบ้าง"
ฟ่านฉางจื่อแค่นเสียงฮึออกจมูกเป็นเชิงเยาะหยัน ขนาดข้ออ้างยังไม่หาให้ดีเลย! ตกดึกที่นี่มีแต่ความมืด มีอะไรน่าเดินเล่นกัน? อยากไปขโมยของก็บอกไปขโมยของสิ
"พูดมาตามตรง! ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!"
โหลวซิ่วเหมือนตกใจกลัวจนโพล่งออกไปว่า "พวกเราอยากไปขโมยสมบัติที่เขาพยัคฆ์!"
โหลชีได้ยินหันไปตบเขาดังป๊าบ "ใครให้เจ้าพูดออกมากัน! ไอ้โง่!"
ฟ่านฉางจื่อแอบยิ้ม แต่สีหน้ายังคงเคร่งเครียด "สมบัติของเขาพยัคฆ์มีอะไรน่าขโมยกัน! เหลวไหล!"
"จะขโมยจำนวนมากน่ะไม่ง่าย แต่ผู้อาวุโสสามอย่าดูเบาพวกเรานะ เข้าไปขโมยง่ายๆสักลังไม่ใช่ปัญหาเลย ระวังตัวไม่ให้โดนจับได้ก็พอแล้ว!" โหลชีทำหน้าไม่ยี่หระ
ฟ่านฉางจื่อกลับอดคิดไม่ได้ว่า หากพวกเขามีหนทางขโมยออกมาหนึ่งลัง ถ้าอย่างนั้นด้วยวิทยายุทธของเขาก็ไม่ยากสิ ยังมีจื่อหลิน เขาเป็นศิษย์ของตน ต่อให้ไปขโมยมาหนึ่งลังก็ไม่มีทางไม่กล้ามอบให้ตน! มีสมบัติสองลัง เขาก็ร่ำรวยแล้วมิใช่รึ? ต่อให้ไม่เอาสมบัติ ได้ยินว่ายังมีสมบัติล้ำค่า สมุนไพรหายาก พวกนั้นเอามาทำยา มีส่วนช่วยอย่างมากในการเพิ่มพูนวิทยายุทธของตน ถ้าสามารถหาพวกวัสดุยาที่พอกินเข้าไปแล้วจะช่วยเพิ่มพูนวิทยายุทธได้ก็ยิ่งดี!
"พวกเจ้าจะไปตอนกลางคืน?"
พอได้ยินคำนี้ โหลชีแอบยิ้มในใจ ตาแก่นี่ติดเบ็ดแล้ว นางได้ยินว่าฟ่านฉางจื่อเป็นคนที่ละโมบโลภมากที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสของเขาเวิ่นเทียน และยังชอบเครื่องประดับหรูหราอีก ดูจากที่ตาแก่อย่างเขาตกแต่งรถม้าซะโอ้อวดอย่างนั้นก็รู้แล้ว คนแบบนี้ทนต่อสิ่งยั่วยุไม่ไหวแน่ โดยเฉพาะไอ้ตาเดียวคนนี้ เฉิงสิบกับโหลวซิ่นบอกแล้วว่า ไปปล้นสมบัติมานับไม่ถ้วน จุดนี้ดูไม่ใช่ข่าวลือโคมลอย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ