ฟ่านฉางจื่อแค่นเสียงหึ เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถม้า
โหลชีส่งทองสองลังนั่นให้เฉิงสิบ และไปนั่งพักที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง เหน็ดเหนื่อยตรากตรำมาทั้งคืนแล้ว ก็เหนื่อยล่ะ พอมองซากศพอนาถไปทั่วนั่น ในใจรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง โหลวซิ่นยื่นถุงน้ำให้นาง นางดื่มไปหนึ่งอึก พลางร้องเอ๊ะออกมา "เหล้า?"
โหลวซิ่นพูดเสียงต่ำว่า "แม่นางคิดไม่ถึงกระมัง ที่นี่มียอดฝีมือหมักเหล้าอยู่คนหนึ่ง เขาหมักเหล้าไว้มากมาย มีไหเหล้าอยู่เต็มสองเรือนไม้เลย! เหล้านี้รสชาติดีกระมัง?"
จริงด้วย เหล้านี้กลิ่นหอมมาก พอเข้าปาก มีกลิ่นไอพิเศษของข้าวสาลีอยู่ คุกรุ่นไปมาไม่หยุดหย่อน
โหลชีดื่มไปอีกหนึ่งอึก พลางถาม "คนล่ะ?"
โหลวซิ่นบอกอย่างโกรธๆว่า "เรือนไม้นับร้อยเรือนนั่นมีคนอยู่เกือบสี่ร้อยคน ชายหญิงอย่างละครึ่ง มีเด็กด้วย ชายหนุ่มหญิงสาววัยทำงานล้วนแต่อายุน้อยแข็งแรงกันทั้งนั้น หญิงสาวนั้นส่วนมากกำลังท้อง ฝ่ายชายมือเท้ามีโซ่เหล็กคล้องอยู่ เหมือนกับนักโทษ ข้าน้อยสำรวจดูแล้ว มือเท้าพวกเขาล้วนมีรอยบาดและรอยปูดโปน น่าจะเอามาสร้างเมือง"
"ไอ้ตาเดียวคงจะเตรียมการมานานแล้ว สร้างเมืองไม่พอ ยังต้องมีชาวเมืองอีก ดังนั้นเขาเลยจับคนพวกนี้มาช่วยสร้างเมืองให้เขา และจับผู้หญิงมาเป็นแม่พันธุ์ทำลูกเพิ่มจำนวนชาวเมือง ก็ดูมีหลักการอยู่บ้าง" เฉิงสิบพูดขึ้น
"น่าเสียดายนะ น่าเสียดาย" โหลชีอดถอนหายใจแผ่วเบาออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการมาของพวกเขา ไอ้ตาเดียวคงสร้างเมืองได้สำเร็จ ด้วยวิทยายุทธและความสามารถในการหาเงินของเขา ต่อไปไม่แน่ว่าเมืองนี้จะกลายเป็นเมืองร่ำรวยอันดับหนึ่งของพั่วอวี้ และล้ำหน้าเมืองพั่วอวี้ไปได้
แต่มาเจอนางเข้า
นางเป็นคนชักจูงให้ฟ่านฉางจื่อเกิดความละโมบอยากครอบครองสมบัติของไอ้ตาเดียวเอง ตอนแรกนางก็จัดทางตันให้ไอ้ตาเดียวกับลูกน้องไว้แล้ว ต้องการให้ฟ่านฉางจื่อฆ่าพวกเขาให้หมดอยู่แล้ว นางต้องการมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เฉินซ่า ย่อมจะไม่ทำให้เขาต้องสูญเสียทหารยามเข้าใกล้เมืองนี้อยู่แล้ว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป น่าหลานจื่อหลินถึงได้กลับมาพร้อมร่างกายอ่อนแรง
สี่ร้อยกว่าคน ต้องวางยาสลายกำลังทั้งหมด ถึงจะพูดว่ายานี้พอเจอลมและสูดเข้าไปก็จะโดนแล้ว แต่เรือนไม้เกือบร้อยเรือนให้เดินจนทั่วก็เหนื่อยมากพอดูแล้ว
ชุดขาวเดิมของเขากลายเป็นสีเลือด ตอนนี้บวกกับเหงื่อไคล กลิ่นนั่นทำคนต้องถอยห่างหลายก้าวเลยทีเดียว
เขามองโหลชีหนึ่งที ก่อนรีบเดินไปทางรถม้า ฟ่านฉางจื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พลางโยนเสื้อผ้ามาให้เขาหนึ่งชุด เขาเดินไปเปลี่ยนชุดในป่า ท่ามกลางการเร่งเร้าของฟ่านฉางจื่อ ทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอย่างบ้าคลั่ง
ฟ่านฉางจื่อในใจร้อนรนนัก ต่อมามุ่งหน้าไปยังหุบเทพมารอย่างเร่งรีบเต็มที่จนม้าไม่ได้พักฝีเท้าข้ามวันข้ามคืน
โหลชีก็ให้ความร่วมมือ เพราะนางเองก็อยากรีบจะไปหาเถาทองม่วงเร็วๆ อีกอย่างจะได้ไปเจอน่าหลานฮั่วซินคนนั้นที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนแท้ๆแต่กลับคิดร้ายนางไม่หยุดหย่อนนั่นด้วย!
ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาเอื่อยๆ
แต่ละคนในตำหนักจิ่วเซียวต่างรู้ดีว่าฝ่าบาทของพวกเขาระยะนี้จิตใจมิใคร่ดีนัก พอจิตใจไม่ดี อารมณ์ก็พลอยมิดีตามไปด้วย
ที่ห้องประชุม เสียงร้องครวญครางดังขึ้น คนผู้นี้ถูกถีบออกมาอย่างแรง ร่างตกกระทบพื้นเสียงดังปึ้ง ม้วนตัวอยู่หลายตลบ นำพาใบไม่ร่วงไปด้วยหลายใบ
นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านนอกพากันตกใจจนตัวสั่นงันงก มีคนลอบมองดู และเห็นคนผู้นั้นกระอักเลือดคำโตออกมา พลันขาอ่อนยวบ
องครักษ์ลับตี้เอ้อร์ที่ซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่งถามเสียงเบาว่า "นี่เป็นคนดวงซวยที่เท่าไหร่ในรอบสิบวันนี้?"
เทียนยียกห้านิ้วขึ้นอย่างสงบนิ่ง
"ห้าคนแล้ว เอ๋ เทียนยี เจ้าว่าฝ่าบาทฆ่าต่อไปแบบนี้ จะมีคนให้ใช้อีกรึ?"
"สามวันก่อนฝ่าบาทพาคนไปพิชิตหุบเขาสองที่แล้ว พวกนั้นมิใช่คน?" เทียนยีบอก
ตี้เอ้อร์หน้าทะมึน เขาพูดถึงพ่อบ้านแม่บ้าน เทียนยีกลับพูดถึงเหล่าพลทหารและองครักษ์ ไม่เหมือนกันเลยสักนิด
"ฝ่าบาทย่อมมีหนทางขององค์เอง" เทียนยีเหล่เขาหนึ่งที ในฐานะองครักษ์ลับ อย่ายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง
คนพวกนี้เดิมก็สมควรตายอยู่แล้ว
ในห้องประชุม รู้สึกถึงแรงกดดันตั้งแต่เช้า
เดิมการเคลื่อนไหวสองครั้งเมื่อสามวันก่อนล้วนเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ควรจะดีใจถึงจะถูก แต่หลายวันนี้เหล่าผู้นำล้วนแต่อกสั่นขวัญหาย
สืบเนื่องมาจากราชโองการสามอันที่ประทานลงมาเมื่อสิบวันก่อน หลังจากราชโองการออกมาแล้ว พวกที่เลื่อนขั้นกลับเป็นพ่อบ้านรองสามคน พ่อบ้านรองสามคนนั้นเป็นคนที่ยื่นฎีกาสามเล่มนั้น เพราะระบบการปกครองของกษัตริย์และข้าราชบริพารในตำหนักจิ่วเซียวยังไม่แล้วเสร็จ ตอนแรกเลยบอกให้พ่อบ้านและพ่อบ้านรองสามารถยื่นฎีกาได้หมด แต่ปีครึ่งมานี้ เหล่าพ่อบ้านรองมีไม่กี่คนที่กล้ารับฎีกาจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ