โหลชีย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่ามีใครบางคนเอาชื่อนางไปตั้งชื่อเมือง นั่นยังเป็นชื่อเมืองที่สองของพั่วอวี้ มันมีความหมายทางด้านยุคสมัย
ฟ่านฉางจื่อจดจำถึงทรัพย์สมบัติในโกดังนั่น ราวกับธาตุไฟเข้าแทรกก็ไม่ปาน นอกจากจะพักผ่อนตอนกลางคืนแล้ว แทบจะไม่ยอมหยุดพักทานอาหารสามเวลาเลยด้วยซ้ำ คิดแต่เร่งเดินทาง รีบไปให้ถึงหุบเทพมารเร็วหน่อย รีบจัดการนังหนูโหลชีนี่ไปเร็วๆ เขาก็จะได้รีบกลับไปขนสมบัติของเขาแล้ว
คนคนหนึ่งรักทรัพย์สมบัติจนถึงขั้นนี้ โหลชีเองก็หน่ายใจพอดู
เพียงแต่ว่า ยิ่งเป็นแบบนี้ ผลที่เขาจะได้รับตอนหลังยิ่งมาก
และเพราะแบบนี้ ถึงเขาจะฆ่าตน แต่โหลชีก็ไม่คิดเอาชีวิตเขา นางจะเก็บชีวิตเขาไว้ ให้เขาย้อนกลับมาดู และลิ้มรสชาติสักหน่อย คาดว่ามันจะเป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่จะได้โมโหจนตายได้
ควบม้าเดินทางติดกันมายี่สิบกว่าวัน ทั้งคนและม้าต่างเหน็ดเหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว พอเห็นเข้าใกล้หุบเทพมารแล้ว โหลชีพูดอะไรก็ไม่ยอมเร่งเดินทางแล้ว
"ข้าไม่ไป วันนี้ข้าจะพักค้างแรมที่นี่" นางรั้งม้า เดินไปหาอีกฝ่ายที่อยู่ไม่ไกล
ในเวลานี้ใกล้ตะวันตกดิน ท้องฟ้ายังไม่มืด พระอาทิตย์ยังรั้งอยู่ขอบฟ้า เท่าที่ดูตอนนี้ เวลานี้ยังต้องพยายามเดินทางอีกระยะหนึ่ง รอจนฟ้ามืดจริงถึงจะพักผ่อน ตอนนั้นไม่สนหรอกว่าจะไม่ได้พักบ้านคนหรือในเมืองหรือโรงเตี๊ยม
แต่ครั้งนี้โหลชียืนยันจะคัดค้านจนถึงที่สุด
พอนางลงจากม้า เฉิงสิบกับโหลวซิ่นก็ลงจากม้าตาม
"โหลชี! กลับมาเดี๋ยวนี้!" ฟ่านฉางจื่อกัดฟัน ยังเช้าอยู่เลย เดินทางอีกหน่อยจะเป็นไรไป? เมื่อก่อนก็ทำอย่างนี้มิใช่หรือ?
เขาไหนเลยจะรู้ว่า ก่อนหน้านี้โหลชีก็อยากรีบเร่ง ดังนั้นพอเขาบอกจะเร่งเดินทางนางเลยให้ความร่วมมือ แต่ตอนนี้เข้าใกล้หุบเทพมารมากขึ้นแล้ว นางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่หุบเทพมารบ้าง จะเจอใครหรืออะไร นางต้องรักษาสภาพจิตและร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ดังนั้นหลายวันต่อมานี้ จะเป็นเวลาปรับสภาพที่ให้กับตัวเองของนาง
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นก็ด้วย
ยี่สิบกว่าวันนี้ทุกคนผอมลงไปเป็นกอง
โหลชีเองก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ ทั้งคนและม้า
"อาจารย์ ยังไงพักแรมที่นี่คืนหนึ่งเถิด ในระยะร้อยลี้นี่มีแต่ภูเขาติดกันหลายๆลูกแล้ว ดูท่าเดินทางต่อไปก็ไม่เจอผู้คนดอก" น่าหลานจื่อหลินเองก็เหน็ดเหนื่อยมาก
จะว่าไปแล้วมีแต่ฟ่านฉางจื่อสบายที่สุด เพราะเขานั่งรถม้า แต่พวกโหลชีขี่ม้า น่าหลานจื่อหลินยังต้องบังคับรถม้า ตั้งแต่ออกมาจากเขาเวิ่นเทียนเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้องมาเร่งเดินทางเยี่ยงนี้ เดิมบังคับรถม้าให้อาจารย์มันมิเป็นไรดอก รถม้านี่ก็หรูหราและงดงามมาก ดูแล้วเขายังดูสง่างามอยู่ แต่พอเร่งเดินทางอย่างบ้าคลั่ง มันมิเหมือนกัน น่าหลานจื่อหลินรู้สึกว่าใบหน้าจนโดนลมและทรายพัดจนหยาบกร้านและยับย่นหมดแล้ว
ฟ่านฉางจื่อกัดฟัน ไม่พูดอะไรเท่ากับยอมรับ
นี่เป็นบ้านชาวบ้านหลังหนึ่ง ใช้หินมาต่อเป็นกำแพงขนาดสูงครึ่งคน สามารถมองเห็นสวนผักที่ปลูกขนาดใหญ่ อีกด้านทำคอกเล็กๆไว้เลี้ยงไก่ เรือนสามเรือนวางเรียงกันเป็นสามเหลี่ยม ถึงบนกำแพงจะมีรอยตะไคร่น้ำสีเขียวอยู่บ้าง แต่โดยรวมดูแล้วสบายตามาก
ไม่น่าจะนับเป็นชาวบ้านยากจน เพราะในเรือนยังมีรถลาก
"ระหว่างทางที่มา หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดยังต้องเดินสองวันเลย บ้านนี้ออกมาอยู่ตามลำพังนี่มันแปลกไปหน่อยไหม?" โหลวซิ่วบอก
"เคาะประตู" โหลชีไม่สนใจว่าจะแปลกไม่แปลก ถ้าคืนนี้ไม่ได้นอนเตียง ดูท่าอีกหลายวันต่อจากนี้ก็ไม่ได้นอนเตียงละ
"มีใครอยู่ไหม?" เฉิงสิบเคาะประตู เพราะกำแพงโดยรอบไม่สูง ประตูกลับสูงกว่ากำแพงเกือบครึ่ง
ไม่นาน พวกเขาก็เห็นว่ามีคนเดินออกมาจากเรือนกลางด้านใน แต่ที่ทำให้พวกเขาแปลกใจคือคนที่ออกมากลับเป็นสตรีอายุน้อยคนหนึ่ง
สตรีคนนั้นปักลายดอกไม้สองดอกไว้ที่หัว อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก ใส่ชุดลายดอกไม้สีฟ้า ผูกสายรัดเอวสีเขียวไว้ที่เอว หน้าตาผิวพรรณ คิ้วงามงอน ผิวขาวเนียน ท่วงท่านวยนาด
พอเห็นพวกเขา นางตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเผยแววหวาดหวั่นออกมา
"พวกท่านเป็นใครกัน?" น้ำเสียงนางใสหวาน ทำให้เฉิงสิบยังอดไม่อยู่พูดเสียงเบาลง
"พี่สาว พวกเราผ่านมา อยากขออาศัยค้างแรมที่นี่สักคืน มิรู้ว่าจะสะดวกหรือไม่?" สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางว่า "จากที่นี่ไปก็เป็นภูเขาไม่มีบ้านคนแล้ว จะมีใครผ่านมาแถวนี้ได้ยังไง?" ความหมายนั้นคือ พวกท่านผ่านมายังไง? จะไปที่ไหนกัน?
"พวกเราจะไปภูเขา" โหลชีบอก "ไปหายาที่ภูเขา"
"ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง" มาหายาดีในป่าลึก บอกว่ามาหายาเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดแล้ว "พวกท่านรอสักครู่ ข้าต้องไปถามพ่อสามีก่อน"
นางพูดพลางเดินไปห้องด้านขวา ไม่นาน พวกโหลชีก็ได้ยินเสียงไอค่อกแค่กดังหลายทีจากด้านใน มีเสียงคนพูดกัน แต่ได้ยินไม่ชัด
ฟ่านฉางจื่อเดินเข้ามา มองประตูใหญ่ที่ปิดแน่นพลางแค่นเสียงหึเยาะหยันว่า "แค่ชาวบ้านชาวเขายังมาทำลีลา"
"อ้อ เขาเวิ่นเทียนไม่ใช่ภูเขา?" โหลชีเลิกคิ้วยิ้มถามออกมา
ฟ่านฉางจื่อโดนนางยั่วโมโหจนชินชาแล้ว ตอนนี้อดทนไว้ไม่ตอบนาง ในสายตาเขา โหลชีเองก็คงจะอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ถึงเวลานั้นเขาจะไม่มีทางให้นางตายอย่างสบายเกินไปก็เท่านั้นเอง! ก่อนตายไม่ทรมานนางสักหน่อย เขาคงทนไม่ไหวแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ