พอได้ยินเสียงนี้ โหลชีก็อึ้งทันที
นางหันหน้ากลับไปมองช้าๆ คิดว่าจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาของหยุนเฟิง ไม่คิดว่าสิ่งที่เห็นคือชายวัยกลางคนผิวดำหยาบกระด้าง
อึ้งอยู่นานนางถึงจะนึกขึ้นได้รางๆว่า ตอนครั้งแรกที่เจอหยุนเฟิงเขากำลังแย่งบัวเลือดเขาน้ำแข็งปลอมกับศิษย์น้องชายสี่ของเขาอยู่ ตอนนั้นเขาสวมหน้ากากหนังคน คิดว่าตอนนี้คงสวมหน้ากากอีกแล้ว
เมื่อกี้นางไม่ได้หูฝาดไป นี่มันเป็นเสียงของหยุนเฟิงชัดๆ
สำหรับหยุนเฟิงนั้น จนกระทั่งตอนนี้โหลชีก็ไม่เคยรำคาญเลย ครั้งแรกเขาขวางพิษของหนอนปีกเพลิงด้วยมือเปล่าให้นางที่หน้าผาน้ำอุทยานเขาเฟิงหยุน จากนั้นทั้งสองนั่งเรือออกไปด้วยกัน บนเรือนั้นเขาทำอาหารที่โหลชีชอบ บริการกระเพาะของนางได้อย่างดี ต่อมาก็ไปถอนบัวเลือดที่ภูเขาหิมะ ทั้งที่เขาได้บัวเลือดมาก่อน สุดท้ายกลับมอบให้นางโดยไม่ลังเลเลย
แม้โหลชีจะรู้สึกว่าทำดีหวังผลคำนี้จะมีเหตุผลมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังไม่ได้ทำผิดต่อนางเลย? แค่รู้สึกว่าการเจอเขาในครั้งนี้ มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า
หยุนเฟิงรอคำตอบจากนางด้วยรอยยิ้ม
โหลชีส่ายหน้า: "ข้าไม่ดื่มเหล้ากับคนขี้เหร่" ใบหน้าของเขาขี้เหร่มากจริงๆ จำเป็นต้องใช้ผิวหน้าที่ดำและหยาบกระด้างขนาดนั้นรึ?
หยุนเฟิงติดหน้ากากไว้ กลับยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยใจ "ดูคนแค่หน้าตาแบบนี้ไม่ได้นะ" ว่าแล้วเหมือนไม่ได้ยินนางบอกว่าเขาขี้เหร่ เขาก็ดึงเก้าอี้ข้างๆนางออกมานั่ง
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นมองออกว่านางน่าจะรู้จักกับชายผู้นี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือก่อน
"ข้ามองคนแค่หน้าตา ข้าก็เป็นคนผิวเผินแบบนี้แหละ" โหลชียกมือขึ้นสั่งเหล้ามาสองไห เฉิงสิบแย่งเปิดไฟ เทลงในถ้วย และเอาเหล้าทั้งสองไหไว้ข้างตัวเอง
"คุณชาย ข้าน้อยรับผิดชอบเทเหล้าเองขอรับ"
โหลชีมองเขาแล้วหัวเราะออกมา: "เฉิงสิบเจ้าเตรียมเป็นแม่บ้านหรือไง?" เขากลัวว่านางจะดื่มเหล้าเยอะเกินจนเมาต่างหากรึ?
"ข้าน้อยกลัวว่าคุณชายจะเหนื่อยขอรับ" เฉิงสิบพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า อยู่กับโหลชีมานานขนาดนี้ คำพูดคำจาของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนที่อยู่กับเฉินซ่า แค่จะพูดล้อเล่นยังไม่กล้าเลย
ดังนั้น มีนายท่านแบบไหน ก็จะมีลูกน้องแบบนั้น
หยุนเฟิงหัวเราะ ให้เสี่ยวเอ้อร์เอาถ้วยกับตะเกียบมาโดยไม่เกรงใจเลย
เขายกถ้วยเหล้าไปทางโหลชี: "ดื่มเพื่อความบังเอิญเจอกันที่เมืองผิงซา ชนแก้ว" เขาไม่ถอดหน้ากาก แต่ก็แน่ใจว่าโหลชีจำเขาได้แน่นอน
โหลชีอดไม่ได้มองตาขวางเขา: "เจ้าว่าทำไมถึงบังเอิญเช่นนี้นะ?"
"ใช่ ทำไมถึงบังเอิญจังเลยนะ? แต่ว่า ข้าอยู่เมืองผิงซามาสองวันแล้ว คุณชายเพิ่งมา หรือว่าคุณชายรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ จึงแอบตามข้ามา?" หยุนเฟิงหัวเราะ
ตามมา ตามมากับผีน่ะสิ
หยุนเฟิงเป็นคนที่ลึกลับมาก แต่ตอนนี้โหลชีไม่ได้คิดอยากจะสืบเขาเลย ขอแค่เขาไม่ทำอะไรตัวเอง จะลึกลับแค่ไหนนั่นก็เป็นเรื่องของเขา การได้อยู่กับเขานางก็รู้สึกสบายใจดี ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร นางยังรู้สึกว่าถ้ามีโชคชะตาได้เป็นเพื่อนกันก็ไม่เลวเหมือนกัน
นางไม่มีทางยอมรับว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่อยากเป็นเพื่อนกับเขาเป็นเพราะเขาทำอาหารอร่อย
ยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับเขา นางแหงนหน้าขึ้นดื่มเหล้าทั้งถ้วยจนหมด หยุนเฟิงมองดูท่าทีที่ตรงไปตรงมาของนาง เขาก็ยิ้มกว้างขึ้นและดื่มหมดถ้วยตามนาง
ต่อมาทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก อืม...ที่คุยกันก็มีแค่เรื่องเหล้ากับอาหาร คุยไปคุยมาเหล้าสองไหก็ลงท้องไปหมดแล้ว โหลชีอยากจะสั่งอีกสองไห ตอนนี้เฉิงสิบกับโหลวซิ่นยังไงก็ไม่ยอมอีกแล้ว
โหลชีพูดบ่นว่า "ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นเจ้านายหรือข้าเป็นเจ้านายกันแน่ มีลูกน้องที่ไหนห้ามเจ้านายกัน?"
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นเงียบลงพร้อมกัน
"พวกเขากังวลว่าเจ้าจะถูกข้ามอมเหล้าจนเมาน่ะสิ" หยุนเฟิงพูด
"เจ้าจะมอมเหล้าข้างั้นหรือ? ข้ามอมเหล้าเจ้าน่ะสิไม่ว่า"
หยุนเฟิงรีบพูดตอบว่า: "หื้ม แล้วเจ้าจะมามอมเหล้าข้าเมื่อไหร่ล่ะ?"
โหลชี: "......"
หลังจากนั้นเฉิงสิบก็ไปหาบันทึกการเข้าพัก หยุนเฟิงเข้าพักสองวันแล้วจริงๆ บางทีนี่อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญก็ได้
พวกเขาพักในเมืองผิงซาไปแค่สองวัน รอรถม้าที่จองไว้ทำเสร็จก็สามารถออกเดินทางได้เลย เมืองลั่วหยางที่จะไปในครั้งนี้ใกล้เขตชายแดนมาก และยังเป็นเมืองใหญ่ในตงชิง โหลชีตัดสินใจไปเปลี่ยนรถม้าที่ดีกว่าที่นั่น อีกอย่าง จะไปขายของที่นั่นด้วย
แต่ไม่คิดว่าหยุนเฟิงก็จะไปเมืองลั่วหยางเหมือนกัน
ในเช้าวันนี้ โหลชีนั่งอยู่ในรถม้าและในตอนที่เห็นชายคนหนึ่งนั่งตัวตรงบุคลิกสง่างาม แต่กลับมีใบหน้าดำหยาบกระด้างแล้ว ในใจนางก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
"คุณชายให้ข้าติดรถไปด้วยได้หรือไม่? ข้ายากจนจนม้าก็ถูกเอาไปแลกเงินแล้ว รอถึงเมืองลั่วหยาง ข้าจะจ่ายเงินค่ารถให้สมราคาเลย" หยุนเฟิงมองดูนางด้วยแววตาที่จริงใจ และซื่อสัตย์
ซื่อสัตย์กับผีน่ะสิ
ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
แต่ยังไงเขาก็เคยให้ดอกไม้แก่นาง ให้เขาติดรถไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บวกกับตอนนี้มีลมหิมะขนาดใหญ่ นางซื้อรถม้ามาสองคัน รถม้าหนึ่งคันนั่งได้หกคน ถูเปินเป็นคนขับหนึ่งคัน อีกคันคือพี่น้องสี่คนของเขานั่ง และขนพวกเสบียงกับเสื้อผ้าต่างๆนานา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ