สรุปเนื้อหา บทที่ 219 เดินทางด้วยกัน – ใต้ร่มยาใจ โดย ลิ่วเยว่
บท บทที่ 219 เดินทางด้วยกัน ของ ใต้ร่มยาใจ ในหมวดนิยายประวัติศาสตร์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
พอได้ยินเสียงนี้ โหลชีก็อึ้งทันที
นางหันหน้ากลับไปมองช้าๆ คิดว่าจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาของหยุนเฟิง ไม่คิดว่าสิ่งที่เห็นคือชายวัยกลางคนผิวดำหยาบกระด้าง
อึ้งอยู่นานนางถึงจะนึกขึ้นได้รางๆว่า ตอนครั้งแรกที่เจอหยุนเฟิงเขากำลังแย่งบัวเลือดเขาน้ำแข็งปลอมกับศิษย์น้องชายสี่ของเขาอยู่ ตอนนั้นเขาสวมหน้ากากหนังคน คิดว่าตอนนี้คงสวมหน้ากากอีกแล้ว
เมื่อกี้นางไม่ได้หูฝาดไป นี่มันเป็นเสียงของหยุนเฟิงชัดๆ
สำหรับหยุนเฟิงนั้น จนกระทั่งตอนนี้โหลชีก็ไม่เคยรำคาญเลย ครั้งแรกเขาขวางพิษของหนอนปีกเพลิงด้วยมือเปล่าให้นางที่หน้าผาน้ำอุทยานเขาเฟิงหยุน จากนั้นทั้งสองนั่งเรือออกไปด้วยกัน บนเรือนั้นเขาทำอาหารที่โหลชีชอบ บริการกระเพาะของนางได้อย่างดี ต่อมาก็ไปถอนบัวเลือดที่ภูเขาหิมะ ทั้งที่เขาได้บัวเลือดมาก่อน สุดท้ายกลับมอบให้นางโดยไม่ลังเลเลย
แม้โหลชีจะรู้สึกว่าทำดีหวังผลคำนี้จะมีเหตุผลมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังไม่ได้ทำผิดต่อนางเลย? แค่รู้สึกว่าการเจอเขาในครั้งนี้ มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า
หยุนเฟิงรอคำตอบจากนางด้วยรอยยิ้ม
โหลชีส่ายหน้า: "ข้าไม่ดื่มเหล้ากับคนขี้เหร่" ใบหน้าของเขาขี้เหร่มากจริงๆ จำเป็นต้องใช้ผิวหน้าที่ดำและหยาบกระด้างขนาดนั้นรึ?
หยุนเฟิงติดหน้ากากไว้ กลับยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยใจ "ดูคนแค่หน้าตาแบบนี้ไม่ได้นะ" ว่าแล้วเหมือนไม่ได้ยินนางบอกว่าเขาขี้เหร่ เขาก็ดึงเก้าอี้ข้างๆนางออกมานั่ง
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นมองออกว่านางน่าจะรู้จักกับชายผู้นี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือก่อน
"ข้ามองคนแค่หน้าตา ข้าก็เป็นคนผิวเผินแบบนี้แหละ" โหลชียกมือขึ้นสั่งเหล้ามาสองไห เฉิงสิบแย่งเปิดไฟ เทลงในถ้วย และเอาเหล้าทั้งสองไหไว้ข้างตัวเอง
"คุณชาย ข้าน้อยรับผิดชอบเทเหล้าเองขอรับ"
โหลชีมองเขาแล้วหัวเราะออกมา: "เฉิงสิบเจ้าเตรียมเป็นแม่บ้านหรือไง?" เขากลัวว่านางจะดื่มเหล้าเยอะเกินจนเมาต่างหากรึ?
"ข้าน้อยกลัวว่าคุณชายจะเหนื่อยขอรับ" เฉิงสิบพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า อยู่กับโหลชีมานานขนาดนี้ คำพูดคำจาของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนที่อยู่กับเฉินซ่า แค่จะพูดล้อเล่นยังไม่กล้าเลย
ดังนั้น มีนายท่านแบบไหน ก็จะมีลูกน้องแบบนั้น
หยุนเฟิงหัวเราะ ให้เสี่ยวเอ้อร์เอาถ้วยกับตะเกียบมาโดยไม่เกรงใจเลย
เขายกถ้วยเหล้าไปทางโหลชี: "ดื่มเพื่อความบังเอิญเจอกันที่เมืองผิงซา ชนแก้ว" เขาไม่ถอดหน้ากาก แต่ก็แน่ใจว่าโหลชีจำเขาได้แน่นอน
โหลชีอดไม่ได้มองตาขวางเขา: "เจ้าว่าทำไมถึงบังเอิญเช่นนี้นะ?"
"ใช่ ทำไมถึงบังเอิญจังเลยนะ? แต่ว่า ข้าอยู่เมืองผิงซามาสองวันแล้ว คุณชายเพิ่งมา หรือว่าคุณชายรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ จึงแอบตามข้ามา?" หยุนเฟิงหัวเราะ
ตามมา ตามมากับผีน่ะสิ
หยุนเฟิงเป็นคนที่ลึกลับมาก แต่ตอนนี้โหลชีไม่ได้คิดอยากจะสืบเขาเลย ขอแค่เขาไม่ทำอะไรตัวเอง จะลึกลับแค่ไหนนั่นก็เป็นเรื่องของเขา การได้อยู่กับเขานางก็รู้สึกสบายใจดี ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร นางยังรู้สึกว่าถ้ามีโชคชะตาได้เป็นเพื่อนกันก็ไม่เลวเหมือนกัน
นางไม่มีทางยอมรับว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่อยากเป็นเพื่อนกับเขาเป็นเพราะเขาทำอาหารอร่อย
ยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับเขา นางแหงนหน้าขึ้นดื่มเหล้าทั้งถ้วยจนหมด หยุนเฟิงมองดูท่าทีที่ตรงไปตรงมาของนาง เขาก็ยิ้มกว้างขึ้นและดื่มหมดถ้วยตามนาง
ต่อมาทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก อืม...ที่คุยกันก็มีแค่เรื่องเหล้ากับอาหาร คุยไปคุยมาเหล้าสองไหก็ลงท้องไปหมดแล้ว โหลชีอยากจะสั่งอีกสองไห ตอนนี้เฉิงสิบกับโหลวซิ่นยังไงก็ไม่ยอมอีกแล้ว
โหลชีพูดบ่นว่า "ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นเจ้านายหรือข้าเป็นเจ้านายกันแน่ มีลูกน้องที่ไหนห้ามเจ้านายกัน?"
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นเงียบลงพร้อมกัน
"พวกเขากังวลว่าเจ้าจะถูกข้ามอมเหล้าจนเมาน่ะสิ" หยุนเฟิงพูด
"เจ้าจะมอมเหล้าข้างั้นหรือ? ข้ามอมเหล้าเจ้าน่ะสิไม่ว่า"
หยุนเฟิงรีบพูดตอบว่า: "หื้ม แล้วเจ้าจะมามอมเหล้าข้าเมื่อไหร่ล่ะ?"
โหลชี: "......"
หลังจากนั้นเฉิงสิบก็ไปหาบันทึกการเข้าพัก หยุนเฟิงเข้าพักสองวันแล้วจริงๆ บางทีนี่อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญก็ได้
พวกเขาพักในเมืองผิงซาไปแค่สองวัน รอรถม้าที่จองไว้ทำเสร็จก็สามารถออกเดินทางได้เลย เมืองลั่วหยางที่จะไปในครั้งนี้ใกล้เขตชายแดนมาก และยังเป็นเมืองใหญ่ในตงชิง โหลชีตัดสินใจไปเปลี่ยนรถม้าที่ดีกว่าที่นั่น อีกอย่าง จะไปขายของที่นั่นด้วย
แต่ไม่คิดว่าหยุนเฟิงก็จะไปเมืองลั่วหยางเหมือนกัน
ในเช้าวันนี้ โหลชีนั่งอยู่ในรถม้าและในตอนที่เห็นชายคนหนึ่งนั่งตัวตรงบุคลิกสง่างาม แต่กลับมีใบหน้าดำหยาบกระด้างแล้ว ในใจนางก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
"คุณชายให้ข้าติดรถไปด้วยได้หรือไม่? ข้ายากจนจนม้าก็ถูกเอาไปแลกเงินแล้ว รอถึงเมืองลั่วหยาง ข้าจะจ่ายเงินค่ารถให้สมราคาเลย" หยุนเฟิงมองดูนางด้วยแววตาที่จริงใจ และซื่อสัตย์
ซื่อสัตย์กับผีน่ะสิ
ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
แต่ยังไงเขาก็เคยให้ดอกไม้แก่นาง ให้เขาติดรถไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บวกกับตอนนี้มีลมหิมะขนาดใหญ่ นางซื้อรถม้ามาสองคัน รถม้าหนึ่งคันนั่งได้หกคน ถูเปินเป็นคนขับหนึ่งคัน อีกคันคือพี่น้องสี่คนของเขานั่ง และขนพวกเสบียงกับเสื้อผ้าต่างๆนานา
"ข้าน้อย----"
"เอาล่ะ อย่าเอาแต่เรียกตัวเองว่าข้าน้อยเลย ได้ยินแล้วปวดหัว"
"ข้าไม่มีศัตรูมากนักหรอก แต่บางทีไม่อยากเจอใครบางคนน่ะ"
"เป็นเพราะหล่อมากเกินไปน่ะสิ" โหลชีพูดอย่างเข้าใจเขาดี
หยุนเฟิงหัวเราะไม่ได้พูดอะไร "แม่นางโหลจะไปทำอะไรที่เมืองลั่วหยางหรือ? จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ไม่ได้มากับเจ้าด้วยหรือ?"
"ถ้าข้าจะบอกว่าข้าไปเป็นแม่ค้า ไปขายของ เจ้าจะเชื่อไหม?"
"แม่ค้าขายยาสมุนไพรรึ?"
โหลชีหรี่ตามองเขา เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า: "ไม่ต้องมองข้าเช่นนั้นก็ได้ กลิ่นยาสมุนไพรในรถม้าเจ้าออกจะแรงขนาดนี้ ข้าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็คงยาก"
ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักกลิ่นของยาสมุนไพร รถม้านี้ทำขึ้นมาใหม่ กลิ่นของท่อนไม้ยังมีอยู่เลย และยังมีกลิ่นของน้ำยาทาสีไม้ด้วย ถ้าจะได้กลิ่นยาสมุนไพรทันทีเลย อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมาก และรู้จักยาสมุนไพรพอประมาณ
โหลชียักไหล่ "ใช่ ข้าจะไปเป็นแม่ค้าขายยาสมุนไพร"
"งั้นพอถึงเมืองลั่วหยาง เจ้าน่าจะไปโรงพรรณยา ไม่ว่าเจ้าเอายาสมุนไพรอะไรมา พวกเขาก็จะบอกราคาได้เสมอ"
โหลชีหันไปมองเฉิงสิบ เขาพยักหน้าพูดว่า: "โรงพรรณยาแต่ละแคว้นมีสาขาย่อยแบ่งออกไป ยาสมุนไพรในร้านมีค่อนข้างเยอะ พวกเขารับซื้อทั้งยาสมุนไพรหรือยาสำเร็จรูปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไร ขอแค่พวกเขาตัดสินใจว่ามีประโยชน์ต่อพวกเขา ขอแค่เป็นยา พวกเขาจะรับซื้อไว้ทั้งหมด"
ดังนั้น ยาสมุนไพรชั้นดีขนาดนี้ของโหลชี ควรจะไปขายให้กับโรงพรรณยา
"งั้นก็ไปโรงพรรณยาแล้วกัน"
ตลอดทางมีหยุนเฟิงไปด้วย โหลชีรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก เขารู้จักหลายอย่าง เวลาเล่านั้นก็ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย มักทำให้โหลชีอารมณ์ดีตลอด
และตอนที่หยุนเฟิงไปเมืองลั่วหยางกับนาง ในที่สุดฟ่านฉางจื่อก็พาน่าหลานจื่อหลินรวมไปถึงลูกศิษย์ที่ได้รับจดหมายเรียกตัวจากเขา รีบไปรวมตัวกันที่เขาพยัคฆ์
แต่น่าหลานจื่อหลินเห็นเมืองหนึ่งจากที่ไกล เขาพูดอย่างตกใจว่า "อาจารย์ ท่านดูสิ!"
ฟ่านฉางจื่อเปิดม่านออก ก็เห็นกำแพงเมืองสูงๆ รวมไปถึงประตูเมืองสีแดงสดนั้น กำแพงนั้นขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดูท่าแล้วคงล้อมเขาพยัคฆ์ไว้ด้านในด้วย
ตอนแรกพวกเขาเห็นแค่ว่ากำแพงสูงร้อยเมตรนั้นถูกทำลายแล้ว กำแพงใหญ่เห็นได้ชัดว่าสูงและกว้างใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ