คนพวกนี้นอนอยู่ที่นี่งั้นหรือ!
โหลชีกวาดตามองพวกเขา: "ทำไมพวกเขาไปนอนในเมืองล่ะ? มีมือมีตีนก็หางานดีๆทำสิ??"
ถูเปินกลับพูดด้วยน้ำตาว่า: "พวกเราไม่รู้จะทำอะไรดีขอรับ"
โหลชีคิดอีกแง่หนึ่งก็พอเข้าใจพวกเขาอยู่บ้าง พวกเขาไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนมาแต่เด็ก แล้วจะมีความคิดที่ว่าทำงานเพื่อแลกค่าตอบแทนมาเลี้ยงดูชีพตัวเอง
"แล้วใครสอนวิชาการต่อสู้พวกเจ้า?"
"เมื่อก่อนมีนักพรตท่านหนึ่ง เขาไม่มีเงินซื้อเหล้าถูกคนไล่ออกมา พวกเราจึงเอาเงินที่ขอทานมาไปซื้อเหล้าให้เขาดื่ม สุดท้ายเขาแค่สอนพวกเราสองเดือนก็ไปแล้วล่ะ บอกว่าอยากออกเดินทางเที่ยวรอบโลก" ตอนที่ถูเปินพูดถึงนักพรตคนนั้นก็มีสีหน้าและแววตาที่คิดถึง โหลชีอึ้ง หันไปมองคนอื่นๆ ก็เห็นว่าพวกเขาเป็นเหมือนกันหมด
สอนแค่สองเดือนแสดงว่าพวกเขาเรียนรู้ไหวเหมือนกันนะ! และความรู้สึกที่พวกเขามีต่อนักพรตท่านนั้นทำเอานางรู้สึกซาบซึ้ง
นางนึกถึงนักพรตเลวแล้ว ไม่รู้ว่านางยังมีโอกาสเจอเขาอีกไหม และเรื่องที่เขาอยากให้นางช่วยคืออะไรกันแน่ ช่วงนี้นางก็ไม่ได้ฝันถึงเขาแล้วด้วย
ด้านนอกลมพัดแรงมาก แต่ถูกภูเขากั้นไว้ถนนเส้นนี้จึงดูอบอุ่นกว่าที่อื่น พวกถูเปินไม่กล้าคิดที่จะวิ่งหนี และไม่รู้ด้วยว่าจะหนีไปไหน จึงต้มน้ำให้พวกโหลชีและถวายขนมที่พวกเขามีออกไป จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆ
ม้าสามตัวไปหาหญ้ากินเอง โหลชีกับเฉิงสิบโหลวซิ่นยกเก้าอี้มานั่งข้างกองไฟที่อยู่ตรงหน้าพวกถูเปิน ดื่มน้ำอุ่นและกินขนมไปด้วย
กลับเห็นพวกเขามองขนมในมือ----ด้วยแววตาอาลัย
ดูแล้วนี่คงเป็นเสบียงที่พวกเขาเหลืออยู่ ถนนเส้นนี้นอกจากเข้าไปหาสมุนไพรในป่าลึกหรือล่าสัตว์แล้ว ก็แทบจะไม่มีคนผ่านมาเลย ตอนนี้ยังมีหิมะตกหนักอีก ก็ไม่มีใครผ่านมาทางนี้แน่นอน
พวกเขาคงจะดีใจในที่สุดก็มีคนผ่านมาแล้ว สุดท้ายกลับเป็นคนที่มากินเสบียงของพวกเขา คิดแล้วก็รู้สึกเศร้าใจแทนพวกเขาเหมือนกัน
โหลชีหวั่นไหว กระซิบพูดกับเฉิงสิบและโหลวซิ่นว่า: "พวกเจ้าคิดว่าพาพวกเขาไปด้วยดีไหม?"
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นตะลึง "แม่นางอยากพาพวกเขาไปด้วยงั้นหรือ?"
"ใช่" โหลชีคิดแล้วก็พูดว่า: "ของของพวกเราขายในเมืองเล็กๆธรรมดาทั่วไปไม่ได้หรอก ต้องไปในเมืองใหญ่ๆ แต่พวกเราสามารถไปซื้อรถม้าในเมืองเล็กๆมาสองคันก่อน ช่วงนี้มีลมฝนตลอดเวลา มัดสมุนไพรไว้บนหลังม้าอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ จะทำให้เปียกได้ง่าย ยังต้องเดินทางไปทั่วอีก มีแค่พวกเจ้าสองคนคงเดินทางกันลำบากแน่ ดังนั้นเอาพวกเขาไปด้วย เรื่องขับรถม้าก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา ยังไงข้าก็เลี้ยงคนพวกนี้ไหวอยู่แล้ว"
"เอาตามที่แม่นางว่าเลยขอรับ" เฉิงสิบกับโหลวซิ่นสบตากัน รู้สึกว่าแม่นางของพวกเขากำลังเห็นอกเห็นใจคนพวกนี้อยู่
"ถูเปิน" โหลชีพูดขึ้น
ถูเปินรีบวิ่งเข้ามา "แม่นางมีอะไรให้รับใช้ขอรับ?"
"ต่อไปพวกเจ้าจะทำอะไร?"
"ทำอะไรหรือขอรับ?" ถูเปินอึ้ง มองดูโหลชี ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อ จึงมองดูโหลชีและพูดตะกุกตะกัก
"ทำไม ไม่คิดจะบอกข้าหรือไง?"
ถูเปินคุกเข่าลงพื้น "แม่นางอยากพาพวกเราไปใช่ไหมขอรับ? พวกเราตกลงไปด้วยขอรับ!"
โหลชีกับเฉิงสิบโหลวซิ่นอดไม่ได้หัวเราะเสียงดัง
"เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยากพาพวกเจ้าไปด้วย?" โหลชีถามอย่างแปลกใจ
ถูเปินพูดอย่างมั่นใจว่า "แม่นางเป็นคนดี! เมื่อกี้ทั้งที่รู้ว่าพวกเรามาปล้นแต่ก็ไม่ฆ่าพวกเรา ตอนนี้แม่นางทนเห็นพวกเราอดอยากไม่ได้แน่นอน" สิ่งที่เขายังไม่ได้พูดก็คือ คนทั่วไปเห็นท่าทางและที่พักของพวกเขาแล้ว ไม่มีทางกินอาหารของพวกเขาแน่นอน แต่ผู้หญิงสวยขนาดนี้กลับกินมันอย่างไม่สนใจอะไร แม้จะเป็นเสบียงสุดท้ายที่พวกเขาเหลือก็ตาม แต่ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นนางกินแล้ว พวกเขากลับรู้สึกว่าขนมชิ้นนี้คุ้มแล้วล่ะ
"เหอะๆๆ ข้าเป็นคนดีงั้นหรือ?" โหลชีหัวเราะ "ได้ ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะเป็นคนดีให้แล้วกัน พวกเจ้าตามข้าไป แม้จะไม่กล้ารับรองอะไร แต่พวกเจ้าจะกินอิ่มทุกวันแน่นอน ดีหรือไม่?"
ถูเปินดีใจ หันหน้าไปบอกคนอื่นๆ: "พี่น้องเอ๊ย แม่นางยอมพาพวกเราไปด้วยแล้ว!"
คนพวกนี้ใช่ว่าจะไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนชีวิตแบบนี้ พวกเขาเติบโตด้วยกันมาแต่เด็ก ถ้าให้พวกเขาแยกกัน แต่ละคนก็คงคิดถึงกันและกัน จะหางานทำก็ไม่สามารถทำด้วยกันได้ อีกอย่าง ที่จริงพวกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรเป็นบ้าง ชีวิตที่ไม่แน่นอนตลอดยี่สิบปีกว่าปีมานี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่น
ก่อนหน้านี้โหลชีเคยถามพวกเขาว่าทำไมไม่หางานทำ ถูเปินก็ใจสั่นขึ้นมา ติดตามนางไปอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขาแล้ว
โหลชีพอใจกับความฉลาดและการสังเกตของถูเปินมาก และเขายังมีข้อดีอีกอย่างก็คือ เป็นคนเด็ดขาด ไม่ลีลา
หลังจากที่ตัดสินใจติดตามนางแล้ว เขาก็พูดโน้มน้าวสี่คนที่เหลือได้ และไม่นานพวกเขาก็เก็บข้าวของเสร็จแล้ว พวกเขายังโกนหนวดล้างหน้าล้างตาให้สะอาด มัดผมขึ้นให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ