ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 233

เขาอดกลั้นต่อความอยากไปชกใบหน้าคางคกขึ้นวอนั่นของโหลชี กล่าวถามอีกว่า: "คุณชายเจ็ดอย่าดูถูกตนเองมากจนเกินไป ดูองครักษ์ทั้งสองคนของท่านความสามารถก็ไม่ธรรมดา สง่าผ่าเผย ถ้าหากว่าคุณชายเจ็ดไม่มีความสามารถในการโน้มน้าวพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะติดตามคุณชายเจ็ดใช่ไหมล่ะ"

โหลชีหันกลับไปมองเฉิงสิบกับโหลวซิ่นครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย: "ใช่ใช่ ข้าน้อยโน้มน้าวพวกเขาได้ ข้าน้อยรับปากพวกเขา ให้คอยคุ้มกันข้าน้อย ถึงเวลาข้าน้อยจะแต่งเมียให้พวกเขาคนละห้าคน แต่ว่าพวกเขาต่อรองกับข้าน้อย สุดท้ายจะเอาแปดคน ตลอดทางมานี้เราก็วางแผนเอาไว้ว่าจะไปเที่ยวในหอนางโลมหลายๆแห่ง ไถ่ตัวคณิกาดาวเด่นที่ค่าตัวไม่ค่อยแพงเท่าไหร่อะไรทำนองนั้น"

ผุด!

ผุด!

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นสองคนกลั้นเอาไว้สุดชีวิต กลั้นเอาไว้ ถึงได้ไม่พ่นอาหารที่อยู่ในปากออกมา แต่ว่าใบหน้าของทั้งสองบิดเบี้ยวไปแล้ว อาการที่กลืนเข้าไปสุดชีวิตเกือบจะทำให้พวกเขาติดคอตาย

แม่นาง! ที่แท้พวกข้าติดตามท่าน ก็เพื่อขอเมียแปดคน! แปดคน พวกเขาจะรับไหวหรือ?

แก้มของโหลชีแดงก่ำ แววตาดูสับสนเล็กน้อย สีหน้าท่าทางกลับดูหลงระเริงเล็กน้อย ท่าทางแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเมาแล้ว และนี่ก็คือสาเหตุที่ก่อนหน้านี้นางยังดูสุขุมลึกลับ ตอนนี้กลับพูดอะไรออกมาหมด

ว่ากันว่าเมาแล้วพูดความจริง คำพูดนี้น่าจะไม่ผิด เจ้าบ้านหานส่งสายตาให้บรรดาภรรยาและสนม ต่อจากนั้นพวกนางก็ผลัดกันหาเหตุผลดื่มคารวะกับโหลชี จากนั้นพวกนางก็เริ่มหลอกถามนาง อยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงหรือไม่

และตลอดกระบวนการทั้งหมดนี้นายน้อยจ้าวไม่ได้มีส่วนร่วมเลย และไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน กินดื่มอย่างสง่างาม บางครั้งก็พูดออกมาสองสามคำ แต่ก็เป็นคำที่สั้นมาก

หลังจากที่เจ้าบ้านหานพบว่าโหลชีไม่รู้เรื่องประเทศต่างๆเลยจริงๆ อย่างเรื่องที่ว่าฮ่องเต้ตงชิงเป็นใครนางก็ยังไม่รู้ ตอนนี้ใครเป็นใหญ่ในเป่ยชางนางก็ไม่รู้ แล้วก็ใต้หล้ามีตระกูลใหญ่ ยอดฝีมือคนไหนบ้าง ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!

เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าบ้านหานก็เชื่อแล้วจริงๆ คุณชายเจ็ดคนนี้ก็คือเจ้าทึ่มที่ออกมาจากภูเขาลึกคนหนึ่ง! ไม่รู้ความเป็นไปของใต้หล้าในตอนนี้เลยสักนิด คนเช่นนี้ เขายังคิดที่จะแนะนำให้กับยู่ไท่จื่อ จากนั้นก็ใช้โอกาสนี้สร้างสายสัมพันธ์กับยู่ไท่จื่อ!

หากว่าไปแนะนำคนที่ถือว่ามีแค่ความโชคดีเท่านั้นขึ้นไป ยู่ไท่จื่อคงคิดว่าตาของเขาถูกสิ่งปฏิกูลบดบังเอาไว้แน่!

เจ้าบ้านหานอัดอั้นอยู่ในใจ มองไปที่โหลชีก็รู้สึกขัดหูขัดตามากเป็นพิเศษ

ต้องโทษเขาที่เสแสร้งอยู่ตลอด! แสร้งทำเป็นสูงส่งลึกลับ!เขาถึงกับถูกหลอกได้! ตอนนี้เจ้าบ้านหานรู้สึกว่าตนเองถูกเด็กเมื่อวานซืนที่ดูแล้วอายุไม่ถึงยี่สิบหลอกเอาได้ นี่คือความอัปยศอย่างหนึ่ง เขาย่อมต้องเอาความอัปยศแบบนี้เหมารวมบนหัวของโหลชีอยู่แล้ว

เมื่อก่อนความทะเยอทะยานของเขาไม่ได้มากมายขนาดนี้ อาจเพราะต้องการแข่งขันทางด้านการค้ากับตระกูลหว่านให้รู้แพ้ชนะ แต่เขาก็คิดมาตลอดว่าตนเองควรจะหยั่งรากให้มั่นคงที่เมืองลั่วหยางแห่งนี้ แต่เมื่อลูกสาวคนโตพาลูกเขยคนโตที่มีฐานะเช่นนั้นกลับเข้าตระกูลมา ทำให้ความทะเยอทะยานของเขาปะทุขึ้นทันที บัณฑิตชาวนาคนงานพ่อค้า พ่อค้ามักจะอยู่ปลายแถวเสมอ ถ้าหากเขาสามารถยืนอยู่ข้างยู่ไท่จื่อ เช่นนั้นต่อไปใครจะสามารถว่าเขาปลายแถวได้? แม้จะเป็นพวกขุนนางพวกนั้น เห็นเขาแล้วยังต้องพยักหน้าและโค้งคำนับ ถึงเวลานั้นเขาต้องการเงินก็มีเงิน ต้องการอำนาจก็มีอำนาจ มันน่าเกรงขามไม่ใช่หรือ?

เดิมทีเขานึกว่าคุณชายเจ็ดคนนี้มาจากตระกูลที่ตัดขาดจากโลกจริงๆ มียาสมุนไพรอันล้ำค่า สามารถควบคุมสัตว์ได้ วรยุทธสูงส่ง ในสามข้อนี้แค่ข้อเดียวก็สามารถทำให้คนยกย่องเป็นแขกผู้มีเกียรติแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีครบทั้งสามข้อ คนเช่นนี้ จะไปหาได้จากที่ไหน? แนะนำเขาให้กับยู่ไท่จื่อ ความดีความชอบของเขาก็มากมายมหาศาลแล้ว!

แต่ว่าตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว

เวลานี้ สนมคนโปรดของเขาเข้ามาใกล้ ดูเหมือนนางจะเอนตัวพิงมาทางร่างกายเขาอย่างเขินอาย ในความเป็นจริงคือกำลังคุยกับเขาข้างหู

"นายท่าน ท่านคิดจะจัดการอย่างไรกับคุณชายเจ็ดคนนี้?"

"จะจัดการอย่างไรได้อีก?" สายตาของเจ้าบ้านหานเหลือบมองไปทางโหลชีที่ท่าทางเมามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหยุดอยู่ที่จิ้งจอกม่วงที่อยู่ในอ้อมแขนของนางตัวนั้น

ฆ่าคนชิงสมบัติ เรื่องแบบนี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองลั่วหยางแห่งนี้ คนที่ถูกเขาซื้อตัวแล้วมีไม่รู้เท่าไหร่ ลูกน้องของคุณชายเจ็ดพวกนั้น ก็มีแต่คนที่ติดตามอยู่ข้างกายนางตลอดสองคนนั้นที่วรยุทธดีหน่อย คนที่เหลือล้วนเป็นพวกขยะทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจเลย

เป็นผู้หญิงของเขา สนมนางนี้ย่อมรู้จักเขาดี รู้สึกถึงไอสังหารของเขาในทันที นางรีบจับไปบนหน้าอกของเขา กล่าวเสียงเบา: "นายท่าน ท่านลืมไปแล้วใช่ไหม ว่าคุณชายเจ็ดยังมีเงินอยู่ไม่น้อย?"

เมื่อครู่เจ้าบ้านหานโมโหจนจิตใจอัดอั้น ตอนนี้ได้ยินสนมเตือนสติ นึกขึ้นได้ในทันที เขาตบไปที่หน้าผาก "ก็ใช่น่ะสิ เชรดเขร้ นั่นเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยนะ!"

ไม่ว่าอย่างไร ในตัวนางก็มีตั๋วเงินหลายสิบล้านอยู่ด้วย! นั่นเป็นความมั่งคั่งที่มหาศาลมาก แค่ห้าสิบล้านตำลึงที่เขาให้ ก็แทบจะเป็นจำนวนเงินสดครึ่งหนึ่งที่เขาสามารถระดมได้ในตอนนี้แล้ว ยังไม่พูดถึงว่าเขายังขายหญ้าเทียนจีให้กับเถ้าแก่จูต้นหนึ่ง ยังมียาสมุนไพรอื่นๆอีก สองอย่างรวมถึง นางยังมีเงินเข้าอีกอย่างน้อยยี่สิบล้านตำลึง รวมกันแล้วเป็นเงินกว่าเจ็ดสิบล้านแล้ว!

เจ็ดสิบล้าน! แม้แต่เขาก็ยังต้องอิจฉา!

แต่ว่า โรงตั๋วเงินรุ่งทองนั่นก็ใช่ว่าจะหลอกได้ง่ายๆ จะเอาเงินของนาง ยังต้องเอาหยกแขวนของนางด้วย ถ้าหากจะถอนเงินมากมายขนาดนั้น ยังต้องให้นางเซ็นหนังสือด้วยมือตัวเองชุดหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาไม่มี แม้แต่ลายมือของนางก็ยังไม่รู้จะเลียนแบบอย่างไร……

"เจ้าเตือนสติข้าแล้วจริงๆ เรื่องนี้ยังต้องวางแผนระยะยาว" อย่างน้อยก็ต้องรอให้เอาหยกแขวนกับหนังสือลายเซ็นของนางมาได้ก่อนถึงจะฆ่านางได้

สนมนางนี้กลอกลูกตาเล็กน้อย ไม่สนใจสายตาที่จ้องมองตนเองเขม็งของภรรยาหลวง และไม่สนใจว่าด้านล่างยังมีคนนอกและเด็กรุ่นลูกหลานอยู่ วาดนิ้วมือเป็นวงกลมบนหน้าอกของเขา พ่นลมหายใจราวกับกลิ่นดอกกล้วยไม้ข้างหูของเขา กล่าวเสียงอ่อนโยน: "นายท่าน ข้าน้อยมีความคิดหนึ่ง ตอนนี้คุณหนูสี่ใกล้ถึงวัยปักปิ่นสามารถออกเรือนได้แล้ว เพราะตอนเด็กๆนางเล่นซุกซนไม่ทันระวังเลยถูกน้ำร้อนลวกที่คอและหน้าอก ตอนนี้ก็ยังมีรอยแผลเป็นอยู่ เพราะอย่างนี้นางอาจจะไม่เหมาะที่จะแต่งงานไปในตระกูลใหญ่ๆพวกนั้น ถึงแม้จะแต่งไปก็ไม่เป็นที่โปรดปราน"

"ให้นางแต่งงานกับคุณชายเจ็ดไม่ดีกว่าหรือ คุณชายเจ็ดเป็นเด็กกำพร้าไม่ใช่หรือ? ก็ให้เขาเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านไปเลยก็ได้ เช่นนี้นายท่านยังต้องกลัวว่าจะเอาเงินของเขากลับมาไม่ได้อีกหรือ? อีกอย่าง วรยุทธของซ้ายขวาคุณชายเจ็ดก็ไม่เลว โชคก็ถือว่าดี หน้าตายังประณีตหล่อเหลา ดูค่อนข้างคล่องแคล่ว คนแบบนี้เก็บเอาไว้ใช้งานเอง นายท่านไม่คิดว่ามันก็ดีหรือ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ