สรุปเนื้อหา บทที่ 234 ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก – ใต้ร่มยาใจ โดย ลิ่วเยว่
บท บทที่ 234 ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ของ ใต้ร่มยาใจ ในหมวดนิยายประวัติศาสตร์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
อำนาจในเมืองลั่วหยางแห่งนี้นางไม่รู้ชัดเจน มียอดฝีมือเท่าไหร่อยู่ใต้อาณัติเจ้าบ้านหานนางก็ไม่รู้ ดังนั้นสามารถหลบเลี่ยงได้ก็หลบเลี่ยงดีกว่า
"พาจิ้งจอกม่วงกับท่าเสวี่ยไปด้วย ข้าคนเดียวสะดวกกว่า" โหลชีไม่อยากให้เกิดเรื่องกับท่าเสวี่ย ส่วนจิ้งจอกม่วง คือกลัวว่ามันจะทำเสียเรื่อง
"คุณชาย เช่นนั้นท่านก็ระวังตัวด้วย"
โหลชีพยักหน้าหน้า "ไปเถิด"
หลังจากที่เฉิงสิบกับโหล่วซิ่นจากไปแล้ว โหลชีก็ไปที่ห้องปลดทุกข์รอบหนึ่ง ตอนที่ออกมาด้านนอกกลับมียายรับใช้สองคนรออยู่ รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงบึกบึน นางใช้ความคิดเล็กน้อย ฝีเท้าที่เดิมทีเดินอย่างมั่นคงก็เริ่มลอยขึ้นมาเล็กน้อย
"คุณชายเจ็ด นายท่านให้พวกข้ามาประคองท่าน"
ขณะที่ยายรับใช้พูดไป ก็เข้าล็อกแขนของโหลชีซ้ายคนขวาคนโดยไม่ถามความสมัครใจไปด้วย แทบจะเป็นการลากนางไปทางประตูทรงกลมของลานแห่งหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ทางที่จะไปห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง แต่กลับเป็นทางที่ไปลานด้านหลัง โดยทั่วไปแล้วลานด้านหลังจะเป็นที่พำนักของสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิง นี่พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน?
โหลชีไม่ได้ขัดขืนถูกพาตัวไป แกล้งทำท่าทางเหมือนเมามาก
ไม่ถึงลานด้านใน มาถึงเพียงศาลาที่หญิงสาวชอบมานั่งเล่นแห่งหนึ่ง รอบๆศาลามีม่านบางๆแขวนอยู่ ด้านในมีแสงเทียนสว่างอยู่เล่มหนึ่ง เสริมให้เหมือนดั่งความฝันราวกับจินตนาการ
มีกลิ่นหอมหวานชนิดหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ
ในใจโหลชีไม่ค่อยเข้าใจเลยจริงๆ นี่พยายามจะทำอะไรกันแน่?
นางถูกประคองเข้าไปในศาลาอย่างรวดเร็ว เพราะมีม่านบางกั้นอยู่ ถึงแม้คนที่อยู่ด้านนอกจะมองเห็นเงาที่อยู่ด้านใน แต่เมื่ออยู่ในศาลา ก็ยังรู้สึกว่านี่ถือเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างส่วนตัวอยู่ไม่น้อย
เข้ามาข้างใน โหลชีถึงได้พบว่านางประเมินความสนใจและความสามารถในการจินตนาการของคนโบราณต่ำเกินไปจริงๆ ข้างในศาลาไม่ได้มีโต๊ะและเก้าอี้หินอย่างที่นางจินตนาการไว้ แต่เป็นตั่งนอนทรงกลมตัวหนึ่ง มีชิงช้าอันเล็กๆห้อยลงมาจากศาลา ตรงกลางตั่งนอนพอดี บนชิงช้าล้วนถูกพันด้วยผ้าบางสีชมพูอ่อน เห็นได้ชัดว่ามีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่พิเศษอยู่
โหลชีพบว่านางคิดผิดไป ศาลาแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่บรรดาสาวน้อยชอบมานั่งเล่นกัน แม่งน่าจะเป็นสถานที่ที่ไอ้คนแซ่หานสารเลวนั่นกับบรรดาสนมของเขาเล่นลูกไม้ทำเรื่องอย่างว่ากันมากกว่า!
เช็ด
สถานที่แห่งความรักของผู้อื่น นางไม่ได้ชอบเลยสักนิดตกลงไหม?
"คุณชายเจ็ด ท่านเมาแล้ว เชิญพักผ่อนที่นี่ก่อนสักครู่ อีกประเดี๋ยวจะมีคนนำซุปแก้เมามาให้ท่าน"
ยายรับใช้สองคนนั้นประคองนางไปบนตั่งนอนทรงกลมนุ่มๆนั่น พูดออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ถอยออกไป
ดวงตาของโหลชีที่หรี่ลงเล็กน้อยถึงได้ลืมขึ้นมาในตอนนี้ นอนอยู่บนตั่งนอนเช่นนี้นางรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวเลยจริงๆ แต่ว่านางก็อยากจะรู้ว่าเจ้าบ้านหานคิดอยากจะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นนางเลยนอนนิ่งๆรออยู่ตรงนั้น
สักพักหนึ่ง ผ้าม่านเปิดออกมุมหนึ่ง มีคนเดินเข้ามา นางได้กลิ่นชนิดหนึ่งที่หอมหวานกว่ามาก จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาเบาๆ มีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้นาง
โหลชีนอนตะแคงอยู่ เพราะตั่งนอนไม่สูง ดังนั้นหากมีคนมายืนอยู่จะเห็นหน้านางเพียงครึ่งเดียว ไม่เห็นตาข้างหนึ่งของนาง นางลืมตาข้างหนึ่งขึ้นช้าๆ เห็นชุดกระโปรงสีชมพูตัวหนึ่ง
กระโปรงตัวนี้คุ้นตามาก นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นมาได้ นี่คือคุณหนูสี่หานที่นั่งห่างจากนางที่สุดคนนั้นไม่ใช่หรือ?
คุณหนูสี่หานดูแล้วอายุแค่สิบสามสิบสี่เท่านั้น ในสายตาของนาง ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าเด็กคนนี้นั่งลงมาข้างกายของนาง แล้วก็ยื่นมือมาปลดเข็มขัดของนางทันที
โหลชีเสแสร้งต่อไม่ไหวแล้ว คว้ามือของนางเอาไว้ พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง "นี่คุณหนูสี่หานกำลังจะทำอะไร?"
คุณหนูสี่หานตกใจมาก คำพูดก็ยังตะกุกตะกักเล็กน้อย "ท่าน ทำไมท่านไม่เป็นอะไร?"
"เป็นอะไร? คืออะไร? อ้อ เจ้าหมายถึงเมาเหล้าบวกกับกลิ่นหอมอะไรนี่ใช่ไหม?" เมาเหล้านางไม่ได้เมา ส่วนกลิ่นหอมนี้ มีประสิทธิภาพอย่างไรนางก็รู้ แต่ว่านางต้านพิษได้เป็นร้อย นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน
แต่คุณหนูสี่หานกลับดูไม่เหมือนคนไม่เป็นอะไร ตอนอยู่ในงานเลี้ยงนางไม่ได้ดื่มสุราแท้ๆ ตอนนี้แก้มกลับแดงก่ำ สายตาพร่ามัว
หากเป็นผู้หญิงที่โตเต็มวัย ท่าทางเช่นนี้จะดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจมาก ดูน่าหลงใหลมาก แต่เมื่อร่างกายของคนคนนี้ยังโตไม่เต็มวัย เด็กผู้หญิงที่หน้าอกราบเรียบจนสามารถควบม้าได้ นั่นจะทำให้คนรู้สึกโมโหเล็กน้อยแล้ว
"คุณชายเจ็ด ท่านช่างดูดียิ่งนัก" คุณหนูสี่หานกล่าวพร้อมกับมองดูนาง
โหลชีหมดคำพูด ได้แต่พยักหน้า "แน่นอนอยู่แล้ว ข้างดงามมาแต่กำเนิดอยู่แล้ว งามกว่าเจ้ามากนัก"
"คุณชายเจ็ด ร้อนจังเลย" คุณหนูสี่หานไม่ได้สนใจสิ่งที่นางพูดเลย สนใจพูดแต่เรื่องของตนเอง "ท่านถอดเสื้อผ้าออกได้ไหม ฮูหยินเล็กข้าบอกว่า ขอแค่เราสองคนถอดเสื้อออกก็จะไม่ร้อนแล้ว"
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ด้วยกันแล้วถอดเสื้อผ้าออกจะเกิดอะไรขึ้น?" น้ำเสียงของโหลชีเย็นชาลงมา
"รู้สิ ก็คือเป็นสามีภรรยากันแล้ว คุณชายเจ็ด ข้ายินดี หลังจากที่ฮูหยินเล็กข้าพูดกับข้าข้าก็ตอบตกลงแล้ว ข้าจะแต่งงานกับท่าน ท่านรับข้าเอาไว้เถิด"
ถึงแม้สายตาของคุณหนูสี่หานจะผิดปกติไปเล็กน้อยแล้ว แต่คำพูดนี้ก็ยังพูดได้อย่างชัดเจน
โหลชีฟังแล้วก็หัวเราะเย็นชาออกมา: "เจ้าสมัครใจเอง? สมัครใจทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ เต็มใจกินยาเอง?"
"ใช่ ข้าสมัครใจเอง คุณชายท่านดูดีขนาดนี้ ข้าแต่งงานกับท่านจะทำให้พี่รองพี่สามของข้าอกแตกตาย ฮิฮิ พวกนางจะต้องอิจฉาข้าแน่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ว่าพี่รองชอบท่าน"
เสียงของเขาเพิ่งหยุดลง เจ้าบ้านหานก็โฉบมาทางนี้แล้ว ยืนอยู่ข้างกายของยอดฝีมือที่ล้มลงไปแล้ว มองดูศพของเขาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
เขาแทบจะกระอักเลือดแล้ว
"คุณชายจ้าวช่างรอบรู้จริงๆ ถึงแม้ว่ามีดนี้จะเป็นอาวุธเฉพาะตัวของข้า แต่ว่ายังไม่เคยมีโอกาสใช้ต่อหน้าคนมาก่อน คิดไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวจะมองออกในแวบเดียว" เขามองดูพวกเขาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของจ้าวหยุน แต่โหลชีกลับรู้สึกว่าดูเหมือนเขาจะผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
"การเดินทางมาที่เมืองลั่วหยางครั้งนี้ของข้าก็มุ่งเป้าไปที่เจ้าบ้านหานอยู่แล้ว จะไม่รู้ให้มากหน่อยได้อย่างไร?" จ้าวหยุนกล่าวราบเรียบ
เมื่อคำพูดนี้ออกมา รูม่านตาของเจ้าบ้านหานหดตัวลง โหลชีก็มองดูเขาด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
"ข้าไปล่วงเกินโรงพรรณยาหรือ?"
จ้าวหยุนส่ายหน้า "ท่านไม่ได้ล่วงเกินโรงพรรณยา เพียงแค่ล่วงเกินสหายของข้า"
"สหายท่าน?" ดูเหมือนเจ้าบ้านหานจะมึนงงสับสน
"เมืองลั่วหยางมีนายได้แค่คนเดียวเท่านั้น ฉงโจวทำงานด้วยความระมัดระวังรักษาเจตนาเดิมของตนเองมาโดยตลอด เจ้าบ้านหานกลับใช้กำลังครอบครองจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของเมืองลั่วหยาง และใช้สิ่งนี้ข่มขู่ฉงโจวหลายต่อหลายครั้ง ได้ยินว่าครั้งนี้ยังบีบให้ฉงโจวส่งมอบทหารของที่ทำการปกครองเมืองให้ท่านเป็นคนฝึกฝน?"
ฟังถึงตรงนี้ แม้แต่โหลชีก็ยังตกใจกลัว ฉงโจว ซู่ฉงโจว ตอนที่นางมาเคยได้ยินหยุนเฟิงเอ่ยถึงเขา นางเองก็รู้สึกนับถือและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนคนนี้เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นสหายของจ้าวหยุน คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้านหานจะกล้าขอทหารของที่ทำการปกครองเมือง
เขาคิดจะทำอะไร?
"นายน้อยจ้าวอาจจะเข้าใจผิดไป----"
"ข้าเชื่อแค่ฉงโจวเท่านั้น ที่ท่านพูดไม่นับ" จ้าวหยุนกล่าว: "ฉงโจวบอกว่า ได้ยินว่าตอนนี้ท่านใช้เงินจำนวนมากในรวบรวมกำลังสรรพาวุธด้วยการรับสมัครทหารและซื้อม้า มียอดฝีมือภายใต้อาณัติหลายสิบคน หนึ่งในนั้นยังมีคนหนึ่งที่ชำนาญวิชาปลอมตัว เขาคาดเดาอย่างใจกล้า บางทีท่านอาจจะให้คนคนนั้นปลอมตัวเป็นเขา เพื่อควบคุมทั่วทั้งเมืองลั่วหยางเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของฉงโจว ข้าจะต้องฆ่าท่าน"
น้ำเสียงตอนที่เขาพูดคำว่า ‘ข้าจะต้องฆ่าท่าน’ ฟังดูราบเรียบมาก เหมือนกับเขากำลังพูดคำว่าเรามาดื่มสุรากันเถิด
โหลชีอดที่จะหันหน้าไปมองเขาไม่ได้ กลับเห็นเขากำลังมองมาทางนางพอดี ในแววตาเผยความอบอุ่นเล็กน้อย: "เจ้ากลัวไหม?"
"กลัว?" โหลชียิ้มออกมา "ไม่ ข้าไม่กลัว แต่นี่มันเป็นเรื่องระหว่างพวกท่าน ข้าอยากอำลาไปก่อน ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านมีความคิดเห็นอะไรไหม?"
เจ้าบ้านหานจ้องมองนางด้วยความโกรธ เดิมทีเขาต้องการจะวางแผนจับโหลชี จากนั้นก็คุยเรื่องแต่งงานกับจ้าวหยุนให้ลูกสาวคนรอง คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นเช่นนี้ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ทำได้แค่สู้สุดชีวิตแล้ว ฆ่าจ้าวหยุนให้ตายอยู่ที่นี่ด้วย! หลังจากที่เขาควบคุมเมืองลั่วหยางแล้ว ใครยังจะทำอะไรเขาได้อีก? หลังจากที่เขาทำยานั่นสำเร็จ ใครยังจะสามารถฆ่าเขาได้อีก?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ