"อาจารย์อาสามคือมุ่งมาเพื่อตำหนิข้ารึ?"
"ข้า นี่ไม่ได้ถือว่าข้าตำหนิ! เพียงแต่ตอนนั้นถ้าข้ารีบฆ่านังนั่นซะ ตอนนี้มีหรือจะมีเรื่องราวมากมายเยี่ยงนี้?" ฟ่านฉางจื่อโลบมากแค่ไหน ก็เกลียดโหลชีมากเท่านั้น
"โหลชีต้องตายแน่" น้ำเสียงที่พูดคำนี้ของน่าหลานฮั่วซินช่างน่าสะพรึงราวกับออกมาจากนรก ทำให้ฟ่านฉางจื่ออดขนลุกไม่ได้ "เดิมข้าแค่อยากให้นางตายเงียบๆในหุบเทพมาร ใครจะรู้ว่านางไม่สำนึกบุญคุณ ถ้าเยี่ยงนี้ ครั้งหน้าจะไม่ได้ตายง่ายๆแล้วนะ"
คำพูดนี้ต่อให้เป็นฟ่านฉางจื่อยังอดบ่นในใจไม่ได้ เจ้าอยากให้นางตายเงียบๆในหุบเทพมารนี่ถือเป็นบุญคุณหรือไง? นางยังต้องขอบคุณเจ้า?
ครั้งหน้า ครั้งหน้าจะคิดแผนอะไรออกมาอีก?
ฟ่านฉางจื่อถาม "เจ้าคิดจะลงมือเองแล้วรึ?"
น่าหลานฮั่วซินส่ายหัวบอก "ไม่ ฆ่านางไม่จำเป็นต้องข้าลงมือเอง" สายตานางปราดประกายคมกระหายเลือดออกมาวูบหนึ่ง "ยังจำเผ่ามนุษย์ผีได้หรือไม่?"
ฟ่านฉางจื่อใจกระตุกวูบ "เจ้าหมายถึง เจ้าพวกเจอแสงตะวันไม่ได้ คนมิใช่ผีมิเชิงที่เคยขอความช่วยเหลือศิษย์พี่ใหญ่เมื่อหลายปีก่อนพวกนั้นรึ?"
"ใช่ จำได้บ้างหรือไม่ว่าโรคประหลาดที่พวกเขารักษาไม่หายมีลักษณะอย่างไร?" น่าหลานฮั่วซินยิ้มเย็นเยือกออกมา
ฟ่านฉางจื่อรู้สึกหนาวยะเยือกจากในใจจริงๆ เขารู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นศัตรูกับใครก็ดี แต่ห้ามเป็นศัตรูกับสตรีผู้นี้เด็ดขาด เผ่ามนุษย์ผีนั่น หากหญิงพรหมจรรย์ตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเขา มันคืออยู่มิสู้ตายจริงๆ จากนั้นจึงค่อยตายอย่างสยดสยองไร้ศีลธรรม
ตายในเงื้อมมือพวกเขานั้น เรียกได้ว่าไร้ซึ่งเกียรติใดๆ มันเป็นการประสบพบเจออะไรที่น่าอัปยศอดสูหาใดเปรียบที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา
"ฮั่ว ฮั่วซิน ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใช่ว่ารักษาพวกเขาได้ และยังสอนสั่งเหล่าศิษย์ ห้ามติดต่อกับคนพวกนั้นอีกมิใช่รึ?"
"พ่อข้าไม่มีหนทางรักษาพวกเขาทั้งเผ่าได้ แต่ อย่างน้อยตอนนั้นก็สามารถรักษาลูกชายหัวหน้าเผ่านั้นไว้ได้มิใช่รึ? หัวหน้าเผ่าของเผ่ามนุษย์ผีในตอนนั้นก็พูดเองว่า เขาติดค้างบุญคุณเขาเวิ่นเทียนอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าให้พวกเขาลงมือ พวกเขาต้องเห็นด้วยแน่"
น่าหลานฮั่วซินขมวดคิ้วบอก "อาจารย์อาสาม เรื่องนี้ท่านมิต้องยุ่งแล้ว"
.....
รถม้าสองคันค่อยๆเข้าเมืองอย่างช้าๆ ความรุ่งเรืองที่โผเข้ามาทำให้คนบนรถเปิดประตูรถออก และดึงผ้าม่านเก็บ มีรอยยิ้มสบายๆบนใบหน้า โหลวซิ่นหันกลับมาบอกโหลชีว่า "คุณชาย การแต่งตัวของคนเป่ยชางน่าสนใจจริงๆ"
วันตรุษผ่านไปแล้ว และผ่านเดือนเพ็ญไปแล้ว พวกเขารีบเร่งเดินทางเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงเป่ยชาง เมืองนั่วราที่ตระกูลเซียวอยู่
อากาศของเป่ยชางเย็นกว่าทางเหนือของตงชิงหน่อย ถึงช่วงนี้จะไม่ได้หิมะตกแล้ว เมืองนั่วราก็ไม่มีหิมะกอง แต่อากาศยังเย็นมากอยู่ ตอนนี้ผู้คนบนถนนส่วนมากล้วนใส่ผ้าพันคอขนหนา ใส่หมวกและถุงมือ ดูแล้วเหมือนหมีตัวขนๆที่เดินไปมา
โหลชีดูการแต่งกายของพวกเขา กลับรู้สึกว่าเหมือนการแต่งตัวของพวกสาวๆในหน้าหนาวของยุคปัจจุบัน
"หาโรงเตี๊ยมก่อน พวกเราลงไปตามหาดูกันเถิด"
ทั้งสามคนลงจากรถ พวกถูเปินกับเจ้าลิงต่างจูงรถม้าเดินตามหลังต้อยๆ มนตรีเองก็กระโดดลงจากหลังรถม้าตามพวกเขาไป "คุณชาย ข้าน้อยขอตามไปเดินเล่นด้วย เดินเล่นน่ะ"
โหลวซิ่นเหล่เขาหนึ่งที "เจ้าหิวแล้ว ดูท่าอยากลงมาดูว่ามีขายซาลาเปาหรือไม่ จะได้ซื้อสักสองอันมารองท้องก่อนกระมัง?"
มนตรีหัวเราะร่วนบอก "พี่โหลวอย่าเปิดโปงข้าสิ"
โหลชีหัวเราะ ยื่นมือล้วงเงินเล็กน้อยโยนให้เขา "ไปเถิด ด้านหน้านั่นมีขายซาลาเปา" นางชี้ไปที่ร้านหัวมุมซ้ายด้านหน้า
มนตรีรับเงินมาและวิ่งไปทางนั้นทันที โหลวซิ่นลูบจมูกแก้เก้อ "คุณชาย ข้าก็อยากไปดูหน่อย อย่าให้เจ้านั่นซื้อแต่ซาลาเปาเนื้อที่เขาชอบเพียงอย่างเดียว" โหลวซิ่นแสดงออกว่าตนชอบกินหมั่นโถว
เฉิงสิบหัวเราะ "โหลวซิ่นอยากกินเองด้วยสิ"
ใครจะรู้ว่าโหลวซิ่นพึ่งวิ่งออกไปไม่นานก็วิ่งกลับมามือเปล่า โหลชีดูสีหน้าเขาแปลกพิกล จึงถามทันทีว่า "ทำไมรึ?"
สีหน้าโหลวซิ่นบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจ สรุปแล้วคือดูสับสนอย่างมาก เขาขยับปาก ครุ่นคิดอยู่นานก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กัดฟันบอกว่า "เฮ้อ คุณชาย ท่านดูเองเถิด!"
โหลชีเดินตามเขามายังที่ว่างอยู่ไม่ไกลจากร้านซาลาเปา ที่นั่นมีกำแพงสีขาวอันหนึ่ง ดูท่าจะเป็นที่ติดประกาศประจำเมือง ด้านล่างมีร่องรอยประกาศเก่าอยู่บ้าง ด้านบนมีประกาศสีเหลืองอันหนึ่ง พอเห็นตัวหนังสือบนนั้นสายตานางก็เบิกกว้าง
ผีหลอก ผีหลอกแล้วมั้ง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ