ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 240

สรุปบท บทที่ 240 ชั่วร้ายไร้ที่เปรียบ: ใต้ร่มยาใจ

สรุปตอน บทที่ 240 ชั่วร้ายไร้ที่เปรียบ – จากเรื่อง ใต้ร่มยาใจ โดย ลิ่วเยว่

ตอน บทที่ 240 ชั่วร้ายไร้ที่เปรียบ ของนิยายประวัติศาสตร์เรื่องดัง ใต้ร่มยาใจ โดยนักเขียน ลิ่วเยว่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ยังไม่อิ่มหนำกับการเป็นอิสระเลย อีกอย่าง เรื่องที่นางจะทำยังไม่แล้วเสร็จ

โหลชีหมุนตัวเดินจากไป ยิ้มมุมปากบางเบา

เฉิงสิบหันมองสัญญาใบนั้นอีกครั้ง ยิ้มมุมปากออกมา ฝ่าบาทเจ๋งมาก พยายามยิ่งๆขึ้นไปอีกนะขอรับ!

เดินไปได้หลายก้าวก็เห็นโรงเตี๊ยมใหญ่ โหลชีขี้เกียจหาต่อแล้ว พอเห็นประตูโรงเตี๊ยมนี้ตกแต่งดูดี มองเข้าไปในห้องโถงก็ดูกว้างใหญ่โอ่โถง เลยเรียกโหลวซิ่นเข้าไปจองห้อง

ตอนนี้นางมีเงิน ดังนั้นเลยไม่คิดจะให้ตัวเองอด ถึงจะแค่เข้าพักแรม ก็ต้องหาที่พักที่ใหญ่และสะอาด เป็นห้องชั้นหนึ่งเท่านั้น

ทำให้พวกถูเปินยังเคยยิ้มล้อเลียนว่าโดนคุณชายพวกเขาเลี้ยงจนเรื่องมาก ต่อไปถ้าให้พวกเขาไปพักแรมในป่าหรือวัดร้างอีก มีหรือจะอยู่ไหว

"นี่ พวกเจ้าได้ยินกันหรือยัง ตระกูลเซียวประกาศออกมาแล้วว่าจะสร้างอาวุธเทพอันหนึ่ง!" เกิดเสียงตื่นเต้นลิงโลดเสียงหนึ่งขึ้นในห้องโถง โหลชีพึ่งเดินเข้าไป พอหันไปมอง ก็พบว่าในห้องโถงใหญ่นี่จัดที่นั่งหรูหรากึ่งเปิดเผยไว้หลายโต๊ะ มีคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับข่าวนี้

เดิมโหลชีก็มาเพราะตระกูลเซียว พอได้ยินข่าวนี้แน่นอนจะไม่ยอมพลาด นางหันไปส่งสายตาให้เฉิงสิบ เฉิงสิบจึงเดินเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า "พี่ชายท่านนี้ ที่ท่านพูดหมายถึงตระกูลเซียวใช่หรือไม่?"

คนนั้นหันกลับมามองสำรวจเขา "เจ้ามาจากที่อื่นรึ? ไม่ได้พูดถึงตระกูลเซียว แล้วจะมีบ้านสามารถสร้างอาวุธเทพได้กันล่ะ?"

น้ำเสียงของเขาไม่ดีนัก แต่เฉิงสิบไม่สนใจ และถามอีก "อาวุธเทพล้วนต้องใช้วัตถุดิบในการทำชั้นเลิศ ตระกูลเซียวได้ของดีอันใดมากัน? เหล็กดำพันปี?"

"เหล็กดำพันปีถือว่าอะไรล่ะ เหล็กดำพันปีไม่ถือว่าเป็นอะไร ยังไงซะก็ได้ของดีมา นี่นี่ ข้าคุยกับคนต่างถิ่นอย่างเจ้าก็คุยไม่เข้าใจ ถอยไปๆ" คนนั้นผลักเฉิงสิบ เดินไปคุยกับโต๊ะเพื่อนเขา เฉิงสิบยืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง เขาพูดไปพูดมาก็แค่นี้เอง ตระกูลเซียวจะสร้างอาวุธเทพ แต่สรุปได้ของดีอะไรมา เขาก็พูดจาวกไปวนมาพูดไม่ถูกสักที

เฉิงสิบเดินกลับมาหาโหลชี "คุณชาย ดูท่าคนนั้นก็ไม่รู้ว่าตระกูลเซียวได้อะไรมา แต่ข้าน้อยสังเกตเห็นคนนี้เอาแต่พูดถึงตระกูลเซียวเล็ก"

โหลชีอึ้ง "ตระกูลเซียวเล็ก?"

นี่ตระกูลเซียวมีแบ่งเล็กใหญ่ด้วย? เวลานี้เอง เถ้าแก่เข้ามาพูด "คุณชายยังไม่ได้ยินเรื่องการเปลี่ยนแปลงของตระกูลเซียวกระมัง?"

"เถ้าแก่ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ ตระกูลเซียวเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?" โหลชีไม่อยากให้ตระกูลเซียวเกิดเรื่อง ไม่งั้นแส้ราชาเถาทองดำของนางจะให้ใครทำให้กัน?

พวกเขาเร่งรีบมา ก็ไม่อยากเสียเที่ยวหรอก

เถ้าแก่มองสำรวจนางก่อนบอก "คุณชายมาเมืองนั่วราคงมิใช่จะมาให้ตระกูลเซียวสร้างอาวุธให้ดอกกระมัง?"

"เถ้าแก่ มีเรื่องอะไรกันรึ?"

"แน่นอนว่ามี ถ้ามาหาตระกูลเซียวให้สร้างอาวุธให้ ต้องคิดให้ดีแล้วล่ะ บัดนี้วัตถุดิบนี่จะส่งไปตระกูลเซียวเล็กหรือตระกูลเซียวเดิม"

"หือ?"

"พวกท่านน่าจะรู้ว่า ชื่อเสียงของตระกูลเซียวมาจากฝีมือของเซียวชิงหย่วนซึ่งเป็นนายท่านใหญ่และฮูหยินเซียวของเขากระมัง?"

จุดนี้โหลชีเคยได้ยินพวกเฉิงสิบบอกแล้ว ตอนนั้นเซียวชิงหย่วนซึ่งเป็นนายท่านใหญ่แค่เปิดร้านตีเหล็กเล็กๆ ฮูหยินเซียวของเขาก็มาช่วยในร้านตีเหล็ก สองสามีภรรยาล้วนมีพรสวรรค์ในด้านนี้ อาวุธต่างๆเช่นดาบกระบี่ที่ทำออกมาล้วนแต่ดีมาก ใช้วัตถุดิบเหมือนกัน แต่ดาบกระบี่ที่พวกเขาสร้างออมากลับแหลมคมทนทานกว่าของคนอื่นมากนัก

ต่อมามีครั้งหนึ่งเซียวชิงหย่วนได้เหล็กดำพันปีมาโดยบังเอิญ พวกเขาใช้เหล็กดำพันปีนี้สร้างกระบี่มังกรหงส์ออกมาคู่หนึ่ง พอกระบี่มังกรหงส์ออกมา ราชวงศ์เป่ยชางก็เคลื่อนไหวเหมือนกัน ไท่จื่อในตอนนั้นจัดการซื้อกระบี่มังกรหงส์นี้ไป และมอบฉายานักทำอาวุธอันดับหนึ่งให้กับเซียวชิงหย่วน

ตระกูลเซียวจึงยืนหยัดอยู่ได้

นายท่านใหญ่มีลูกชายลูกสาวอย่างละคน ต่อมาตระกูลเซียวสืบทอดไปยังมือของลูกชายของเขาเซียวหั่ว เซียวหั่วสืบทอดความสามารถในการสร้างอาวุธของพ่อแม่ แทบจะเหนือชั้นกว่าพ่อแม่ สร้างอาวุธมีชื่อมากมาย ในนั้นมีสามสิ่งติดอันดับในอาวุธเทพ หนึ่งในนั้นกระบี่หงส์คำรามของน่าหลานฮั่วซินก็สร้างจากมือเซียวหั่ว

แต่พอเซียวหั่วอายุได้สามสิบปีกลับไม่มีลูกชายเลย เขามีหนึ่งฮูหยินใหญ่สองอนุ แต่ทั้งสามคนกลับให้กำเนิดลูกสาวเขาคนละสองคน ทั้งหมดหกคน ไม่มีลูกชายเลยแม้แต่คนเดียว ให้ลูกสาวมาทำอาชีพช่างทำอาวุธก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เซียวหั่วหวังจะมีลูกชายมาสืบทอด และหวังจะมีคนมาสืบทอดกิจการ ตอนอายุสามสิบ เขาได้ยินคนบอกว่า ให้รับเลี้ยงลูกชายสักคน ลูกเลี้ยงจะเรียกลูกชายมาให้

เขาหมดหนทางแล้วจึงได้แต่ลองทำตามดู และขอรับเลี้ยงขอทานน้อยที่ไร้พ่อแม่และน่าสงสารคนหนึ่งในเมืองนั่วรามาเป็นลูก และตั้งชื่อว่าเซียววั่ง

พูดไปก็แปลก พอรับเลี้ยงเซียววั่งมาได้ไม่ถึงสองปี ฮูหยินของเซียวหั่วกับอนุคนหนึ่งก็คลอดลูกชายตามมาติดๆกัน นอกเหนือที่เซียวหั่วดีใจมากแล้ว ก็ไม่ได้ปล่อยปละทิ้งขว้างลูกเลี้ยงเซียววั่ง กลับยิ่งรักใคร่เขามากกว่าเดิม ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเขาจนหมด

ผ่านมายี่สิบปีแล้ว ช่วงก่อนนี้เอง ในงานวันเกิดอายุหกสิบปีของเซียวหั่ว เซียววั่งพลันประกาศแยกตัวออกจากตระกูลเซียว ไปตั้งเรือนใหม่เอง และยังเปิดเผยข่าวน่าตกใจหนึ่งข่าวออกมาด้วย บอกว่าเซียวหั่วแก่แล้ว ลูกชายของเขาสองคนไม่มีพรสวรรค์ด้านการสร้างอาวุธ เมื่อก่อนเป็นเขาคนเดียวที่คอยช่วยสองพี่น้อง

สามพี่น้องตระกูลเซียวนี่เดิมล้วนมีพรสวรรค์ต่างกันไปคนละด้านในสายตาคนอื่น เซียววั่งชำนาญสร้างกระบี่ คุณชายรองคุณชายสามชำนาญสร้างดาบ แส้และมีดสั้น แต่บัดนี้เซียววั่งกลับบอกว่าเมื่อก่อนเป็นเขาที่คอยช่วยสองพี่น้องตระกูลเซียว นั่นเท่ากับว่า ที่จริงแล้วเซียววั่งก็ชำนาญสร้างดาบ แส้และมีดสั้นเหมือนกัน? อันที่จริงเขาทำได้หมด แต่ปกติกลับยกความดีความชอบให้สองพี่น้องตระกูลเซียว?

สตรีอายุเกือบสามสิบปีนางหนึ่งที่นั่งข้างๆเขารีบดึงชายเสื้อเขาพลางกดเสียงต่ำว่า "ท่านพ่อ ท่านจะเบาเสียงหน่อยได้หรือไม่? อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม? ท่านก็รู้ว่าคนผู้นั้นมิใช่คนดีอะไร ถ้าเกิด--"

คนแก่ดูจะเริ่มมีน้ำโห สะบัดมือนางพลางว่า "ไม่ใช่คนดีอะไร เจ้ายังไม่เตือนน้องสาวเจ้าอีก? คนประเภทนี้มีหรือจะจริงใจ? ยังจะหาเรื่องแจ้นเข้าไปหา!"

เดิมโหลชีคิดจะคิดเงินไปแล้ว แต่พอได้ยินสองพ่อลูกนี้คุยกันเลยนั่งลงอีกครั้ง

หญิงผู้นี้พูดอย่างหน่ายใจ "ท่านพ่อ พวกเขารู้จักกันมาหลายปีขนาดนั้นแล้ว เมื่อก่อนไม่มีใครเตือน มาตอนนี้เตือนจะมีประโยชน์รึ?"

คนแก่แค่นเสียงหึ สุดท้ายสบถออกมาหนึ่งคำว่า "ถึงเวลานางจะรู้สึก"

"น้องหลานบอกว่า ไม่ว่าต่อไปจะเป็นยังไง นางจะยอมรับมัน"

"เอาล่ะเอาล่ะเอาล่ะ ยังไงก็เป็นเรื่องบ้านเจ้า ต่อไปเจ้ากลับบ้านแม่ให้น้อยหน่อย และไม่ต้องติดต่อกับน้องสาวคนนั้นแล้วนะ"

"ลูกสะใภ้เข้าใจเจ้าค่ะ"

ที่แท้พ่อสามีกับลูกสะใภ้ มิใช่พ่อกับลูกสาว ไม่นานก็มีชายหนุ่มอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปีวิ่งเข้ามานั่งลงข้างคนแก่ "ท่านปู่ ขออภัย ข้ามาช้าแล้ว"

"วิ่งไปดูเขาสู้อสูรกันอีกแล้วล่ะสิ? เจ้าเด็กนี่นะ ไม่รู้จริงๆว่าสู้อสูรมันมีอะไรน่าดูกัน ทำให้เจ้าต้องไปดูทุกวัน"

ต่อมาทั้งสามคนไม่ได้พูดเรื่องตระกูลเซียวอีก โหลชีครุ่นคิด และคิดเงินพาพวกเฉิงสิบออกจากภัตตาคารนี้

เพื่อย่อยอาหาร พวกเขาเดินอ้อมไป เดินเล่นถนนหนทางของเมืองนั่วรา

พอกลับถึงโรงเตี๊ยม ก็เจอมนตรีนั่งอยู่ในห้องโถงคนเดียว บนโต๊ะมีกาน้ำชาหนึ่งกาและถั่วลิสงหนึ่งถาด ดูท่าจะหิวมากด้วย

"มนตรี เจ้าลิงยังไม่กลับมารึ?"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ