ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 253

"วูวู!"

โหลชีเก็บรอยยิ้ม อุ้มจิ้งจอกม่วงเอาไว้แล้วย่างฝีเท้าให้เบาลงแล้วเดินย่องเข้าไปในห้องของเสี่ยวเป่าที่มันชี้ไป

ประตูห้องเปิดกว้าง ข้างในว่างเปล่าไม่มีใครเลยสักคน แต่ว่าโหลชีได้กลิ่นคาวเลือดที่มีกลิ่นเหม็นชนิดหนึ่งเล็กน้อย สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบแวบออกไปทันที ไปผลักประตูห้องของเสี่ยวโฉวกับหลูต้าลี่ ข้างในก็ว่างเปล่าไม่มีคนอยู่เช่นกัน

โหลชีคิดไปโดยสัญชาตญาณว่าพวกเขาต้องไม่ได้ออกไปเที่ยวหรือว่ากินข้าวแน่นอน ตอนที่นางขึ้นมาก็กวาดตามองไปที่ห้องโถงแวบหนึ่งแล้ว ไม่เห็นเงาร่างของพวกเขาเลย

อีกอย่าง เฉิงสิบกับโหลวซิ่นจะไม่ไปกินข้าวก่อนที่นางจะกลับมาแน่นอน เสี่ยวโฉวตอนนี้บอกว่าจะเป็นสาวใช้ของนาง คิดว่าคงจะรอนางเช่นกัน ส่วนหลูต้าลี่ เสี่ยวเป่าไม่ลงไป เขาก็ไม่น่าจะลงไปกินข้าวคนเดียวก่อนเช่นกัน

"ถูเปิน!" แล้วนางก็หาถูเปินและคนอื่นๆอีก ก็ไม่เห็นใครเลยเช่นกัน

"ตู้เหวินฮุ่ย!" ตู้เหวินฮุ่ยเคยบอกไว้ว่าจะติดตามนางตลอด และนางก็รู้ว่าเขาอยู่ตลอด

ตู้เหวินฮุ่ยปรากฏตัวออกมาอย่างรวดเร็ว "พระสนม?"

"ส่งคนทั้งหมดของเจ้าออกไปก่อน ค้นหาเฉิงสิบและคนอื่นๆ!"

"พ่ะย่ะค่ะ!"

ตู้เหวินฮุ่ยส่งสัญญาณไปทางนอกหน้าต่างสองสัญญาณ

โหลชีเข้าไปในห้องของเสี่ยวเป่าใหม่อีกครั้ง ตรวจสอบอย่างละเอียดขึ้นมา เมื่อตรวจสอบขึ้นมานางก็พบร่องรอยของคนจำนวนมาก ประสาทรับกลิ่นของนางน่าทึ่งมาก ในห้องแห่งนี้ นางรวบรวมสมาธิแล้วดมอย่างละเอียด สามารถแยกแยะกลิ่นได้มากมายหลายชนิด ถึงแม้กลิ่นที่ค่อนข้างแรงจะเป็นกลิ่นคาวเลือดที่มีกลิ่นเหม็นเล็กน้อย แต่ภายใต้กลิ่นพวกนี้ ยังมีกลิ่นแป้งชนิดหนึ่ง นั่นคือกลิ่นบนตัวของเสี่ยวโฉว นอกเหนือจากนี้ กลิ่นที่ชัดเจนขึ้นมาอีกคือกลิ่นของหลูต้าลี่ อาจเป็นเพราะว่าเมื่อคืนไม่ได้ตั้งใจทำความสะอาดตัวเองให้ดี ดังนั้นบนตัวก็เลยยังมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่ไม่ได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นเวลานาน

แล้วก็มีกลิ่นซาลาเปาไส้หมูเล็กน้อย นางคาดเดาอย่างใจกล้าว่ามนตรีไปซื้อซาลาเปาส่งมาอีกแล้ว แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะชอบกินซาลาเปาไส้หมู ดังนั้นน่าจะซื้อหมั่นโถวกับซาลาเปาไส้อื่นๆมาด้วย เช่นนั้น เป็นไปได้อย่างมากว่าถูเปินกับคนอื่นๆก็น่าจะมาด้วย

หลังจากที่ทุกคนกินซาลาเปาเสร็จแล้ว ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้น

บางทีนั่นอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้พวกเขาต่างก็ตกตะลึง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้พวกเขาตอบสนองกลับมาไม่ทัน มีความเป็นไปได้สองอย่าง พวกเขาวิ่งออกไปกันเอง และไม่ใช่ออกไปทางประตู ประการที่สอง พวกเขาทั้งหมดถูกคนพาตัวออกไป และยังไม่ใช่ออกไปทางประตูอีกด้วย

แต่โหลชีรู้สึกว่า ไม่น่าเป็นไปได้เท่าไหร่ที่คนมากมายขนาดนี้ถูกจับตัวไปในเวลาเดียวกัน

ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับเสี่ยวเป่า และพวกเขาก็ตามกันออกไป

เพราะสิ่งที่นางได้กลิ่นชัดเจนมากที่สุดคือกลิ่นเหม็นของกลิ่นคาวเลือด กลิ่นแบบนั้น มีแต่กลิ่นเลือดของเสี่ยวเป่าเท่านั้นที่มีความเป็นไปได้ที่จะส่งกลิ่นออกมา สีหน้าของโหลชีเปลี่ยนไปอีกครั้งในทันที นางนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง

หรือว่าคนที่วางกู่ให้เสี่ยวเป่า ตามมาถึงที่นี่แล้ว?

"พระสนม เจ้าของร้านกับเสี่ยวเอ้อต่างก็บอกว่าไม่เห็นพวกเขาออกไป และพวกเขายังบอกอีกว่า ก่อนหน้านั้นเฉิงสิบและคนอื่นๆกินซาลาเปาอยู่ในห้องของเสี่ยวเป่า" หลังจากที่ตู้เหวินฮุ่ย ส่งสัญญาณออกไปแล้วก็ลงไปสอบถามที่ชั้นหนึ่ง

เป็นเช่นนั้นจริงๆ

"เช่นนั้นเจ้าได้ถามพวกเขาไหม มีคนน่าสงสัยขึ้นมาข้างบนหรือไม่?" ขณะที่โหลชีสอบถาม ก็เดินไปตรวจสอบตรงหน้าต่างด้วย

บนขอบหน้าต่างมีเลือดสองหยดอยู่บนนั้น อยู่ในสภาวะแห้งไปครึ่งหนึ่งแล้ว พวกเขาออกไปได้สักพักหนึ่งแล้ว

"ข้าน้อยถามแล้ว เจ้าของร้านบอกว่าไม่มีคนเข้ามา พวกเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วย"

โหลชีนิ่งเงียบไป น่าจะไม่มีคนนอกเข้ามา ในความเป็นจริง หากคนที่วางกู่ให้กับเสี่ยวเป่าไล่ตามมาถึงเมืองนั่วรา เช่นนั้นเขาก็สามารถเรียกเสี่ยวเป่าออกไปจากข้างนอกได้

"ส่งคนออกไปหมดแล้วใช่ไหม?"

ตู้เหวินฮุ่ยกล่าวว่า: "ส่งออกไปหมดแล้ว ขุนสื่อสามร้อยนายที่ฝ่าบาทจัดตั้งขึ้นมา แต่ละคนล้วนเป็นมือดีในการหาคนและสืบหาข่าวทั้งนั้น พระสนมโปรดวางพระทัย"

โหลชีพยักหน้า จู่ๆก็ก้มหน้ามองดูวู๊วู: "เจ้าสามารถหาพวกเขาเจอใช่ไหม?" ก่อนหน้านี้นางออกไปจะไปดูทารกคนเมื่อคืนนี้ ดังนั้นเลยทิ้งจิ้งจอกม่วงเอาไว้ให้เฉิงสิบดูแล บางทีอาจเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ ดังนั้นจิ้งจอกม่วงเลยหลบออกไปเอง และมีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่าเฉิงสิบจะทิ้งจิ้งจอกม่วงเอาไว้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เพื่อจะให้ข้อมูลกับนาง หรือกลัวว่าออกไปจะเป็นอันตราย ทำให้จิ้งจอกม่วงบาดเจ็บ

"วูวู!"

อุ้งเท้าหน้าของวู๊วูกระโจนไปทางหน้าต่าง

ดวงตาของโหลชีเป็นประกายขึ้นมา เดาว่ามันกำลังจะนำทางไปจริงๆ เลยปล่อยมันออกไป วู๊วูวิ่งออกไปทางนอกหน้าต่างทันที

"ตามไป" โหลชีรีบพาตู้เหวินฮุ่ยตามออกไปทันที

ประสาทรับกลิ่นของนางดี แต่เชื่อว่าปราสาทรับกลิ่นของจิ้งจอกม่วงดีกว่าของนางมากนัก มีกลิ่นที่ชัดเจนของเสี่ยวเป่า ต้องการแกะรอยไม่น่าจะยาก

เหมือนวู๊วูจะรู้ว่าความเร็วของพวกเขาไม่สามารถเร็วเท่าตนเองได้ ดังนั้นเลยชะลอความเร็วลงมา โหลชีไล่ตามไม่มีแรงกดดัน แต่ตู้เหวินฮุ่ยรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมาก

เขารู้สึกทึ่งในใจ เดิมทีมั่นใจในวิชาตัวเบาของตนเองมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเทียบพระสนมไม่ติดเลย!

โหลชีก็ได้แต่กล่าวกับเขาว่า: "เจ้ากลับไป ข้าตามไปคนเดียวก็พอ มีเรื่องอะไรข้าจะส่งสัญญาณไฟ หากไปถึงสถานที่ที่ข้าคิดว่ามันอยู่ไกลเกินกว่าระยะที่จะสามารถเห็นสัญญาณไฟแล้ว ข้าจะส่งสัญญาณหนึ่งครั้ง"

"พระสนม หน้าที่ของข้าน้อยคือติดตามท่าน----"

โหลชีกล่าวอย่างไม่เกรงใจมาก: "แต่ตอนนี้เจ้าตามไม่ทัน"

ตู้เหวินฮุ่ยน้ำตาไหลพรากออกมาจากสองตาทันที

"กลับไป ให้คนดูม้าของข้าเอาไว้ เจ้ายังมีภารกิจอีกหนึ่งอย่าง จับตาดูตระกูลเซียวเอาไว้ กระบี่ล้ำค่าที่พวกเขากำลังทำอยู่ข้าสนใจมาก ไปจับตาดูเอาไว้"

"เรื่องที่อาวุธวิเศษกำลังจะปรากฏตัว ข้าน้อยได้ส่งข่าวกลับไปตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว"

"เอาเถอะ เจ้ากลับไปก่อน" โหลชีไม่พูดมากอีก เร่งความเร็วขึ้นมา แซงวู๊วูไปในทันที

"วู๊วู เร็ว"

วู๊วูเห็นโหลชียังสามารถแซงมันได้ ก็เร่งความเร็วขึ้นตามไปในทันที ราวกับเงาม่วงที่แทรกด้วยแสงสีเงิน พุ่งทะยานออกไปในทันที

ตู้เหวินฮุ่ยเห็นเงาร่างของหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกหายไปอย่างรวดเร็ว เลยได้แต่หันหลังกลับไปอย่างเศร้าโศก เขาจะต้องขยันฝึกฝนวิชาตัวเบาอย่างหนักต่อไป นี่มันกระทบกระเทือนจิตใจคนมากเกินไปแล้ว ทำไมใต้เท้าองครักษ์เยว่ถึงไม่บอกเขา วิชาตัวเบาของพระสนมดีขนาดนี้? หรือว่านี่จงใจจะให้เขาขายหน้าหรือ?

ความเป็นจริงเขาเข้าใจเยว่ผิดแล้ว เยว่ก็ไม่รู้เช่นกัน โหลชีไปที่หุบเขามารรอบหนึ่ง ใช้คำสาปเลือดดวงชะตากลับช่วยกระตุ้นไขหินพันปีที่ยังไม่ได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ในเลือดของนาง ดังนั้นวรยุทธจึงพุ่งทะยาน พาจิ้งจอกม่วงฝึกฝนวิทยายุทธด้วย เทียบเท่ากับการฝึกฝนกำลังมากกว่าหนึ่งปีของนางแล้ว

ดังนั้นความสามารถที่แท้จริงของนางในตอนนี้ เยว่ก็ไม่รู้เช่นกัน

โหลชีใช้กำลังสิบส่วนถึงไล่ตามวู๊วูทัน เห็นมันพุ่งออกไปทางนอกเมือง ในใจนางสะดุ้งขึ้นมา หากแม้แต่ถูเปินพวกเขาก็ตามไปด้วย เช่นนั้นพวกเขาก็น่าจะออกไปตอนที่ประตูเมืองยังไม่ปิด

จิ้งจอกม่วงปีนไม่กี่จังหวะก็ขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้ว โหลชีใช้วิชาบันไดเมฆก็บินทะยานขึ้นไปเช่นกัน

หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกออกจากเมืองไปอย่างเงียบเชียบ จิ้งจอกม่วงบินโฉบอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มันรวดเร็วจนแทบจะมองไม่เห็นเท้าทั้งสี่ข้างแตะไปบนพื้น แทบจะโฉบผ่านไปในทันที

โหลชีต้องใช้กำลังขึ้นเป็นสิบส่วนถึงจะตามมันทัน มากน้อยก็รู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย ความเร็วของจิ้งจอกม่วงนี้เร็วจนทำให้คนผมเผ้าชี้เด่จริงๆ

หลังจากที่สามารถมองเห็นแนวเทือกเขาต่อเนื่องจากระยะไกล จิ้งจอกม่วงถึงได้หยุดลงมา แล้ววิ่งกลับเข้าไปในอ้อมแขนของโหลชีทันที หลังจากที่เงยหน้ามองนางครู่หนึ่งแล้วก็นอนหมอบลงบนแขนของนางแล้วหอบหายใจลิ้นห้อยเสียงเบา รูปร่างหน้าตาเล็กๆนั่นช่างดูน่าสงสารนิดๆจริงๆ

โหลชีก็สงสารมันที่วิ่งมาไกลขนาดนี้เช่นกัน เลยหยิบยาออกมาเม็ดหนึ่ง จิ้งจอกม่วงเห็นยาเม็ดในฝ่ามือของนาง รีบเข้าไปใกล้แล้วกินมันลงไปทันที

เพราะแต่ก่อนตอนที่จิ้งจอกม่วงอยู่ถ้ำในหุบเขามารเคยกินหญ้าเทียนจีมาก่อน ถึงแม้อาหารหลักของมันในตอนนี้จะเป็นเนื้อสัตว์ปรุงสุกแล้ว แต่ว่าโหลชีก็ยังใช้หญ้าเทียนจีหนึ่งต้นกับยาสมุนไพรบำรุงเลือดบำรุงชี่อื่นๆทำยาบำลุงจิตออกมาเป็นร้อยเม็ด บางครั้งก็ให้มันกินเป็นลูกกวาดหนึ่งเม็ด

ยาแบบนี้สำหรับจิ้งจอกม่วงแล้วสามารถเติมเต็มความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายและจิตใจอย่างรวดเร็ว หากเป็นตอนที่ได้รับบาดเจ็บก็เป็นยารักษาชั้นดี สำหรับมนุษย์แล้วผลลัพธ์ก็ยิ่งดียิ่งกว่า หากนางอยากเอาออกมาขาย เช่นนั้นยาเม็ดพวกนี้ก็สามารถขายเป็นเงินมากมายมหาศาล หากมีคนรู้ว่านางเอายาเม็ดล้ำค่าขนาดนี้ทำเป็นลูกกวาดของจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง คงต้องกระอักเลือดแน่นอน

ข้างหน้าเป็นสวนป่าหินกองอีเหละเขละขละ เพราะตอนกลางคืนมันมืดสลัว โหลชีมองอะไรไม่ออก แต่เมื่อนางเดินเข้าใกล้หินก้อนหนึ่ง ตอนพบว่ามีพวกอักษรโบราณอยู่ข้างบนเล็กน้อย นางรู้ในทันที ก้อนหินพวกนี้ไม่ใช่อะไรที่ไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน

แล้วนางก็สังเกตดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ตกใจเมื่อพบว่านี่เป็นซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง! และ ขนาดของมันดูเหมือนจะไม่เล็ก ซากปรักหักพังขนาดใหญ่เช่นนี้อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ในเมือง แล้วเดิมทีเจ้าของเป็นใครกัน?

นางอุ้มจิ้งจอกม่วงเดินค้นหาผ่านซากกำแพงพังทลายและเสาหินที่หักไปครึ่งท่อน ในที่สุดก็พบเศษผ้าเล็กๆที่ดูเหมือนจะถูกเกี่ยวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจตรงซากขอบกำแพง

หยิบเศษผ้านั่นขึ้นมา นางก็จำได้ว่านั่นคือผ้าบนตัวของเสี่ยวโฉว คนเยอะแยะขนาดนั้น มีเพียงเสี่ยวโฉวที่เป็นผู้หญิง กับเสื้อผ้าของเสี่ยวโฉวนางไม่ต้องตั้งใจไปจำก็สามารถจำขึ้นมาได้

แต่พบแค่เศษผ้าผืนเล็กๆผืนเดียว คนกลับไม่พบเลยสักคนเดียว

ระหว่างทางที่มานางส่งสัญญาณออกไปตอนที่มาถึงครึ่งทาง หากตู้เหวินฮุ่ยและคนอื่นๆไม่ใช่คนโง่แล้วล่ะก็ถึงเวลาต้องการจะหานางก็น่าจะหาสถานที่นี้เจอได้

สถานการณ์มีความแปลกประหลาดเล็กน้อย นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถหาคนพวกนั้นเจอในเร็วๆหรือไม่

พูดอย่างตรงไปตรงมา หลูต้าลี่กับเสี่ยวเป่า หรือแม้กระทั่งเสี่ยวโฉว นางก็เพิ่งจะรู้จักทั้งนั้น ไม่ได้มีความผูกพันอะไรเลย หากเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขา นางสามารถพยายามหาเต็มที่ด้วยสติสัมปชัญญะ แต่กับคนอื่นๆนางทำไม่ได้ โดยเฉพาะเฉิงสิบกับโหลวซิ่น นางคิดว่าเป็นพวกพ้องของตนเองไปแล้ว หากเกิดเรื่องกับพวกเขา นางคงจะต้องพลิกฟ้านี้แน่

สถานการณ์ในครั้งนี้นางไม่ได้คาดการณ์เอาไว้จริงๆ ใครจะไปคิดว่าในเมืองที่พลุกพล่านเช่นนั้น พักอยู่ในโรงเตี๊ยม คนมากมายขนาดนี้จะวิ่งออกมาอย่างแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน

"เอ๋?" ทันใดนั้น โหลชีเห็นทางเข้าทางหนึ่ง เดิมทีน่าจะเป็นประตูลับบานหนึ่ง ตอนนี้ประตูพังไปเล็กน้อย พื้นด้านหน้ามีแผ่นประตูหินล้มอยู่แผ่นหนึ่ง คิดว่าเดิมทีประตูน่าจะปิดเอาไว้แน่นหนา ตอนนี้เพิ่งถูกคนค้นพบและเปิดออกมา

ตรงซากประตูพัง ในที่สุดนางก็เห็นสัญลักษณ์ เป็นตัวเลขเจ็ดของเลขอารบิกที่นางสอนเฉิงสิบกลับโหลวซิ่น

โหลชีโล่งอกไปเล็กน้อย อย่างน้อยตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เฉิงสิบหรือไม่ก็โหลวซิ่นยังมีสติอยู่ น่าจะยังไม่เกิดเรื่อง

"วู๊วู เราเข้าไปดูกันหน่อย" โหลชีขมวดคิ้วขึ้นมา สุดท้ายก็อุ้มจิ้งจอกม่วงเอาไว้ ก้มตัวมุดเข้าไปซากประตูพังที่ไม่สูงเท่าไหร่นั่น และนางไม่รู้ว่าเมื่อเข้าไปแล้ว จะออกมาไม่ได้นานขนาดนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ