ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 254

ฟ้าสางแล้ว ในเมืองนั่วราก็เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนก็ยังดำรงชีวิตกันต่อไป แผงที่ขายอาหารเช้าตั้งร้านเร็วมาก ร้านซาลาเปาที่มนตรีอุดหนุนไปหลายครั้งขายดีมากตั้งแต่เช้า เจ้าของร้านยิ้มจนตาหยีทั้งคู่อย่างมีความสุข ไม่ง่ายเลยกว่าลูกค้าจะซาลงไปบ้างเล็กน้อย เขาเอนอยู่ตรงนอกประตูอย่างสุขกายสบายใจ สายตาเหลือบมองไปทางป้ายที่ประกาศนั่นพอดี กลับมองเห็นหญิงสาวนางหนึ่งสวมหมวกยอมยุทธสีควันฟ้ายาวถึงหน้าอกและแผ่นหลังยืนอยู่ตรงหน้าป้ายที่ติดสัญญาที่จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ส่งออกมาฉบับนั้น ดูเหมือนจะมองจนตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย

"จึ๊จึ๊ ผู้หญิงทุกคนต้องมองสัญญานั่นด้วยความอิจฉา น่าเสียดาย ที่จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น" เขากำลังส่ายหัวทอดถอนใจอยู่ ก็เห็นหญิงสาวคนนั้นยื่นมือออกไป ดึงสัญญาใบนั้นลงมา ฉีกมันออกเป็นชิ้นๆอย่างแรง ยกมือขึ้นมา โปรยชิ้นส่วนพวกนั้นออกไป

เจ้าของร้านเบิกตากว้าง ในใจแอบตะโกนว่าโอ้แม่เจ้า ท่านผู้นี้คงไม่ใช่จะอิจฉามากเกินไปใช่ไหม?

ผู้หญิงคนนั้นหันหลังเดินออกมา ขึ้นไปบนรถม้าที่จอดอยู่ด้านข้าง คนขับส่งเสียงดังออกมา บังคับรถม้าไปทางถนนใหญ่ในเมือง

จวนเซียวเล็ก เซียววั่งรีบเร่งออกมาต้อนรับ หญิงสาวลงมาจากรถม้า เซียววั่งก้าวไปข้างหน้าต้องการจะไปประคองนาง นางกลับทำเหมือนมองไม่เห็นมือที่ยื่นมาของเขา เดินเข้าไปในประตูใหญ่เอง

เซียววั่งเก็บมือกลับมา เดินเข้าไปนำทาง "เชิญทางนี้"

พานางไปที่ห้องของตนเอง หลังจากที่นางเข้าไปในห้องหนังสือแล้ว เซียววั่งก็ตามเข้าไปด้วย จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา แล้วปิดประตูลงอย่างแน่นหนา

เขารีบเดินเข้าไป คุกเข่าลงไปต่อหน้าหญิงสาว: "คำนับองค์หญิง"

หญิงสาวถอดหมวกจอมยุทธสีควันฟ้าออก ใบหน้างดงามสดใสที่เหนือคนธรรมดา ก็คือองค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชางเป่ยฝูหรง

เป่ยฝูหรงมองดูเขาครู่หนึ่ง นั่งลงไปหลังโต๊ะทำงานของเขา ถึงกล่าวขึ้นมาว่า: "ลุกขึ้นมาเถอะ"

"ขอบพระทัยองค์หญิง" เซียววั่งรีบลุกขึ้นมา แอบมองเป่ยฝูหรงครู่หนึ่ง รู้สึกชื่นชมในใจเล็กน้อย องค์หญิงใหญ่ฝูหรงของพวกเขางดงามที่สุดในแผ่นดิน สง่างามด้วยอิริยาบถและดูดี

หากสามารถแต่งงานกับนางได้มันจะดีมากเลย เช่นนั้นอำนาจสถานะความมั่งคั่งและความงาม มีครบหมดทุกอย่างแล้ว

แต่เซียววั่งรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กลัวจะถูกเป่ยฝูหรงมองความละโมบของตนเองออก เขารีบปั้นสีหน้าให้กลับมาเหมือนเดิม มองต่ำลงไปเล็กน้อยไม่กล้ามองนางอีก

"ข้าน้อยคิดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงจะเสด็จมาที่กระท่อมซอมซ่อของข้าน้อยจริงๆ ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก"

เป่ยฝูหรงมองพิจารณาห้องหนังสือห้องนี้ครู่หนึ่ง ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ว่าผ้าไหมที่อยู่ด้านข้างก็ปักด้วยไหมทอง นอกจากนี้บนผนังยังมีภาพวาดของศิลปินเลื่องชื่อของเป่ยชางแขวนอยู่ภาพหนึ่ง มีเครื่องประดับหินหยกวางอยู่บนโต๊ะไม้ชิงชันตรงมุมห้อง ไม่มีอะไรที่ไม่แสดงถึงความคิดและทรัพยากรทางการเงินที่เจ้าของห้องหนังสือห้องนี้ทุ่มเทลงไป

"เซียววั่ง เหมือนเจ้าจะลืมไปแล้ว กระท่อมซอมซ่อนี่ของเจ้า ข้าก็เป็นคนออกเงินซื้อเช่นกัน" ในดวงตาของเป่ยฝูหรงเผยเจตนาเย้ยหยันออกมา หากคนนางต้องการคนคนนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ประโยชน์ ผู้ชายคนนี้นางไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ

บนใบหน้าของเซียววั่งมีความกระอักกระอักกระอ่วนแวบผ่านเล็กน้อย รีบตอบรับว่าขอรับทันที

สองเดือนก่อนเป่ยฝูหรงก็ส่งคนมาหาเขาแล้ว อยากให้เขาตัดขาดจากตระกูลเซียว ออกมาสร้างชื่อเสียงด้วยตัวเอง ให้เงินเขาก้อนใหญ่ มีเงินก้อนนี้แล้ว เขาถึงสามารถซื้อบ้านที่นี่ได้ และต่อกรกับตระกูลเซียว

"เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปทำตอนนี้ทำไปถึงไหนแล้ว?"

ในใจเซียววั่งรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย "องค์หญิง ตาแก่เซียวหั่วนั่นซ่อนเหล็กดำน้ำแข็งพันปีได้อย่างมิดชิดมาก ข้าน้อยหาไม่เจอจริงๆ เขามักจะพูดตลอดว่าเห็นข้าเป็นลูกชายแท้ๆ แต่ห้องลับที่สำคัญที่สุดกลับไม่เคยบอกกับข้าเลย และไม่เคยพาข้าเข้าไปเลย......"

"ไม่ต้องหาข้ออ้างมากมายกับข้า" เป่ยฝูหรงขัดจังหวะการพูดของเขาอย่างไม่สบอารมณ์ "เหล็กดำน้ำแข็งพันปีเอามาไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ เซียวหั่วสร้างอาวุธวิเศษขึ้นมา ข้าก็จะไปเอาด้วยตัวเองอยู่แล้ว แล้วอีกเรื่องหนึ่งล่ะ?"

"องค์หญิงโปรดอภัยด้วย!" เซียววั่งกล่าว: "เป็นเพราะลูกน้องโง่เง่าของข้าน้อย ตอนที่ข้าน้อยยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ไปล่วงเกินคุณชายเจ็ดแล้ว คุณชายเจ็ดเข้าไปอยู่ในจวนของเซียวหั่วแล้ว----"

"เจ้าต่างหากที่โง่!" เป่ยฝูหรงตบไปที่โต๊ะ จ้องมองเขาด้วยความโกรธ "ข้าให้คนมาส่งข่าวตั้งแต่แรกแล้ว ให้เจ้าดึงคุณชายเจ็ดมาเป็นพวก สมองของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วใช่ไหม?"

เซียววั่งถูกตำหนิจนไม่กล้าเงยหน้า สีหน้ากลายเป็นสีเขียว

"คุณชายเจ็ดเหมือนคนที่อยู่ดีๆก็โผล่ออกมา ชื่อเสียงขจรขจายจากตงชิงมายังเป่ยชางภายในคืนเดียว เขามีจิ้งจอกแสงจันทร์ม่วง บนตัวบางทีอาจจะยังมีหญ้าเทียนจีอยู่อีก วรยุทธล้ำลึกคาดเดาไม่ได้ บุคคลเช่นนี้หากจะบอกว่าเบื้องหลังไม่มีตระกูลใหญ่ที่ตัดขาดจากโลกอยู่ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด แต่เพราะเขาอาจจะเป็นคนตงชิง ข้าไม่สะดวกออกหน้าด้วยตัวเอง ราชวงศ์ก็ไม่สะดวกออกหน้าด้วยตัวเองเช่นกัน ดังนั้นข้าถึงได้ให้เจ้าเป็นคนไปทำเรื่องนี้ หากว่าทำสำเร็จ เจ้าก็ถือได้ทำความชอบใหญ่หลวง! ใครจะรู้ว่าเจ้าจะโง่จนถึงขั้นไปล่วงเกินเขาทันทีที่เขามาถึง! เซียววั่งเอ๋ยเซียววั่ง ตอนนี้ข้ารู้สึกว่า การสนับสนุนช่วยเหลือเจ้าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด! ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไร้สมองขนาดนี้!"

เป่ยฝูหรงโกรธจริงๆแล้ว

ในใจเซียววั่งเสียใจจนรู้สึกขมขื่น ตอนนั้นเขาได้รับคำสั่งให้ไปดึงคุณชายเจ็ดมาเป็นพวกจริงๆ แต่ในใจเขากลับไม่ค่อยเห็นด้วย บางทีอาจเพราะเขาถูกเซียวหั่วเอาใจตั้งแต่เด็กจนไม่ค่อยรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเท่าไหร่ เขารู้สึกว่า ข่าวลือพวกนั้นของคุณชายเจ็ดมันเป็นก็แค่ข่าวลือ ก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นแหละ รอให้เขามาถึงเมืองนั่วราแล้ว ก็ปล่อยเขาเอาไว้อย่างนั้นก่อน หากไปเชิญถึงที่โดยเฉพาะ มันจะไม่ดูเหมือนว่าเขาเซียววั่งลดระดับตัวเองให้ต่ำจนเกินไปหรอกหรือ?

อีกอย่าง จอมยุทธ์ใต้หล้า ใครบ้างไม่ต้องการอาวุธ? หรือว่าช่างตีเหล็กที่เก่งกาจไม่ควรเป็นคนที่พวกเขาอยากผูกมิตรด้วยตัวเองหรือถึงขั้นต้องประจบสอพลอ? ไหนเลยที่จำเป็นจะต้องให้ช่างตีเหล็กย้อนกลับมาเอาใจ

เมื่อก่อนตอนที่เซียววั่งอยู่ตระกูลเซียว ยังเห็นท่าทางเกรงใจที่มีต่อเซียวหั่วของเขาเวิ่นเทียน แม้แต่เขาเวิ่นเทียนยังเกรงใจขนาดนั้น มาขอกระบี่ล้ำค่าให้กับเทพธิดาน่าหลานฮั่วซินเล่มหนึ่ง แล้วคุณชายเจ็ดคนหนึ่งจะถือเป็นอะไรได้?

เพราะเขาคิดแบบนี้ ดังนั้นเลยไม่ได้ใส่ใจจับตาดูว่าคุณชายเจ็ดมาถึงเมืองนั่วราเมื่อไหร่ และคิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านโง่เง่าของตนเองคนนั้นจะไม่ระวังไปจับลูกน้องของเขาไปทุบตี ทำให้เขากับคุณชายเจ็ดมีเรื่องบาดหมางกันตั้งแต่เริ่มแรก

"องค์หญิงโปรดอภัยด้วย!" ความคิดเหล่านี้ เขาย่อมไม่กล้าพูดให้เป่ยฝูหรงฟังอยู่แล้ว รีบแจ้งข่าวอีกเรื่องหนึ่งทันที "ข้าน้อยละเลยทางด้านคุณชายเจ็ดไป แต่ว่าข้าน้อยสืบหาที่อยู่ของลูกนิลดำเจอแล้ว!"

เป่ยฝูหรงที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ยินคำพูดประโยคนี้ ไฟโกรธก็ลดลงมาเล็กน้อย พูดตามตรง ดึงคุณชายเจ็ดมาเป็นพวกนั่นเป็นแค่เรื่องรอง ลูกนิลดำถึงจะเป็นจุดประสงค์ของนาง

"เป็นความจริงหรือ?"

เซียววั่งรีบกล่าวตอบทันที: "ไม่กล้าหลอกลวงองค์หญิง" ในความเป็นจริง หลังจากที่ล่วงเกินคุณชายเจ็ดแล้ว เขาก็รู้อยู่แล้วว่าหากไม่รีบทำคำสั่งอีกข้อหนึ่งขององค์หญิงให้สำเร็จ เขาต้องลงเอยไม่ดีแน่ ดังนั้นหลายวันมานี้เขาเลยไม่ได้สนใจโหลชีกับจวนเซียวอีก แต่ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจทั้งหมดที่มีไปกับเรื่องสอบถามและสืบหาลูกนิลดำ

พูดขึ้นมาก็เป็นความโชคดีของเขา คิดไม่ถึงว่า ปู่ของผู้หญิงโง่ที่หลงรักเขาหมดหัวใจคนนั้นก็เคยเล่าเรื่องลูกนิลดำให้กับเขา ไม่เสียแรงที่หลายปีมานี้เขาดีต่อนางไม่น้อย

"อยู่ที่ไหน?" เป่ยฝูหรงอดที่จะเผยความรีบเร่งออกมาเล็กน้อยไม่ได้

เซียววั่งกล่าวว่า: "ลูกนิลดำอยู่ในวังของยี่อ๋องของราชวงศ์ก่อน!"

สีหน้าของเป่ยฝูหรงเปลี่ยนไปทันที: "อยู่ที่นั่นนี่เอง!"

ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเป่ยชางขึ้นครองราชย์ด้วยการชิงบัลลังก์ในสมัยนั้น ยี่อ๋องของราชวงศ์ก่อน ความจริงแล้วมีศักดิ์เป็นเสด็จอาของเขา แต่ว่าก่อนที่เขาจะชิงบัลลังก์ ยี่อ๋องก็ถูกฮ่องเต้ในขณะนั้นหาข้ออ้างสั่งย้ายเขามาที่เมืองนั่วราที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ยี่อ๋องก็ไม่ได้พูดอะไรมาก พาครอบครัวและองครักษ์ของตนเองจากมาเลย แต่สามปีหลังจากนั้นราชวงศ์ถึงเพิ่งได้รับข่าว ยี่อ๋องสร้างพระราชวังที่เมืองนั่วรา พระราชวังถูกสร้างอย่างโอ่อ่ากว้างขวาง หรูหราหาที่เปรียบมิได้ และในเมืองนั่วราก็คัดเลือกสาวงามเข้ามาในพระราชวังเพื่อให้เขาเลือกมาเป็นสนม มีสัญญาณครอบครองแผ่นดินและยกตัวเองขึ้นมาเป็นราชาเล็กน้อย

ฮ่องเต้ย่อมไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมเช่นนี้ได้อยู่แล้ว กำลังจะลงมือ วังของยี่อ๋องกลับมีไฟลุกไหม้ ไฟไหม้อยู่สามวันสามคืน ในระหว่างกระบวนการเผาไหม้ยังมีแผ่นดินไหวขนาดเล็กเกิดขึ้น สั่นสะเทือนจนทั่วทั้งวังพังทลายลงมา แต่ที่แปลกประหลาดก็คือตอนนั้นข้างในมีคนมากมายขนาดนั้นแต่ไม่มีใครหนีรอดออกมาเลยสักคน

หลังจากนั้น กลางคืนมีชาวบ้านไม่น้อยเห็นลูกไฟผีสั่นไหว และมักจะมีเสียงโหยหวนน่าสะพรึงกลัว ทำให้คนรู้สึกกลัวอย่างมาก ยังมีคนใจกล้าเข้าไปสำรวจ แต่มีคนตกใจกลัวกลับมา บางคนก็ไม่กลับมาเลย นานวันเข้า ในสายตาของคนเป่ยชางวังนั่นเทียบเท่ากับเมืองผี ชาวบ้านเรียกมันว่าวังผี ไม่มีคนกล้าย่างเท้าเข้าไปเลยด้วยซ้ำ

เพราะเดิมทีมันก็สร้างห่างจากตัวเมืองอยู่แล้ว ทางนั้นไม่มีคนเดินไปอีก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ก็ถูกวัชพืชปกคลุม คนนอกก็ไม่เคยจำเป็นต้องผ่านที่นั่น ดังนั้นพระราชวังยี่อ๋องก็ค่อยๆถูกผู้คนลืมเลือนไป

ในที่สุดสองวันนี้ตู้เหวินฮุ่ยก็สอบถามสถานการณ์ของพระราชวังยี่อ๋องได้ชัดเจนเสียที แต่ผลลัพธ์ที่สอบถามได้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ผู้ที่ถูกถามถึงเรื่องพระราชวังยี่อ๋อง คนหนุ่มสาวเหมือนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร บางคนก็กล่าวอย่างหวาดกลัวว่าไปวังผีไม่ได้ คนมีอายุส่วนใหญ่ได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเลย ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงมันเลยด้วยซ้ำ

ยังไม่พูดถึงเรื่องไฟไหม้ที่แปลกประหลาด แค่เรื่องแผ่นดินไหวก็ทำให้คนหวาดกลัวแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่คิดว่าที่แผ่นดินไหวเพราะเทพเทวดาลงโทษ บ้างก็คิดว่ายมโลกต้องการจับดวงวิญญาณในวงกว้าง และยังมีบางคนที่รู้สึกว่าเป็นเพราะมีปีศาจปรากฏตัวขึ้น ยังไงก็ตามแต่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน พระราชวังเจอกับแผ่นดินไหว ไหนเลยจะมีใครกล้าพูดอะไรมาก

กลางวันคนของเขาค้นหาที่พระราชวังมาสองวันแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรเลย แต่ผลลัพธ์ที่พวกเขาแกะรอยได้ก็คือพระสนมเข้าไปในพระราชวังแล้วจริงๆ!

หากเกิดเรื่องขึ้นกับพระสนม เขาต้องนำหัวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแน่!

ยังไม่รอให้ตู้เหวินฮุ่ยคิดหาวิธีอะไรได้อีก ราชวงศ์เป่ยชางก็ออกประกาศออกมาใบหนึ่ง บอกว่าราชวงศ์ยืนยันแล้ว สมบัติพิเศษลูกนิลดำอยู่ในซากปรักหักพังวังยี่อ๋อง ตบรางวัลการค้นหาลูกนิลดำ ใครหาลูกนิลดำเจอแล้วส่งมอบให้ราชวงศ์ ผู้ที่มีตำแหน่งในราชสำนักจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งทางราชการ พระราชทานรางวัล ประชาชนหรือคนในยุทธภพจะได้รับรางวัลทองคำสิบล้าน ที่ดินอุดมสมบูรณ์หกร้อยไร่

ทันทีที่ประกาศรางวัลนี้ออกมา กระตุ้นให้เกิดเป็นคลื่นแตกกระเซ็นซ่านเป็นฟองฝอย

นกตายเพื่ออาหาร มนุษย์ตายเพื่อทรัพย์ ไม่ว่าความเฮี้ยนของวังผีจะเป็นเช่นไร ภายใต้รางวัลต้องมีผู้กล้า เวลาไม่ถึงสามวัน ก็มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันรอบๆพระราชวัง เดิมทีซากปรักหักพังของวังที่เงียบสงบ ครึกครื้นขนาดนี้เป็นครั้งแรก

กลัวว่าคนเยอะเกินไปกลับจะเกิดปัญหาได้ง่าย ราชวงศ์เป่ยชางส่งทหารล้อมรอบซากปรักหักพังของพระราชวังเอาไว้ทั้งหมด ในหนึ่งวันอนุญาตให้คนเข้าไปเพียงสิบห้าคนเท่านั้น วันรุ่งขึ้นไม่ว่าจะมีคนออกมาหรือไม่ ค่อยปล่อยเข้าไปอีกสิบห้าคน ดังนั้นคนมากมายที่ยังไม่ถึงคิวเข้าไปเลยตั้งค่ายกางเต็นท์อยู่หน้าซากปรักหักพัง ทุกวันยังมีคนหาบเร่ขายหาบอาหารเดินขายไปมา ครึกครื้นจนเหมือนเป็นตลาดชั่วคราวเลยทีเดียว

วังผีไม่เคยครึกครื้นขนาดนี้มาก่อน ในความเร่งรีบและคึกคักเช่นนี้ คนมากมายลืมความกลัวไป และลืมไปว่าสามวันผ่านไปแล้ว สี่สิบห้าคนที่เข้าไปในสามวันไม่มีใครออกมาเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ