โหลชีลืมตางดงามคู่นั้น ไม่รู้เลยสักนิดว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร
"รอประเดี๋ยวก่อนแม่นางซู่" มีคนยืนขึ้น ถามอย่างสงสัยว่า "เมื่อครู่ท่านบอกว่า สาวใช้ของท่านถูกแขกห้องอักษรทองทำร้ายเอาใช่หรือไม่?"
ซู่อวิ๋นซิงปาดน้ำตาบอก "ใช่!"
"ต่อมาท่านก็บอกอีกว่า ถูกพระสนมพั่วอวี้ทำร้ายเอารึ?"
"ใช่!"
คนผู้นั้นอึ้งไป "งั้นตอนนี้ท่านก็บอกอีกว่า ฮูหยินท่านนี้ทำร้ายเอารึ?"
"ใช่!"
ทุกคนเริ่มโกลาหล บางคนทนไม่ไหวหัวเราะออกมา "แม่นางซู่คงมิได้ตกใจจนเสียสติไปแล้วกระมัง!"
คราวนี้ฆาตกรก็เปลี่ยนไปถึงสามคน สมองมีปัญหากระมัง!
คนในที่นั้นมีแค่ไม่กี่คนที่รู้เบื้องลึกต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา บางคนคือโกรธ
ซู่หลิวอวิ๋นทั้งตกใจทั้งโกรธ เข้าใจในบัดดลว่าซู่อวิ๋นซิงคิดจะทำอะไร นางคิดจะเปิดเผยฐานะของเฉินซ่ากับโหลชี เปิดโปงพวกเขาต่อหน้าผู้คน!
ยัยเด็กน่าตายนี่ นางกล้าหาเรื่องโหลชีแบบนี้ จะทำให้เฉินซ่าพาลโกรธตนไปด้วย!
"อวิ๋นซิง เจ้าโดนอะไรเข้ากันนี่? เลิกพูดจาเหลวไหลเสียที ข้าจะพาเจ้ากลับ ต้องรีบหาหมอมารักษาชุนเซียงถึงจะถูก เจ้าดูสินางเป็นลมสลบไปแล้ว" ซู่หลิวอวิ๋นรีบเดินขึ้นหน้า พยุงอีกด้านของสาวใช้ และแอบลงแรงจะลากพวกนางเข้าตึกบุษบาพันธ์
เข้าตึกบุษบาพันธ์ ขอเพียงขึ้นไปชั้นสาม คนอื่นอยากขึ้นไปดูละครก็มองไม่เห็นแล้ว
ซู่อวิ๋นซิงแอบหัวเราะในใจ นังแพศยาซู่หลิวอวิ๋นเป็นแบบนี้เสมอ ขอเพียงมีเรื่องอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงดีงามของนาง นางมักจะหาโอกาสเหยียบตนมายกระดับตัวนางเอง ตอนนี้นางไม่ถามไถ่ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ กลับคล้อยตามคนอื่นหาว่าตนเสียสติ กำลังพูดจาเหลวไหล! ยังมาทำทีท่าเสแสร้งแบบนี้ จะช่วยตนพยุงสาวใช้ด้วยตนเอง จะเชิญท่านหมอมาดูอาการตน พยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนอย่างสุดความสามารถ!
แต่ครั้งนี้ นางมิยอมให้ซู่หลิวอวิ๋นสมหวังดอก!
ลงแรงที่มือด้วยเหมือนกัน และดึงสาวใช้เข้าใกล้ตนเองมากขึ้น ร้องเสียงดังออกมาว่า "ไม่ได้นะท่านพี่! ตอนนี้ไม่ช่วยชุนเซียงเรียกร้องความเป็นธรรมก็จะไม่มีโอกาสแล้ว! ท่านพี่ ไม่เพียงเพื่อชุนเซียง นี่เพื่อท่านด้วย! นับแต่จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ออกประกาศนั่นมา ท่านแอบร้องไห้เงียบๆกี่ครั้งกัน น้องสาวคนนี้รู้ดี! ตอนนี้พวกเราจะให้ฝ่าบาทได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนังผู้นั้น!"
"อวิ๋นซิง!"
ซู่หลิวอวิ๋นอยากอุดปากนางนัก แต่ท่ามกลางสายตาประชาชีนางกลับทำอะไรมิได้เลย
ซู่อวิ๋นซิงหันไปทางเป่ยฝูหรงอีก "องค์หญิงใหญ่ ที่นี่คือเป่ยชาง มีเรื่องอะไรต้องให้องค์หญิงใหญ่จัดการให้สิ! ที่ข้าอยากพูดคือ ห้องอักษรทองของตึกบุษบาพันธ์ ยังมีพระสนมพั่วอวี รวมถึงสตรีผู้นี้ด้วย" นางชี้นิ้วไปที่โหลชี "เป็นคนคนเดียวกัน! ก็คือนาง นางคือโหลชี!"
ประโยคนี้นางใช้กำลังภายในเล็กน้อยตะโกนออกมา แต่เหล่าคนมุงที่ตกตะลึงกับคำพูดของนางกลับไม่ได้สังเกตเห็น
โหลชียืนนิ่งมองดูนางพูดรัวๆ เพราะนางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พอฟังมาถึงตรงนี้ นางเข้าใจแล้วล่ะ
แต่พอฟังเข้าใจ นางก็รู้สึกว่าตลกมาก
นี่ร้องละครฉากไหนอยู่เนี่ย?
แอบดึงเฉินซ่า นางปรายตามองหนึ่งรอบ พบว่าคนส่วนใหญ่ต่างตกตะลึงไปตามๆกัน อ้าปากค้างเบิกตากว้าง
จ้าวหยุนกำหมัดแน่น ถ้ารู้ว่าซู่อวิ๋นซิงมาก่อเรื่องแบบนี้ เมื่อครู่ตอนเจอกันที่เรือสำราญ เขาควรจะถีบนางตกทะเลสาบไปเลยเสียดีกว่า
โหลชีเหล่มอง ไม่ให้เขาขยับ
ส่วนโหลฮ่วนเทียนก็ได้รับสายตาจากโหลชีเช่นกัน ยืนนิ่งไม่ขยับชั่วคราว แต่แอบส่งสัญญาณมือให้พวกองครักษ์ลับรุ่นหลงเตรียมตัวให้พร้อม
ใครกล้าทำร้ายเสี่ยวชีของเขา เขาจะเอาชีวิตมันแน่ เหอะ คิดว่าเสี่ยวชีของเขาไม่มีใครปกป้องหรือไง?
เป่ยฝูหรงตกตะลึงด้วยเช่นกัน นางมิใช่ไม่สังเกตเห็นว่าราศีรูปร่างของชายหน้ากากทองชุดแดงนั่นเหมือนกับเฉินซ่ามาก แต่เป็นเพราะไม่เชื่อว่าเฉินซ่าจะปรากฏตัวในสภาพเช่นนี้ ดังนั้นเลยไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น ตอนนี้พอได้ยินซู่อวิ๋นซิง ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าคนคู่นั้นที่กำลังจับมือกันอยู่ก็คือเฉินซ่ากับโหลชี
"อวิ๋นซิง เจ้าก่อเรื่องพอหรือยัง?" ซู่หลิวอวิ๋นรับรู้ถึงรังสีอาฆาตที่แผ่ซ่านจากร่างเฉินซ่าได้แล้ว นางรู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงไร้สมองคนนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องลากนางเข้าไปเกี่ยวด้วยล่ะ?
"ท่านพี่ ข้าไม่ได้ก่อเรื่อง ก่อนหน้านี้ที่ห้องทับทิม ท่านยังเชื้อเชิญพวกเขามาร่วมดื่มชามิใช่รึ? ท่ายังเตือนฝ่าบาทและโหลชีไม่แค่ครั้งเดียวว่า ตอนนั้นท่านเคยล่องเรือสำราญกลางสายฝนด้วยกันกับฝ่าบาท ร่วมดื่มชากัน ท่านพูดหลายครั้งเลย แต่นังหน้าด้านโหลชีนั่นกลับทำเหมือนมิได้ยิน ไม่เห็นสายสัมพันธ์อันดีของท่านกับฝ่าบาทอยู่ในสายตาเลย---"
"อวิ๋นซิง!"
ซู่หลิวอวิ๋นใบหน้าแดงก่ำ ดูแล้วเหมือนโดนบีบคั้นจนอับอายขนาดหนัก ประหนึ่งความลับที่สุดของตนถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คน และยังเป็นการยืนยันว่าคำพูดของซู่อวิ๋นซิงเป็นเรื่องจริง คือโหลชีหน้าด้านเข้ามาแทรกกลางระหว่างนางกับเฉินซ่า
โหลชีได้ยินมาถึงตรงนี้ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา
พี่น้องคู่นี้เป็นอัจฉริยะจริงๆ น้องสาวอาศัยโอกาสเหยียบหน้าพี่สาว เปิดโปงเรื่องที่นางกล้าเล่นตุกติกต่อหน้านางกับเฉินซ่า อยากจะใช้เรื่องในอดีตมาจุดชนวนการหึงหวงของนาง ผลสุดท้ายโดนเมินเฉยจนขายขี้หน้า
ตัวพี่สาวไม่มีหนทางยับยั้งไม่ให้น้องสาวพูดคำพวกนั้น แต่กลับเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างเร็วไว ทำตีเนียนกับคำพูดของนาง โยนความไม่ถูกทั้งหมดมาที่ตัวนาง
ทำให้คนรู้สึกว่า นางเป็นมือที่สามที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกเขา และยังไม่เห็นสายสัมพันธ์ระหว่างซู่หลิวอวิ๋นกับเฉินซ่าอยู่ในสายตาอีก
"ท่านพี่ ท่านดูสิ นางยังหัวเราะออกมาได้! โหลชี หากเจ้าแน่จริงก็ถอดหน้ากากออกมาสิ!" ซู่อวิ๋นซิงร้องออกมาพลางชี้ไปทางโหลชีอีก
นางมั่นใจว่าโหลชีกับเฉินซ่าต้องมีเหตุผลอะไรแน่ที่ทำให้ไม่สะดวกจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงที่นี่ ตอนนี้มาโดนนางเปิดโปง ควรจะเขินอายจนกลายเป็นโกรธแล้วกระมัง?
ซู่อวิ๋นซิงร่ำร้องในใจ มาสิมาสิ ทะเลาะเลย!
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงราบเรียบไม่มีแววโกรธสักนิดของโหลชีพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า "แม่นางอวิ๋นซิง ตกลงกันแล้วจะไม่เปิดโปงพวกเรา พอหันกลับมาท่านก็เล่นอย่างนี้เลย ช่างผิดศีลธรรมเสียจริง" ระหว่างพูด โหลชีก็ถอดผ้าปิดหน้าสีทองออก
ผิวพรรณผุดผ่องเนียนใส ดวงตาสว่างกระจ่าง ฟันเรียงยาวสวย ท่วงท่าสง่างาม
วินาทีนี้มีคนไม่น้อยในที่นั้นพากันคิดว่า โหลชีผู้นี้หน้าตางดงามยิ่ง สำคัญที่ท่าทีไม่รีบร้อน ไม่เก้อเขินนี่ ทำให้นางมีราศีพิเศษ ประหนึ่งสามารถคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้
"เหตุใดเจ้า---" ซู่อวิ๋นซิงตะลึง เหตุใดนางมิกลัวถูกเปิดโปงเล่า?
โหลชีมาที่ตึกบุษบาพันธ์ เพราะรู้สึกว่า มีเรื่องให้น้อยหน่อยได้ก็น้อยหน่อย เพราะนางไม่รู้ว่าตึกบุษบาพันธ์เป็นอย่างไรกันแน่ เป็นศัตรูหรือเพื่อน และตอนนี้ศัตรูมากมายก็มากันหมดแล้ว ถ้ามาอยู่รวมกัน นางคงไม่ได้เล่นสนุกแน่ เอาแค่รับมือพวกหล่อนก็ไม่มีเวลาแล้ว
แต่ตอนนี้นางกลัวอะไรล่ะ? เจ้าของตึกบุษบาพันธ์เป็นพี่ชายของนาง ตอนนี้ทั่วทั้งตึกบุษบาพันธ์ล้วนฟังคำสั่งนาง เฉินซ่าจะเปิดเผยก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เป่ยฝูหรงยังคิดจะกล้าทำอะไรพวกเขาต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้หรอ?
อีกอย่าง จะแข่งขันแย่งชิงกระบี่ล้ำค่าของตระกูลเซียวนั่น เฉินซ่าก็จะไม่เปิดโปงฐานะไม่ได้ ต่อไปจะให้กระบี่ล้ำค่านั่นอยู่แต่ในมือเขาไม่ได้พบเจอโลกก็ไม่ได้นี่นะ?
ยังไงซะ ต้องมีวันเปิดเผยออกมา เลื่อนเวลาขึ้นเร็วหน่อย สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรเสียหาย สำหรับร่วมดื่มชากลางสายฝนอะไรนั่นของซู่หลิวอวิ๋น นางจะถือซะว่าไม่ได้ยินแล้วกัน ต่อให้ต้องถามให้แน่ชัด ก็ไม่ใช่เวลานี้และสถานที่นี้
"แม่นางโหล---" เป่ยฝูหรงอดไม่ไหวขึ้นหน้าสองก้าว ครั้งนี้เป้าหมายของนาง นอกจากจะอยากอาศัยกระบี่ล้ำค่าให้ได้กำลังสนับสนุนอันยิ่งใหญ่แล้ว อันที่จริงก็อยากได้ลูกนิลดำจากพระตำหนักยี่อ๋องที่นอกเมืองนั่วรานั่นด้วย จะได้เอาใช้ร่วมมือกับเฉินซ่า แต่ตอนนี้คนที่ไปที่นั่น บางส่วนออกมาแล้ว แต่คนของนางกลับไม่มีออกมาเลยสักคน ข่าวที่สืบมาได้คือ เซียววั่งกับองครักษ์ของเขาพวกนั้นหายไปนานแล้ว แต่มิเห็นว่าพวกเขาเกิดเรื่องอะไร ดังนั้นอันที่จริงเป่ยฝูหรงยังคิดอยู่เลยว่า บางทีพวกเขาอาจจะแค่ยังหาลูกนิลดำไม่เจอ ยังหาอยู่ในนั้น
ตอนนี้นางมักรู้สึกว่าต้องทำความสัมพันธ์กับเฉินซ่าและโหลชีให้ดีก่อน ถึงเวลาพอหาลูกนิลดำได้แล้ว ถึงจะคุยเรื่องร่วมงานได้ดียิ่งขึ้น
เป่ยฝูหรงมีหรือจะรู้ว่า ลูกนิลดำที่มีเพียงสามผลนั้น มีลูกหนึ่งโดนโหลชีทำพังไปแล้ว อีกสองลูกก็โดนนางเก็บไปแล้วด้วย
"ท่านนี้คือพระสนมที่จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้พึ่งแต่งตั้งไป?" เริ่มมีคนซุบซิบกัน
"ดูองค์หญิงใหญ่ยังออกปากแล้ว ต้องใช่แล้วสิ"
"หน้าตางดงามยิ่ง ไม่ด้อยไปกว่าองค์หญิงใหญ่และนางฟ้าหลิวอวิ๋นเลยนี่นา"
"จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ช่างวาสนาดียิ่ง ข้าว่านะ สาวงามมากมายเพียงนี้ รับเข้าวังให้หมดมิดีรึ? ยังไงซะ วังของเขาก็มิใช่จะเลี้ยงดูไม่ได้"
โหลฮ่วนเทียนได้ยินผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เยี่ยงนี้ก็โกรธจัด "พูดบ้าอะไรกัน? พวกธรรมดาดาษดื่นนั่นถือดีอะไรมาเทียบเคียงพระสนมกัน? กล้าแย่งชิงบุรุษกับนาง อยากตายงั้นรึ!"
องครักษ์ลับของเขารีบดึงเขาออกไป ดึงออกไปเลย นายน้อย ท่านมิใช่บอกว่าจะเปิดเผยฐานะมิได้มิใช่รึ? ควบคุมตนเองหน่อยดีหรือไม่
คนทางนั้นหันมามอง ไม่รู้ว่าใครพูดคำนั้น หันกลับไปดูต่อละครอย่างใคร่รู้ แต่ยังสงสัยอยู่มาก ใครพูดกัน แฟนโหลชี?
"ผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งพั่วอวี้?"
"อ๊า เขามาแล้วจริงๆ! ได้ยินว่าฝ่าบาทสง่างามมิธรรมดา อยากพบเจอยิ่งนัก!" ครานี้ผู้วิพากษ์วิจารณ์โดยมากเป็นสตรี
เฉินซ่าค่อยๆถอดหน้ากากทองบนหน้าออก ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งปรายตามองไปทางซู่อวิ๋นซิง แววตาอำมหิตฉายชัดออกมาในนั้น
และหน้าตาของเขาก็ทำให้สตรีเหล่านั้นเห็นแล้ว...หลงใหลตามที่คาดไว้
เป่ยฝูหรงรีบก้าวขึ้นหน้าทันที "ฝ่าบาทมาถึงเป่ยชาง เหตุใดมิบอกฝูหรงเล่าเพคะ? ฝูหรงจะได้ทำการเตรียมตำหนักไว้ต้อนรับฝ่าบาทและพระสนม"
นางตัดใจจากเฉินซ่าแล้ว บุรุษเช่นนี้นางรับมือไม่ได้
ซู่อวิ๋นซิงทนไม่ไหวร้องขึ้น "องค์หญิงใหญ่ท่านหมายความว่าอย่างใดกัน? ตอนนี้อวิ๋นซิงกำลังบอกอยู่ว่าโหลชีคิดฆ่าสาวใช้ของข้า!"
ความสนใจของทุกคนโดนนางดึงกลับไปอีกครั้ง
"แม่นางอวิ๋นซิง จะพูดอะไรต้องมีหลักฐานนะ" เป่ยฝูหรงรู้สึกปวดหัวฉับพลัน ที่นี่คือเป่ยชาง และพูดได้อีกอย่างคือ นางออกหน้าน่าจะดีกว่า แต่เขาเฉินอวิ๋นกับพั่วอวี้ นางมิกล้าหือด้วยทั้งคู่ อีกอย่าง ที่ซู่อวิ๋นซิงฟ้องน่ะโหลชีนะ!
"ข้ามีหลักฐาน!" ซู่อวิ๋นซิงร้องออกมาเสียงดัง
พอพูดอย่างนี้ ทุกคนต่างหวาดหวั่นไปตามๆกัน อยากรู้ว่า จะมีหลักฐานอะไรสามารถพิสูจน์ได้ว่า โหลชีทำร้ายสาวใช้ของนางจริงๆ
โหลชีเลิกคิ้วถาม "หือ? มีหลักฐาน? เอาออกมาดูสิ"
นางยังอยู่ในท่าที่อ่อนโยน ทำให้คนยากที่จะเชื่อจริงๆว่า นางจะเป็นนังงูพิษที่จิตใจโหดร้ายเยี่ยงนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ