ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 309

โหลชีสงสัยจริงๆว่าซู่อวิ๋นซิงจะเอาหลักฐานอะไรออกมา

ซู่อวิ๋นซิงเห็นท่าทีนางไม่ยี่หระกังวลใดๆ ในใจยิ่งแค้น นางไม่กล้าแค้นซู่หลิวอวิ๋น และเกลียดเฉินซ่า แค้นโหลชีด้วย นางคิดว่าซู่หลิวอวิ๋นแย่งชิงโอกาสที่นางจะได้คารวะอาจารย์เขาเฉินอวิ๋นไป หากมิใช่ซู่หลิวอวิ๋น ตอนนี้ผู้ที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งใต้หล้าต้องเป็นตนเอง และนางก็จะถูกผู้คนใต้หล้าจับไปอยู่รวมกันกับเฉินซ่า นางควรจะเป็นคนที่คู่ควรกับการเป็นคนของจักรพรรดิ

ส่วนเฉินซ่าก็ไม่ดี และไม่ถูก เพราะเหตุใดเขาจึงยอมให้ผู้คนใต้หล้าคิดว่า ซู่หลิวอวิ๋นคู่ควรกับเขา สามารถเป็นจักรพรรดินีให้เขาได้? เขาควรจะมองออกถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของซู่หลิวอวิ๋นถึงจะถูกสิ!

ส่วนโหลชี ตนเองแอบแย่งชิงกับซู่หลิวอวิ๋นมาหลายปีขนาดนี้ ไม่เคยได้อะไรเลย โหลชีถือดีอะไรพอมาก็ได้รับความรักจากเฉินซ่าเลย? นางเป็นตัวอะไรกัน?

ยังไงซะ นางจะดึงทั้งสามคนนี้ลงมาเหยียบให้จมดิน ใครก็อย่าหวังจะรอดได้

เรื่องในคืนนี้มิใช่ยิงธนูนัดเดียวได้นกสามตัวหรอกรึ?

โหลชีเป็นนังงูพิษที่จิตใจอำมหิตทำร้ายสาวใช้นาง

ซู่หลิวอวิ๋นท่าทีเยื้องกรายเลื่อนลอยประดุจเซียน อันที่จริงก็เป็นนังแพศยาที่แอบกดเหยียบลูกพี่ลูกน้องจมดิน และยังหน้าด้านเสนอตัวให้บุรุษ

สำหรับเฉินซ่า นั่นน่ะโง่เง่า กลับมีสัมพันธ์กับสตรีสองนางนี้

"เจ้าคิดว่าข้าเอาหลักฐานออกมาไม่ได้รึ?" ซู่อวิ๋นซิงหยิบเศษผ้าเส้นหนึ่งออกจากในแขนเสื้อ ยกแขนขึ้นสูง ให้ทุกคนเห็นผ้าในมือนาง "เห็นแล้วหรือไม่ นี่เป็นเศษผ้าที่สาวใช้ข้ากระชากจากกระโปรงนางยามนางฉุดกระชากกับสาวใช้ของข้า! เจ้ากล้าออกมายืนเทียบหรือไม่เล่า?"

"ไม่ต้องเทียบหรอก เป็นของข้า" โหลชียังคิดว่านางจะเอาอะไรออกมา ที่แท้ก็สิ่งนี้เอง ตอนนางหยิบออกมา นางก็นึกขึ้นได้แล้ว ตอนนั้นที่นางกำลังจะไปจากห้องโดยสารใต้ท้องเรือนั่น กระโปรงก็เหมือนโดนอะไรเกี่ยวไว้ แต่นางไม่ได้สนใจ ดูท่าหลังจากนั้นซู่อวิ๋นซิงจะไปที่นั่น และโดนกลไกเข้า สาวใช้เลยได้รับบาดเจ็บ นางเห็นเศษผ้าผืนนี้เลยคิดวิธีนี้ออกมากระมัง

แต่ว่านางไม่ค่อยเข้าใจว่า ให้ร้ายนางแบบนี้มีความหมายอะไร?

"...เจ้ายอมรับแล้ว?!" เดิมซู่อวิ๋นซิงคิดว่านางจะแก้ตัวอีกสักหน่อย ไม่คิดว่านางจะไม่คิดเลยสักนิดก็ยอมรับออกมาเลย

"ใช่ไง ตอนข้ากำลังผ่านด่านเกิดไม่ระวังกระโปรงโดนเกี่ยว ยังมีอะไรไม่ควรยอมรับกัน? เจ้าต่างหาก หยิบเศษผ้ามาผืนหนึ่งก็คิดจะกัดคน นางฟ้าหลิวอวิ๋นปล่อยเจ้าออกมาได้ยังไง? ข้าหาปลอกคอให้เจ้าสักอันไหม แบบที่มีโซ่เหล็กด้วยนะ พอใส่แล้วก็รีบลากกลับบ้านไปเสียเถิด"

บางคนฟังคำพูดโหลชีไม่เข้าใจ พวกที่เข้าใจก็ไม่กล้าพูดอะไร นั่นน่ะศิษย์เขาเฉินอวิ๋นนะ พวกเขามีหรือจะกล้าหือ? โหลฮ่วนเทียนที่ฉลาดตอนนี้กลับเตะก้นข้ารับใช้ชุดเขียวข้างกายเขาคนหนึ่ง

ไอ้โง่ รีบช่วยพูดสิ!

ข้ารับใช้ชุดเขียวคนนั้นเดิมเป็นคนรับเดิมพัน ปราดเปรียวว่องไวมาก พอโดนเตะก้นไปที ก็รีบหัวเราะร่าบอก "ฮะฮะ พระสนมนี่จะให้นางฟ้าหลิวอวิ๋นใส่ปลอกคอหมากับน้องสาวงั้นรึ?"

พอพูดปุ๊บ โหลฮ่วนเทียนก็เตะเขากระเด็น คนอื่นหันมาจึงหาไม่เจอว่าใครพูด

โหลชีหัวเราะพรืด

คนอื่นไม่เห็น แต่นางเห็นนี่

ซู่อวิ๋นซิงโกรธจะพูอต่อ โหลชีตัดบทนาง "ข้ารอเก็บเงินเดิมพันอยู่นะ ไม่มีเวลามาพล่ามไร้สาระกับเจ้า เจ้าบอกว่าเศษผ้านี้สาวใช้ของเจ้ากระชากออกมาตอนยื้อยุดกับข้าอยู่รึ?"

นางก้มหน้ามองชายกระโปรงตนเอง หัวเราะพรืดถามว่า "ไม่ทราบว่าสาวใช้ของแม่นางซู่คนนี้ตอนนั้นทำอย่างไร? นอนที่พื้น? ต่อให้นอนที่พื้น หากข้าจะทำร้ายนาง นางรีบลุกขึ้นมายื้อยุดกับข้าก็ได้แล้ว กระชากกระโปรงข้าทำอะไร? หมาที่ข้าเคยเลี้ยงเมื่อก่อนชอบทำอย่างนี้ ปกติแล้ว มันจะกัดชายกระโปรงข้าไม่ปล่อยยามข้าจะจากมา"

ทุกคนพากันหัวเราะครืน

ใช่เลย จุดที่เศษผ้านี้ขาดประหลาดนัก เป็นส่วนล่างที่สุดของกระโปรงเลยทีเดียว

โหลชีพูดอีก "อีกอย่าง ถ้าใช้มือฉีกจริง เป็นไปไม่ได้ที่จะกระชากได้เศษผ้าแค่นี้ออกมา จะอย่างไรก็ต้องเป็นผืนเลย อืม ท่านอาจจะบอกว่า ตอนนั้นนางใช้สองนิ้วกระชากออกมา งั้นรบกวนท่านช่วยใช้กระโปรงของนางฟ้าหลิวอวิ๋นพี่สาวท่านลองดูสักหน่อย ท่านจะใช้นิ้วกระชากเศษผ้าเล็กเยี่ยงนี้ออกมาได้อย่างไร"

มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วจริงไหม?

"อีกอย่าง ข้ายื้อยุดกระชากกับสาวใช้ท่าน? แรงจูงใจเล่า? เป้าหมายเล่า? เรื่องพวกนี้ไว้ก่อนแล้วกัน หากข้าจะลงมือกับนางจริงๆ ตอนนี้นางยังจะมีลมหายใจอยู่รึ?" โหลชีบอก พลางยกเท้าขึ้นเบาๆและกระทืบลงพื้น

ทุกคนไม่เห็นนางใช้แรงอะไรมากมาย หากพื้นหินเขียวใต้ฝ่าเท้านางกลับแหลกละเอียด

ทุกคนสูดหายใจสะท้านเยือก ไม่คิดเลยจริงๆว่ากำลังภายในของพระสนมพั่วอวี้ลึกล้ำปานนี้! นางพึ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว! ตบะกำลังภายในน่าตกใจยิ่งนัก

เป่ยฝูหรงสายตาหวั่นไหว หากโหลชีบอกว่ามิได้กินไขหินพันปีเข้าไป นางไม่เชื่อจริงๆ! แต่ตอนนี้เรื่องมันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว มาพูดเรื่องไขหินพันปีจะมีประโยชน์อะไร? อีกฝ่ายดูดซึมเข้าไปหมดแล้ว มาพูดอีกตอนนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย

ยังไงซะนางก็ไม่เชื่อคำพูดซู่อวิ๋นซิง โหลชีมิจำเป็นต้องลงมือกับสาวใช้เช่นนี้ หากเจ้าบอกว่าสาวใช้นี้ยั่วโมโหเฉินซ่า ยังเป็นไปได้มากกว่าที่เขาจะลงมือ แต่ไม่มีทางเจ็บถึงขนาดนี้

ซู่อวิ๋นซิงคิดไม่ถึงเลยว่าโหลชีจะวิเคราะห์และพูดออกมาได้เป็นข้อๆเยี่ยงนี้อย่างไม่รีบร้อนในสถานการณ์เช่นนี้ นางชะงักพูดไม่ออกทันที

ซู่หลิวอวิ๋นกำลังจะพูด เจ้าของแผงที่โดนคนเมินเฉยอยู่นานพลันพูดขึ้น "สาวใช้ผู้นั้นโดนกลไกด้านในนั้น และถูกไฟแผดเผาเข้า ต่อมาก็รักษาไม่ดีใช่หรือไม่ โดนใครมิทันระวังกระชากผิวหนังออกมาขนาดนี้ บาดแผลเช่นนี้เกิดจากการโดนเผาไหม้" ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเอ่ยเสริมอีกว่า "กลไกตรงนั้นวางสมบัติตระกูลข้าไว้ มีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้วของตระกูลข้าเฝ้าดูอยู่ หากมิมีความละโมบอยากได้สมบัติก็จะไม่โดนกลไก"

ความหมายก็คือ พวกเจ้าเกิดละโมบอยากได้สมบัติตระกูลข้า ได้รับบาดเจ็บมาแล้วจะโทษใครกัน?

ซู่อวิ๋นซิงแทบกระอักเลือด!

ไอ้พี่คนนี้เนี่ย!

ในเมื่อท่านรู้แล้ว เหตุใดไม่พูดให้เร็วกว่านี้?

โหลชีปรายตามองเขาหนึ่งที พลางเบ้ปาก เจ้าบ้า พูดให้ชัดเจนแต่แรกไม่ได้หรือไง? เปลืองน้ำลายนางไปตั้งเยอะ

ซู่หลิวอวิ๋นทนไม่ไหวกัดฟันกรอด และยื่นมือไปจี้จุดหลับของซู่อวิ๋นซิงอย่างรวดเร็ว พลางส่งสายตาให้สาวใช้คนอื่นพยุงพวกนางไว้ และหันมาพูดขอร้องโหลชีว่า "น้องสาวข้าคนนี้โดนตามใจแต่เด็ก หลิวอวิ๋นขออภัยแม่นางโหลแทนนางด้วย หลิวอวิ๋นจะให้คนส่งนางกลับเขาเฉินอวิ๋น นับแต่นี้ลงโทษกักบริเวณนางสามปี ห้ามลงจากเขาอีก แม่นางโหลจะเห็นแก่ที่นางยังเด็กนัก และอภัยให้นางครั้งนี้ได้หรือไม่?"

ถึงนางจะพูดกับโหลชี หากสายตากลับหันมองเฉินซ่าอย่างมีน้ำตาคลอ

เฉินซ่าพูดเสียงเย็นว่า "คำก็แม่นางโหลสองคำก็แม่นางโหลหมายความว่าอย่างใดกัน? นี่คือสนมของข้า"

โหลชีทนไม่ไหวอยากหัวเราะ คนผู้นี้ก่อนหน้านี้ยังถือว่าไว้หน้าซู่หลิวอวิ๋นอยู่ บางทีพวกเขาคงมีสายสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แต่ด้วยนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของเขา ดูท่าสายสัมพันธ์เล็กน้อยนั่นตอนนี้คงไม่เหลือแล้ว

ซู่หลิวอวิ๋นสีหน้าซีดเผือด แววตาฉายแววเศร้าหมองออกมา แต่เฉินซ่ากลับเดินเข้ามาหลายก้าวและพูดว่า "สตรีของข้า เจ้าคิดว่าจะเหมือนด่าว่าหมาแมวที่ไหนวิ่งออกมานั้น แล้วกล่าวขอโทษแล้วหายกันได้รึ?"

พอพูดจบ ไม่มีใครเห็นว่าเขาลงมือยังไง ซู่อวิ๋นซิงและสาวใช้ที่สลบไปแล้วนั่นลอยกระเด็นออกไป เสียงตกน้ำสองเสียงดังขึ้น ทั้งสองจมลงไปในทะเลสาบ

ทุกคนพากันอุทานด้วยความตกใจ

ทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งโดนจี้จุดหลับ อีกคนสลบไป ตกลงไปในทะเลสาบแบบนี้ คงจมดิ่งลงก้นทะเลสาบแน่เลย...

ซู่หลิวอวิ๋นหางตากระตุก เห็นแต่ท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบของเฉินซ่า

แต่นางไม่อาจทนมองอย่างเฉยเมยได้ ไม่เช่นนั้น ถึงเวลานั้นใต้หล้าคงไม่รู้จะกล่าวถึงนางว่าอย่างไร หลายปีมานี้นางรักใคร่ซู่อวิ๋นซิง ยอมให้นางเอาแต่ใจ และตามเก็บตามเช็ดเรื่องราวที่นางก่อเรื่องไว้ เพื่อจะสร้างภาพพจน์กตัญญูรู้คุณขึ้นมา ตอนนี้หากเห็นนางใกล้จะตายแล้วมิช่วย คงต้องโดนกล่าวถึงว่า ไม่สนใจน้องสาวเพราะบุรุษเป็นแน่

ดังนั้นซู่หลิวอวิ๋นจึงกัดฟันบอก "ยังยืนนิ่งทำไมกัน รีบช่วยคนสิ!" พวกนางออกมา มิมีทางนำสาวใช้มาแค่สองคน ศิษย์เขาเฉินอวิ๋นก็พามาด้วยไม่น้อย

เฉินซ่าหางตากระตุก ยืนอยู่ตรงนั้น "ช่วยคน? ได้ ผ่านไปสิบลมหายใจข้าจะให้พวกเจ้าช่วย"

ผ่านไปสิบลมหายใจ!

ตอนนี้ทั้งคู่จมลงไปแล้ว หากรอผ่านอีกสิบลมหายใจ พอช่วยคนขึ้นมาแล้วไม่รู้ว่าจะยังเหลือรอดอยู่หรือไม่

"ฝ่าบาทจะไว้หน้าหลิวอวิ๋นหน่อยมิได้รึ?" ซู่หลิวอวิ๋นกัดฟันถาม

เฉินซ่าเหล่นาง "เจ้าเป็นตัวอะไรกัน?"

เดิมเขาจะไว้หน้านาง ให้แล้ว แต่น้องสาวนางกล้ามาเหยียดหยามโหลชีเยี่ยงนั้น เช่นนั้นเขาจะเอาเรื่องนางด้วย

คำพูดนี้ช่างทิ่มแทงใจนัก บุรุษยังไม่แน่ว่าจะรับได้ และนี่สตรี? อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ถูกยกย่องสูงส่งเป็นเวลานานอีกด้วย

ซู่หลิวอวิ๋นเกือบกระอักเลือดออกมาแล้ว นางกำหมัดแน่น จนเล็บจะจิกเข้าฝ่ามืออยู่แล้ว แต่นางรู้ว่า ถ้าปะทะกันขึ้นมา มิมีทางได้ผ่านเขาไปช่วยคนภายในช่วงสิบลมหายใจแน่ ดังนั้นจึงได้แต่จับจ้องผิวน้ำทะเลสาบทั้งไอเย็นเต็มร่าง รอเวลาช่วงสิบลมหายใจผ่านพ้นไป

หายใจสิบครั้ง ปกติแล้วสั้นนัก แต่ในตอนนี้กลับทำให้รู้สึกว่าช่างยาวนาน

เป่ยฝูหรงเพียงก้มหน้า ซู่หลิวอวิ๋นใจเย็นเยียบ รู้ว่าตอนนี้นางมิอาจแตกหักกับเฉินซ่าได้ ทางด้านจิ่งหยาว ยืนอึ้งบื้อไปแล้วเมื่อเห็นเป็นเฉินซ่า ยิ่งมีกล้าส่งเสียงใดๆ

คนอื่น ใครเลยจะกล้าปะทะกับเฉินซ่า

ดูจากพฤติกรรมโยนคนลงทะเลสาบของเขาอย่างหน้าตาเฉย ใครกล้าหาเรื่องตายบ้างล่ะ?

ในที่สุดเวลาสิบลมหายใจก็ผ่านไป ซู่หลิวอวิ๋นรีบสั่งคนลงไปช่วยเร็ว ทันใดนั้นศิษย์เขาเฉินอวิ๋นคนแล้วคนเล่าต่างกระโดดลงทะเลสาบอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่ายังไง หน้าของเฉินอวิ๋นก็แหลกละเอียดไม่เหลือดีแล้ว

ตอนนี้เอง เจ้าของแผงนั่นถึงขึ้นหน้าบอก "พวกเจ้าทำลายค่ายกลของข้าใช่หรือไม่? มามามา มาเอาหินหงส์แดงของพวกเจ้าไป!"

ทุกคนพากันตกใจ

ผู้ชนะคือพวกเขา?

บางคนร้องค้านขึ้นมา "งั้นพวกเราแพ้แล้วรึ?"

พวกเขาจะคัดค้านได้หรือไม่? หากมิใช่สองคนนี้ใช้ฐานะปลอม พวกเขามีหรือจะไม่ลงเดิมพันข้างพวกเขา?

ตึกบุษบาพันธ์ออกมาพูด "กล้าพนันต้องกล้ารับผล ไม่มีใครตั้งกฎว่าต้องแจ้งชื่อที่แท้จริง"

กระอักเลือด กระอักเลือด

"มีคนอยากขอทั้งสองคุยด้วยได้หรือไม่ แขกห้องอักษรทอง จะสามารถไปคุยที่ห้องอักษรทองได้หรือไม่?" เจ้าของแผงนั่นกอดของของเขามายิ้มให้โหลชี

โหลชีมองเขาหนึ่งที รู้ว่าเขาคงไม่คิดจะให้หินหงส์แดงง่ายดายขนาดนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ