ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 310

นางก็ยินยอมให้เขาไปคุยที่ห้องอักษรทอง แต่เรื่องบางเรื่องต้องจัดการให้แล้วเสร็จก่อนจะดีกว่า

"ไปคุยที่ห้องอักษรทอง ได้" โหลชียิ้มพลางเหล่มองกล่องที่เขาอุ้มอยู่ "เจ้าเปิดกล่องออกก่อน ให้ทุกคนดูว่าเป็นหินหงส์แดงจริงหรือไม่ มิเช่นนั้นพอขึ้นตึก เกิดเจ้าเอาหินหงส์แดงออกมาไม่ได้ ใต้หล้ากลับจะต้องลือกันแน่ว่า ข้ากับฝ่าบาทได้หินหงส์แดงมาแล้ว พวกเรามิเสียเปรียบแย่รึ?"

โหลฮ่วนเทียนได้ยินนางพูดแบบนี้ ลูบจมูกพลันหัวเราะออกมา เสี่ยวชีเหมือนเขา เหมือนเขาจริงๆ ไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับที่เขาไม่ชอบตระกูลโหล แต่คนอื่นกลับไม่ยอมให้เขาเป็นนายน้อย เขากลับดึงดันจะแย่งชิงตำแหน่งมา จากนั้นก็ลอบเข้าไปขุดเอาหอบังคับกฎออกมา

เขาก่อสร้างตึกบุษบาพันธ์ขึ้นมา เงินลงทุนในตอนแรกมาจากไหนกัน? แน่นอนว่าเป็นเงินที่ขุดออกมาจากตระกูลโหล จนสุดท้าย บุษบาพันธ์สิบสามตึกนี่กลับไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลโหลเลยแม้แต่น้อย

บัดนี้เสี่ยวชีพึ่งรับช่วงต่อตึกบุษบาพันธ์ไป ก็สร้างเงินกำไรมหาศาลให้กับตึกบุษบาพันธ์แล้ว และยังจะเอาหินหงส์แดง แต่กลับไม่ยอมให้คนเอารัดเอาเปรียบเลยแม้แต่น้อย

อืม เขารู้สึกว่าเสี่ยวชีของเขารู้ใจเขาจริงๆ เขาชอบนัก จะอย่างไรก็ชอบ

สีหน้าเจ้าของแผงนั่นดูมึนเซ็งเล็กน้อย

"ข้ามีหินหงส์แดงจริงๆนะ!"

โหลชีเลิกคิ้วบอก "งั้นก็เอาออกมาดูหน่อยสิ"

"จริงด้วยจริงด้วย รีบเอาออกมาดูสิ ให้พวกเราได้เปิดโลกก็ดีนะ!"

ในหมู่ฝูงชน มีสายตาละโมบโลภมากปะปนอยู่ไม่น้อย

เจ้าของแผงนั่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่งท่ามกลางเสียงเฮโลของทุกคน จากนั้นโก่งคอร้องขึ้นมา "ตอนนี้ข้าไม่มี---"

"เชอะ---"

"พรืด!"

"หลอกคนนี่นา!"

ในที่นั้นเกิดเสียงฮือฮาไปทั่ว พวกที่มีคนตายในนี้ไม่พอใจละ เรียกคนรับใช้องครักษ์มา บอกว่าจะฆ่านักต้มตุ๋นนี้ให้ตาย

ตลาดแหล่งรวมสมบัติมากมายด้านนอกตึกบุษบาพันธ์ เมื่อก่อนมิใช่จะไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

เจ้าของแผงนั่นเห็นสถานการณ์ไม่ดี รีบบอก "ข้าชดใช้ให้ข้าชดใช้ให้ ทองก่อนหน้านี้คืนให้พวกเจ้าทั้งหมด คืนให้หมดเลย! พวกที่ตายเพราะผ่านด่าน ข้าจะชดใช้เป็นน้ำชักมังกรหนึ่งขวด!"

พอคำว่าน้ำชักมังกรออกมา เกิดความเงียบขึ้นฉับพลัน จากนั้นผู้คนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันแผ่วเบา

น้ำชักมังกรมิได้แก้ได้ร้อยพิษ แต่มีผลประหลาดกับพิษประหลาด ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่ามันแก้พิษอะไรได้กันแน่ แต่ใครก็ตอบไม่ได้ เกิดวันไหนโดนพิษอะไร แล้วมันสามารถแก้ได้พอดีล่ะ? อีกอย่าง ต่อให้ไม่มีฤทธิ์แบบนี้ น้ำชักมังกรก็หาได้ยากยิ่ง เพราะดื่มมันลงไปแล้วสามารถทำให้ผมขาวกลายเป็นดำได้ รอยตีนกาน้อยลง กระฉับกระเฉงขึ้น ถือเป็นของดีกับคนชราไม่ว่าหญิงหรือชาย

โหลชียืนมองหน้าตาเฉย เห็นคนพวกนั้นโดนน้ำชักมังกรหนึ่งขวดสะกดไว้ได้ ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ในโลกที่มีแต่สมบัติมากมายนี่ ชีวิตคนไร้ค่าที่สุดแล้ว

มีการเคลื่อนไหวที่ผิวน้ำทะเลสาบ มีคนช่วยซู่อวิ๋นซิงขึ้นมาแล้ว แต่สาวใช้คนนั้นกลับหาไม่เจอ ถ้าบอกว่ายกเลิกการช่วยเหลือ แล้วจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นซู่หลิวอวิ๋นเลยยังยืนอยู่ข้างทะเลสาบ รอพวกเขาค้นหาสาวใช้คนนั้นต่อไป ลมกลางคืนพัดพาผมยาวและเสื้อผ้าของนางพริ้วไสว ดูแล้วคลับคล้ายจะหายไป

นางหันกลับมา สายตาที่มองโหลชีมีประกายน้ำตาอยู่หลายส่วน ดูแล้วอ่อนแอไร้ที่พึ่งมาก เหมือนโดนคนรังแกแล้วพูดอะไรไม่ได้ ซู่หลิวอวิ๋นโหมดนี้ดูน่าสงสารและงดงามถึงขีดสุด มองแค่แวบเดียวก็ทำให้คนรู้สึกสงสาร ใจอ่อนยวบ แทบจะอยากเข้าไปโอบนางเข้าอ้อมกอดมาปลอบโยน

โหลชีอึ้งไป แล้วถึงได้สติกลับมา สายตาและท่าทางแบบนี้มีให้กับเฉินซ่าที่อยู่ข้างกายนาง นางอดเลื่อมใสซู่หลิวอวิ๋นไม่ได้จริงๆ โดนหักหน้าขนาดนี้แล้ว ยังสามารถไม่โกรธไม่โวยวายได้ และยังจะพยายามดึงดูดความสงสารจากเขาต่อไปอีก?

หรือว่า เมื่อก่อนเฉินซ่าทำอะไรให้คนอื่นรู้สึกจริงๆ ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจหรือทำให้คนอื่นคิดว่าระหว่างทั้งคู่มีอะไรไม่เหมือนกัน และเขาควรจะสงสารนาง? พอมาคิดถึงท่าทีของเฉินซ่าเมื่อก่อนที่มีต่อนาง ก็ดูมีอะไรแตกต่างไปนิดหน่อยจริงๆ โหลชีรู้สึกว่าไว้ว่างๆต้องถามเขาดูสักหน่อย

มือโดนดึง เฉินซ่าลากนางเข้าไปในตึกบุษบาพันธ์ พุ่งตรงไปที่ชั้นสาม เจ้าของแผงนั่นอุ้มกล่องวิ่งตามหลัง

เป่ยฝูหรงกับจิ่งหยาวก็ตามขึ้นมาด้วย โหลชีหันไปมอง แต่กลับไม่เห็นร่างของจ้าวหยุน

"หาใครน่ะ?" เฉินซ่าน้ำเสียงทะมึน

"ไม่ได้หาใคร"

พวกเขาเป็นแขกของห้องอักษรทอง นี่ไม่ใช่ความลับแล้ว ดังนั้นเลยเดินเข้าไปในห้องอักษรทองได้ง่ายดาย เป่ยฝูหรงยืนนิ่งพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ดูท่าฝ่าบาทพระสนมมีเรื่องต้องคุยกัน มิสู้พรุ่งนี้ให้ฝูหรงเป็นเจ้าภาพ เลี้ยงรับรองอาหารเลิศรสของเป่ยชางกับทั้งสองท่าน"

ในเมื่อพบเจอแล้ว จะหลบก็หลบไม่พ้น เฉินซ่าพยักหน้า

จิ่งหยาวเผยอปากคล้ายจะพูด แต่ไม่มีใครสนใจนาง

พอเห็นคนพากันแยกย้าย นางกับสาวใช้ยืนอยู่ที่เดิม ได้แต่โกรธจนกัดฟันกรอด นี่คือแต่ละคนล้วนแต่ดูถูกเขาปี้เซียนรึ? ไว้รอท่านอาหญิงนางสำเร็จวิชา และได้อาวุธวิเศษมา นางจะดูสิว่ายังกล้ามีใครดูถูกเขาปี้เซียนอีก!

.....

"ท่านจะพูดได้แล้วกระมัง?"

เสี่ยวโฉวชงชาให้พวกเขา โหลชีเองก็เริ่มคอแห้งแล้ว เลยดื่มไปสองถ้วยติดจึงเอ่ยปาก

ก่อนหน้านี้ที่ข้างทะเลสาบ แสงยังไม่กระจ่างชัดมาก แถมพวกเขาก็ไม่ได้สังเกตใบหน้าคนผู้นี้ด้วย ตอนนี้พอมานั่งลงในห้องแล้ว ถึงเห็นใบหน้าคนผู้นี้ชัดเจน

ในฐานะบุรุษคนหนึ่ง เขาขาวมากเกินไป และยังอ่อนวัยมา ประมาณสามสิบเท่านั้น

คนนั้นวางกล่องไม้ในมือ จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คุกเข่าลงไปเลย อีกทั้งยังโขกศีรษะให้พวกเขาสามครั้งอย่างเป็นทางการ

โหลชีตกใจมาก "เจ้าทำอะไรกันนี่?"

เฉินซ่ากลับมีประกายวาบผ่านสายตา และถามขึ้นเสียงเรียบว่า "เผ่าชักมังกรเกิดเรื่องแล้ว?" คำพูดนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นคำถาม สู้บอกเป็นประโยคเน้นย้ำจะดีกว่า

คนผู้นั้นดูจะไม่คิดว่ามีคนพูดชื่อเผ่าชักมังกรออกมาตรงๆเลย เขาเงยหน้าขึ้นทันควันมาทางเฉินซ่าด้วยใบหน้างุนงง "ท่านรู้ได้อย่างไร?"

"หากเผ่าชักมังกรมิเกิดเรื่อง พวกเจ้าจะลงทุนทรัพย์สินและกำลังมาก่อเรื่องขนาดนี้ที่เมืองนั่วรานี่รึ?"

เฉินซ่าซาบซึ้งในบุญคุณของเผ่าชักมังกรอยู่เล็กน้อย ตอนนั้นถึงเขาจะขโมยน้ำชักมังกรมา แต่อีกฝ่ายก็รับรู้ด้วย ไม่ได้ไล่ตามออกมา และแสร้งทำเป็นไม่รู้ ให้เขานำน้ำชักมังกรไป

"ข้าน้อยสือเหล่ย เป็นคนเผ่าชักมังกร คำนับจักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ คำนับพระสนม" บุรุษชื่อสือเหล่ยสีหน้าแสดงออกถึงความเศร้าหมอง "ฝ่าบาทพูดมิผิด หากเผ่าชักมังกรไม่มีอะไร สือเหล่ยคงมิต้องมาถึงที่นี่! เป้าหมายของพวกเราก็คือ หายอดฝีมือที่สามารถทำลายค่ายกลได้! ขอทั้งสองท่านโปรดช่วยเราด้วย!"

"เผ่าชักมังกรเกิดเรื่องอะไรกัน?" เฉินซ่าถาม

"เรื่องมีอยู่ว่า...."

อันที่จริงเรื่องเผ่าชักมังกรนี่หลายๆด้านมีความคล้ายคลึงกับเผ่ามนุษย์ผี แต่แน่นอนว่า เผ่ามนุษย์ผีอนาถมากกว่า พวกเขาไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เหมือนมีโรค ดังนั้นเลยมีลูกได้ยากมาก และยังไม่อาจเจอแสงตะวันได้ สุดท้ายก็โดนทำลายล้างไปแล้ว

ส่วนพื้นที่บรรพบุรุษของเผ่าชักมังกรเป็นแหล่งล้ำค่า ที่นั่นมีภูเขาและน้ำ คนในเผ่าล้วนได้รับการเลี้ยงดูมาขาวๆสวยๆ และยังมีพรสวรรค์ที่ไม่รู้ว่าสืบทอดกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทุกคนในเผ่าแทบจะสามารถควบคุม และควบคุมพันธุ์พืชชนิดนั้นตั้งแต่กำเนิด และจัดค่ายลับทะลุมิติออกมาได้

เพียงแต่กฎของเผ่าชักมังกรนั้นสั่งกันลงมาเป็นรุ่นต่อรุ่นให้ปกปักรักษาแหล่งที่อยู่ ห้ามให้คนนอกรุกราน พวกเขาเองก็มีลูกยาก ปกติสามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกหนึ่งคนถือว่าดีมากแล้ว น้อยนักที่จะมีคนที่สองคนที่สาม บวกกับอายุพวกเขาไม่ยืน เลยมีประชากรน้อยมาตลอด

เพราะว่าคนน้อย เผ่าชักมังกรเลยรักใคร่สามัคคีกันมากเป็นพิเศษ หัวหน้าเผ่าเองก็สามารถเรียกชื่อคนในเผ่าได้ทุกคน ทุกสิ้นเดือนพวกเขาจะมีงานเลี้ยงรอบกองไฟ ทุกคนในเผ่าจะมาร่วมด้วย ทั้งร้องเพลงและเต้นรำ และแบ่งปันเรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่ที่ว่าฮูหยินใครตั้งครรภ์

แต่งานเลี้ยงรอบกองไฟเมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว พวกเขาพบว่ามีครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสี่คนหายตัวไป!

สำหรับพวกเขามันเป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนในเผ่าพากันออกตามหาครอบครัวนี้ไปทั่ว แต่สุดท้ายก็หยุดลงที่หน้าเขตหวงห้าม คนในเผ่าล้วนไม่กล้าเข้าไป

"บัดนี้เผ่าชักมังกรมีทั้งหมดห้าสิบเอ็ดคน และมีสิบหกคนเข้าสู่วัยชราแล้ว มิแน่ว่าอาจจะเข้านอนเช้าไม่ตื่นก็เป็นได้ ครอบครัวสี่คนที่หายไป นอกจากคุณปู่ที่อายุมากหน่อย ที่เหลือคือสองสามีภรรยาวัยรุ่นและเด็กหนึ่งคน สำหรับเผ่าเรา นี่คือความหวัง" สือเหล่ยพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด "ดังนั้น ความหมายของคนในเผ่าคือ ทุ่มเททุกสิ่งอย่างมิเสียดาย จะต้องตามหาครอบครัวสี่คนนี้ให้ได้"

โหลชีได้ยินมาถึงตรงนี้ก็อดซาบซึ้งไม่ได้ เผ่าหนึ่งมีประชากรแค่ห้าสิบเอ็ดคน ยังมีสิบหกคนเป็นผู้สูงอายุที่เริ่มนับถอยหลังชีวิต ถ้าตายหมด คราวนี้ในเผ่าก็เหลือคนแค่จำนวนนิดหน่อย ครอบครัวสี่คนนี้สำคัญมากจริงๆ

"งั้นพวกเจ้าออกมาหาคนช่วยเหลือ มันหมายความว่ายังไง?" ตนเองเข้าไปหาเองมิได้? จุดนี้เฉินซ่ายินดีช่วยพวกเขาอธิบายสักหน่อย "เขตหวงห้ามนั่นมิใช่ของคนเผ่าชักมังกร แต่เป็นของเพื่อนบรรพบุรุษพวกเขา ต่อมาทั้งสองทะเลาะกัน บรรพบุรุษเผ่าชักมังกรเลยตั้งกฎเผ่านี้ขึ้นมา คนเผ่าชักมังกรห้ามรุกล้ำเข้าเขตหวงห้ามนี้เด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนให้ขับออกจากเผ่าชักมังกร"

สือเหล่ยได้ยินอย่างนั้นก็เบิกตากว้าง "ฝ่าบาทรู้กฎเผ่าเราได้อย่างไร?"

เฉินซ่าไม่ตอบทำท่าครุ่นคิด โหลชีกลับคาดเดาได้ว่า คนนี้ต้องเปิดดูกฎเผ่านี้ตอนไปขโมยน้ำชักมังกรแน่

นางกลั้นยิ้ม รีบเปลี่ยนเรื่อง "กฎเผ่าก็ต้องมีเปลี่ยนแปลงกันบ้างสิ อีกอย่างตอนนั้นหัวหน้าเผ่ามิได้บอกว่า ทุ่มเททุกสิ่งอย่างมิเสียดายดอกรึ?"

"ทุกสิ่งที่หัวหน้าเผ่าพูด ไม่รวมถึงชีวิตคนในเผ่า"

"ดังนั้น เจ้าหมายความว่า ถ้าเข้าไปในเขตหวงห้ามนั่นเป็นไปได้อย่างมากว่าจะอันตรายถึงชีวิต?" โหลชีเลิกคิ้วถาม ถ้าเป็นอย่างนี้ พวกเขาก็ดีดลูกคิดกระดาน ให้คนอื่นไปเสี่ยงอันตรายแทนพวกเขา

"มีอันตรายหรือไม่พวกข้าไม่รู้จริงๆ แต่เขตหวงห้ามนั่นออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเขตหวงห้ามของเผ่าชักมังกร ถ้ามีคนในเผ่าบุกรุก จะไปโดนกลไกในนั้น"

คำพูดนี้หน้าหลังไม่สอดคล้องกันเลยจริงๆ ถ้าคนเผ่าชักมังกรเข้าไปก็จะโดนกลไก แล้วครอบครัวสี่คนนั่นเข้าไปได้ยังไงกัน? ไม่โดนกลไกหรอ?

เสมือนมองออกถึงความสงสัยของนาง สือเหล่ยรีบบอก "พวกข้าก็ไม่รู้ว่าทั้งครอบครัวนั้นเข้าไปได้อย่างไร แต่สามวันก่อนงานเลี้ยงรอบกองไฟ ที่นั่นมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ ฟ้าแลบฟ้าร้องจนน่าตกใจ ถ้าพวกเขาเข้าไปตอนนั้นจริงๆ เสียงกลไกทำงานต้องโดนเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบกลบหมดแน่"

"งั้นพวกเจ้าแค่ตามหาคนก็ได้แล้วนี่ จะใช้หินหงส์แดงมาเป็นเหยื่อล่ออะไร?"

สือเหล่ยยิ้มเศร้า "ข้ามีหรือจะกล้าพกหินหงส์แดงติดตัวออกมา?"

โหลชีได้ยินดังนั้นตาเป็นประกายทันที "พวกเจ้ามีหินหงส์แดงจริงรึ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ