ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 311

สือเหล่ยพยักหน้าอย่างแรง "เรื่องนี้แน่นอน! เผ่าชักมังกรไม่เคยโกหก หากสามารถทลายค่ายกลและออกมาได้ เผ่าชักมังกรยินดีมอบหินหงส์แดงให้ แต่หวังว่าคนที่มาทลายค่ายกลจะช่วยเราตามหาคนในเผ่าที่หายสาบสูญในเขตหวงห้าม"

เดิมเขาคิดว่าเพื่อหินหงส์แดง โหลชีก็คงจะรับปากแล้ว แต่พอเขาพูดจบ โหลชีกลับกวักมือเรียกอย่างขี้เกียจ จิ้งจอกม่วงที่นอนขดตัวอยู่ข้างๆรีบร้องขึ้นพลางมุดเข้าอ้อมกอดนาง ครั้งนี้เฉินซ่าไม่ได้ขัดขวาง มันรู้สึกว่าขโมยความสุขมาได้เลย

โหลชีลูบขนจิ้งจอกม่วงเป็นระยะ พูดอย่างผิดหวังว่า "เดิมแค่ทลายด่านได้หมดก็จะได้หินหงส์แดง ตอนนี้เจ้าแอบเปลี่ยนเงื่อนไข นอกจากจะทลายด่านได้หมดแล้ว ยังต้องช่วยพวกเจ้าเข้าเขตหวงห้ามตามหาคนในเผ่าที่หายสาบสูญอีกจึงจะได้หินหงส์แดง มิค่อยใจกว้างเอาเสียจริง แต่ข้าเห็นแก่ที่พวกเจ้าทำไปเพื่อช่วยคนในเผ่า จะไม่ถือสาเจ้าแล้วกัน เจ้าไปเถอะ"

สือเหล่ยตะลึงอึ้ง เป็นไปได้อย่างไร? มีคนไม่ต้องการหินหงส์แดงได้อย่างไรกัน?

"พระสนม นี่คือหินหงส์แดงนะ พระสนมมิรู้สรรพคุณของหินหงส์แดงใช่หรือไม่?"

โหลชีคล้ายจะยิ้ม "สรรพคุณอะไรล่ะ? นอกจากมันจะเป็นอาวุธวิเศษ สามารถขับไล่และหลบหลีกกู่แล้ว ยังมีสรรพคุณใดอีก?"

ทำลายอาวุธวิเศษ ขับไล่และหลบหลีกกู่ นี่ยังไม่พอ? ยังไม่พออีกรึ?

สือเหล่ยเบิกตากว้างอ้าปากค้าง

เขามีหรือจะรู้ว่า ตัวโหลชีเองก็มีอาวุธวิเศษหนึ่งอันอยู่แล้ว ต่อให้เจอพวกมีอาวุธวิเศษอีก นางไม่แน่จะสู้ไม่ได้ ทำไมจะต้องเอาหินหงส์แดงมาทำลายอาวุธวิเศษด้วย?

ส่วนขับไล่และหลบหลีกกู่ นางได้กินดีจิ้งจอกมารไปแล้ว ฤทธิ์ในการหลบหลีกกู่ดีกว่าหินหงส์แดงที่มีประโยชน์ชั่วคราวมากนัก ตอนนี้เฉินซ่าเองยังเป็นราชากู่เลย พวกเขาไม่ต้องการหินหงส์แดง ทำไมจะต้องวิ่งเข้าเขตหวงห้ามคนอื่นไปช่วยคนอื่นหาคนที่สาบสูญเพื่อของแบบนี้ด้วย?

สือเหล่ยเหม่ออึ้งไปเลย จนเขาถูกเชิญออกจากห้องอักษรทองก็ยังไม่รู้ตัว

นั่นน่ะหินหงส์แดง หินหงส์แดงนะ! เป็นสมบัติที่คนมากมายต้องการ! สองท่านนั้นกลับไม่สนใจเลยสักนิด! เขาไม่ได้ออกมาโลกภายนอกนานแล้ว เลยไม่รู้เรื่องในยุทธภพรึ? บางทีผู้คนใต้หล้าคงไม่ต้องการหินหงส์แดงแล้ว?

สือเหล่ยเดินลงชั้นล่างอย่างเหม่อลอย จากนั้นดึงคนข้างๆเข้ามาถาม "พี่ชาย หากมีหินหงส์แดง ท่านยินดีให้ราคาเท่าไหร่รึ?"

คนผู้นั้นตาเป็นประกาย "หินหงส์แดง? ถ้าเจ้ามี หนึ่งล้านตำลึงก็ให้ได้!"

เขาผลักคนผู้นั้นออก เดินไปหลายก้าว ก็ดึงมาถามอีกคน "พี่ชาย หินหงส์แดงเป็นของดีหรือไม่?"

คนผู้นั้นดูเมามาย พอได้ยินคำถามของเขาก็มองค้อนเขาหนึ่งที "เจ้าโง่หรือเปล่า? หินหงส์แดงมิใช่ของดี เจ้าเป็นของดีงั้นสิ?"

สือเหล่ยสะอึก ตอบไม่ได้เลยทีเดียว

แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้แล้ว เขาไม่ได้ผิดนี่นา ตอนนี้หินหงส์แดงยังเป็นของดี! มิเห็นเมื่อครู่พวกนางฟ้าหลิวอวิ๋น องค์หญิงใหญ่ต่างก็อยากได้หินหงส์แดงกันรึ? ทำไมฝ่าบาทและพระสนมพั่วอวี้นี่ถึงมิต้องการเล่า?

เพราะเหตุใดกัน?

....

ตระกูลเซียว ห้องลับ

ห้องลับที่เซียววั่งหามาหลายปีก็หาไม่เจอ ตอนนี้บรรยากาศเคร่งเครียด สามพ่อลูกตระกูลเซียวต่างจับจ้องมองกระบี่ล้ำค่าเล่มนั้นที่วางอยู่เบื้องหน้า ทั้งหมดเงียบนิ่งอยู่นาน

ผ่านไปอีกสักพัก เซียวชงทนไม่ไหวก่อน "ท่านพ่อ ข้าว่านะ อาวุธวิเศษนี่เดิมเป็นของเราสร้างออกมาเองอยู่แล้ว ถึงเราจะได้เหล็กดำน้ำแข็งพันปีนั่นมาโดยบังเอิญ แต่ก็เป็นของพวกเราเองมิใช่รึ? พวกเราตั้งราคาเอง แล้วดูว่าใครให้ราคาสูงกว่า กระบี่ล้ำค่านี่ก็เป็นของผู้นั้นสิ!"

เซียวฉิงปรายตามองเขา พลางพูดอย่างหน่ายใจว่า "น้องชง ถ้าเรื่องมันง่ายดายเพียงนั้น พวกเราต้องมาคร่ำเครียดเยี่ยงนี้ด้วยรึ? ตอนนี้องค์หญิงใหญ่ก็อยู่ที่เมืองนั่วรา เดิมตระกูลเซียวก็ขึ้นตรงกับราชวงศ์ องค์หญิงใหญ่ออกคำสั่งให้พวกเราส่งกระบี่ล้ำค่าไปตึกบุษบาพันธ์ในวันพรุ่งนี้ และนางจะเป็นคนตัดสินเองว่ากระบี่ล้ำค่าเป็นของใคร เจ้ายังคิดจะขัดคำสั่งรึ?"

เซียวหั่วถอนหายใจอีก "เดิมให้องค์หญิงใหญ่ตัดสินว่ากระบี่ล้ำค่าเป็นของใครก็ดีอยู่ แต่กระบี่ล้ำค่าเล่มนี้แปลกพิกลนัก เห็นได้ชัดว่าขาดจิตวิญญาณกระบี่ไป พ่อกังวลว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่อง สุดท้ายแล้วจะมาโทษที่ตระกูลเซียวเราน่ะสิ"

เซียวฉิงกับเซียวชงได้ยินดังนั้นก็เงียบกันไป สายตาที่มองดูกระบี่ล้ำค่าเล่มนั้นมีแววหวาดหวั่น บัดนี้พวกเขาไม่กล้าไปแตะต้องกระบี่ล้ำค่าเล่มนั้นเลย เพราะภาพยามกระบี่ล้ำค่าออกมาสู่โลกนั้นช่างน่าตกใจยิ่งนัก

"ท่านพ่อ หยงเอ๋อร์บอกมิใช่รึว่า คุณชายชีไม่เป็นไร? เหตุใดคุณชายชียังไม่กลับมาอีก? หากเขาอยู่ ต้องมีหนทางดีๆแน่" เซียวชงพูดอีก

"ข้ากลับกังวลว่าพรุ่งนี้คุณชายชีจะไปที่นั่น และต้องการเล่มนี้ด้วย" เซียวฉิงพูดด้วยสีหน้ายิ้มเศร้า

"เฮ้อ มิมีหนทางแล้ว พรุ่งนี้พวกเราส่งกระบี่ไป ต้องอธิบายสถานการณ์ของกระบี่เล่มนี้ให้ละเอียด หวังว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น ต่อให้เกิด ก็อย่ากล่าวโทษมาที่ตระกูลเซียวเรา ไปเถอะ ไปพักผ่อนกันเถิด"

พวกเขาออกจากห้องลับ แยกกันไปพักผ่อน ไม่นานมีสตรีคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังเสาเรือน คือเซียวหยงที่ยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ

หลังจากเซียวหยงตามทุกคนกลับมาก็โดนส่งกลับตระกูลเซียว เซียวหั่วเห็นนางกลายเป็นแบบนี้ โกรธจัดและไม่สนว่านางจะยินยอมหรือไม่ ก็จัดการเลือกคู่ครองให้นางเลย อีกฝ่ายเป็นพ่อค้า มีทรัพย์สินไม่น้อย แต่อายุสามสิบสองปีแล้ว เคยมีภรรยาคนหนึ่ง ป่วยตายเมื่อสองปีก่อน มีลูกชายคนหนึ่ง คุณหนูดีๆเยี่ยงนาง แต่งงานครั้งแรก เลือกนานขนาดนี้คิดนานขนาดนี้ อย่าว่าแต่ยู่ไท่จื่อหรือจักรพรรดิแห่งพั่วอวี้เลย ขนาดเซียววั่งยังไม่ได้ และนี่ยังต้องแต่งกับใครที่ไหนก็ไม่รู้เป็นภรรยาคนต่อไป! นางมีหรือจะยอม?

เซียวหยงตัดสินใจว่าต้องพยายามด้วยตนเอง เมื่อครู่นางตามติดเซียวหั่ว ไม่คิดว่าพวกเขาจะเข้าไปในห้องลับจากที่นี่

นางรู้ว่าอาวุธวิเศษกระบี่ล้ำค่านั่นต้องอยู่ที่นี่ รอจนนางได้อาวุธวิเศษกระบี่ล้ำค่ามาไว้ในมือ นางจะออกไปตามหาคน แน่นอนนางไม่กล้าไปหาเฉินซ่าแล้ว ตอนนางออกมาในสภาพสลบไสลตลอด รับรู้เพียงเล็กน้อย นางพอรู้ว่าโหลชีลงไม้ลงมือกับนาง กว่าจะมีคนส่งยาถอนพิษมาให้มันไม่ง่าย พอนางฟื้นก็รู้ว่า นางไม่อาจคิดอาจเอื้อมเฉินซ่าแล้ว แต่นางยังสามารถกลับไปในเส้นทางกอบกู้ชาติได้อยู่นี่นา

ได้ยินว่านางฟ้าหลิวอวิ๋นแห่งเขาเฉินอวิ๋นก็มาด้วย นางฟ้าหลิวอวิ๋นเป็นที่รู้จักกันดี นางน่าจะพูดคุยได้ด้วยง่าย! เอากระบี่ให้นาง จากนั้นให้นางพาตนออกจากตระกูลเซียวไปเขาเฉินอวิ๋น นางไปแต่งงานกับยอดฝีมือเจ้าสำนักของเขาเฉินอวิ๋นอะไรนั่นก็ไม่เลวนี่นา!

เซียวหยงคลำหาห้องลับ นางเองก็เป็นคนตระกูลเซียว ถึงจะไม่รู้ว่าห้องลับอยู่ที่ไหน แต่พอเห็นก็พอรู้ว่าจะเปิดยังไง

หลังจากเข้าไป นางเห็นกล่องไม้ยาวๆกล่องหนึ่ง รู้ว่านี่คงจะเป็นอาวุธวิเศษกระบี่ล้ำค่าเล่มนั้นแล้วล่ะ ใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

นางยื่นมือออกไปลูบกล่องนั่น และค่อยๆเปิดฝาออก ไอเย็นยะเยือกระลอกหนึ่งเข้าปะทะหน้า

เซียวหยงแทบกลั้นหายใจ ยื่นมือสั่นเทาออกไปอยากจะลูบอาวุธวิเศษเล่มนั้น

ห้องอักษรทองตึกบุษบาพันธ์ จิ้งจอกม่วงที่นอนขดหลับบนตั่งพลันลืมตาขึ้น และกระโดดผลุงลงมา พุ่งออกไปจากหน้าต่างด้วยความว่องไวปานสายฟ้าแลบ

บนเตียงใหญ่ไม้สลักนั้น เฉินซ่าค่อยๆลืมตาขึ้น แต่พอเห็นโหลชีที่นอนหลับสนิทบนแขนตนแล้ว เขาไม่กล้าขยับ อีกมือหนึ่งดึงผ้าห่มขึ้นสูงคลุมถึงไหล่นาง พลางโอบกอดนาง หลับตาต่อไป

ความสุขที่ได้มาไม่ง่ายในการได้ร่วมเรียงเคียงหมอนเมื่อคืนนั้น เขามีหรือจะยอมละทิ้งไป

......

วันนี้ตึกบุษบาพันธ์ครึกครื้นกว่าเมื่อสองวันก่อนมากนัก

เพราะละครฉากใหญ่จะเริ่มต้นในวันนี้ อาวุธวิเศษกระบี่ล้ำค่า ทั่วทั้งใต้หล้ามีใครบ้างไม่อยากได้?

ตึกบุษบาพันธ์มีแต่คนเต็มไปหมดในวันนี้

พื้นที่ว่างหินสีเขียวนั่นด้านนอกประตูตึกบุษบาพันธ์ จัดวางเวทีกว้า27เมตรเอาไว้ ตรงกลางมีโต๊ะไม้แดงวางอยู่หนึ่งตัว คลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง นั่นคือรอไว้วางอาวุธวิเศษกระบี่ล้ำค่า

ห่างไปสิบเมตรจากหน้าเวที วางเก้าอี้ไว้สามแถว ผู้ที่สามารถมานั่งตรงนี้ได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา

บัดนี้มีคนนั่งอยู่ไม่น้อยแล้ว

องค์หญิงเป่ยฝูหรง ซู่หลิวอวิ๋น จ้าวหยุน ไม่รู้จ้าวหยุนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่โหลชีรู้สึกว่าเขาในตอนนี้กลับมีเรื่องครุ่นคิด

ส่วนซู่อวิ๋นซิงมิได้ปรากฏตัวอีก ได้ยินว่าเมื่อวานถูกซู่หลิวอวิ๋นให้คนส่งกลับเขาเฉินอวิ๋นแล้ว

แน่นอนว่า มีอีกหลายคนที่นั่งอยู่ แต่โหลชีไม่รู้จักเท่านั้นเอง

เพียงแต่ว่า แบบนี้ดูจะเกินหน้าเกินตาไปไหม? โหลชีมองซ้ายมองขวา คนอื่นมีแค่โต๊ะตัวหนึ่งข้างเก้าอี้หนึ่งตัว บนโต๊ะมีถ้วยชาหนึ่งถ้วย แต่ด้านข้างนางกลับมีโต๊ะสองตัวต่อติดกัน บนนั้นยังมีของว่างนานาชนิด และน้ำหวาน ด้านข้างยังมีสาวใช้ชุดเขียวยืนอยู่สองคน คนหนึ่งคอยยื่นน้ำล้างมือให้นางเป็นระยะ อีกคนก็ยื่นผ้าให้นางเช็ดมือ การรับรองเป็นพิเศษอย่างนี้ดูจะพิเศษมากเกินไปหน่อย

โหลฮ่วนเทียนรอไม่ไหว ส่งเส้นผมนางกลับไปตระกูลโหลนานแล้ว และหลงเอี๋ยนเป็นคนจัดแจงของพวกนี้เอง

พวกเฉิงสิบโหลวซิ่นหลูต้าลี่ถูเปินพากันยืนด้านหลังนาง เยว่กับตู้เหวินฮุ่ยก็ยืนด้านหลังเฉินซ่า คนของพวกเขาไม่ถือว่าน้อย แต่ถ้าจะให้เทียบกับทหารสองกองพันของเป่ยฝูหรง ศิษย์เขาเฉินอวิ๋นยี่สิบคนด้านหลังซู่หลิวอวิ๋น รวมถึง ศิษย์เขาปี้เซียนยี่สิบคนของนางฟ้าเมิ่งปี้แล้ว คนของพวกโหลชีเฉินซ่ายังถือว่าน้อยกว่ามาก

"เจ้าบ้านเซียว คุณชายเซียวฉิง คุณชายเซียวชงมาถึงแล้ว" ทหารชุดเขียวคนหนึ่งร้องบอกขึ้น

เฉินซ่าได้ยินชื่อเซียวฉิง สายตาไหวหวั่นครู่หนึ่ง

สามพ่อลูกตระกูลเซียวเดินเข้ามา

"คนไหนคือเซียวฉิง?" เฉินซ่าถามเสียงเรียบ

ตู้เหวินฮุ่ยบอก "คนที่ถือกล่องกระบี่นั่นคือเซียวฉิง"

เฉินซ่าเหลือบตามองไป ชายหนุ่มชุดสีฟ้าอ่อนที่ถือกล่องกระบี่ สายรัดเอวเป็นหยกล้ำค่า ดูหรูหราสง่างามยิ่ง

เซียวฉิงพลันรู้สึกเย็นยะเยือก ราวกับถูกสัตว์ร้ายอะไรจ้องมอง เขารีบหันไปมอง แต่กลับเห็นโหลชีในชุดสตรีสีแดงดำเป็นคนแรก

ใบหน้านั่นเขาไม่มีทางจำผิด แต่คุณชายชีเป็นสตรีรึ?

เซียวฉิงตกใจจนลืมเดินไปข้างหน้า เซียวชงที่เดินตามหลังเขาเป็นคนใจร้อน เก็บอะไรไม่อยู่ เลยชนเข้ากับแผ่นหลังเขา

"ท่านพี่ ท่านทำอะไรน่ะ?"

เซียวฉิงพลันรู้สึกถึงสายตาอำมหิตเย็นยะเยือกนั้น ตอนนี้เขาถึงพึ่งเห็นเจ้าของสายตา เฉินซ่าในชุดสีดำแดงเช่นกัน

สายตาของเขาเย็นชาดุจน้ำแข็ง ทำให้เขารู้สึกกดดันยิ่งนัก แต่ละย่างก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก

"จะดูกระบี่ล้ำค่าอีกไหม?" โหลชีดึงแขนเฉินซ่า ถลึงตาใส่เขาหนึ่งที

"ทำไม กลัวข้ารังแกเจ้าหนุ่มนั่น?"

โหลชีมองบน "ขี้หึงมาก"

อีกด้าน ซู่หลิวอวิ๋นกับเป่ยฝูหรงต่างมองมาทางพวกเขาเป็นระยะ บอกไม่ถูกถึงความรู้สึกในใจ ฐานะของพวกนางมีสิ่งใดสู้โหลชีไม่ได้? หน้าตาก็ไม่ด้อยไปกว่านาง ทำไมเขาถึงเลือกโหลชี?

คนที่เดิมเย็นชาเคร่งขรึม กลับสนิทสนมกับนางต่อหน้าผู้คนเยี่ยงนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ