เฉินซ่าไม่มีทางหาเรื่องกับเซียวฉิงจริงๆ ลองสังเกตดูแล้ว พบว่าก็แค่หน้าตาดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปเล็กน้อย ด้านอื่นก็เทียบตนไม่ติด ในใจพลันผ่อนคลาย คลายแรงกดดันออกไป
เซียวฉิงถอนหายใจโล่งอก ตอนนี้เขามีหรือจะไม่รู้ว่าใครหาเรื่องตน แต่เขาไม่ได้ทำอะไรนี่นา?
"ฉิงเอ๋อร์ วางกระบี่ไว้ตรงนั้น" พอเซียวหั่วหันกลับมาก็เห็นเหงื่อโซมกายของลูกชายตน อดตะลึงไม่ได้
เซียวฉิงรีบก้าวเท้าขึ้นหน้า วางกล่องกระบี่นั่นลงบนโต๊ะ
สายตาทุกคนจับจ้องไปที่กล่องกระบี่นั่นอย่างร้อนแรง
เซียวหั่วกวาดตามองรอบด้าน ในใจก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่พอคิดถึงสิ่งที่ขาดไปของอาวุธวิเศษนี่ สีหน้าเขาดูเจื่อนลงไปหลายส่วน
โหลชีที่ด้านล่างเวทีเห็นท่าทีเขาเป็นอย่างนั้น ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
"สีหน้าเจ้าบ้านเซียวดูแปลกๆนะ"
"ดูกังวลมากว่ายินดี" เฉินซ่าวิเคราะห์อย่างตรงจุด
"หรือว่าอาวุธวิเศษเล่มนี้มีปัญหา?" หากมิใช่อาวุธวิเศษ เขายังกล้านำออกมา? คงรับมือทางด้านเป่ยฝูหรงไม่ได้ง่ายแน่ อีกอย่าง คนมากมายเยี่ยงนี้ล้วนมาเพื่ออาวุธวิเศษ หากนำของปลอมออกมา ตระกูลเซียวคงต้องโดนทำลายล้างแน่
เฉินซ่ากลับเปลี่ยนเรื่องพลางว่า "จิ้งจอกน้อยตัวนั้นของเจ้าเมื่อคืนออกไปกลางดึก"
โหลชีอึ้งตะลึง "ทำไมข้าไม่รู้? ข้าไม่เคยหลับสนิทขนาดนี้มาก่อน..." พูดจบก็เห็นประกายตาทุ้มลึกของเฉินซ่า นางรู้สึกผิดปกติทันที รีบเงียบคำ
นางเป็นคนนอนไม่สนิทเสมอ แต่เมื่อคืนเฉินซ่ากลับให้นางเล่าเรื่องที่พบเจอมาในหลายเดือนนี้ให้เขาฟัง นับแต่ตามผู้อาวุโสสามแห่งเขาเวิ่นเทียนออกจากตำหนักจิ่วเซียว จนมาพบกันที่ห้องลับใต้ดินในตำหนักร้างยี่อ๋อง เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ต้องบอกเขาให้หมด
รอจนนางเล่าไปเล่าไปเริ่มรู้สึกผิดปกติ มือของเขาก็ลูบเข้าไปในเสื้อตัวในนาง มือใหญ่หยาบกร้านนั่นประคองนางไว้ และยังพูดอย่างหน้าไม่อายอีก บอกว่าฟังน่ะใช้หู มือก็อยู่ว่างๆนี่
เพียงแต่ว่าตอนสุดท้ายเขากลับหาเรื่องใส่ตัวเอง และยังท่องมนต์สงบใจอยู่หลายรอบกว่าจะควบคุมได้
"ข้าจะกินเจ้าให้หมดทั้งตัวหลังวันแต่งตั้งจักรพรรดินี"
ตอนนั้นเขาสองตาแดงก่ำ แข็งเกร็งไปทั้งตัว มุดหัวอยู่บนหน้าอกนาง กัดฟันกรอด แต่ก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด
โหลชีไม่คัดค้านอยู่แล้ว
ถึงนางจะมาจากยุคปัจจุบัน แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่แค่เริ่มคบกันอย่างเป็นทางการเท่านั้น กว่าจะถึงขั้นแต่งงานยังอีกห่างไกลนัก นางไม่อยากมีสัมพันธ์กับเขาในฐานะพระสนมหรอก
โดนทรมานไปเกือบค่อนคืน นางเล่าเรื่องจนเหนื่อย สุดท้ายจำไม่ได้ว่าเล่าจบหรือยัง และผล็อยหลับไปในอ้อมกอดเขา ไม่รู้เลยว่าจิ้งจอกม่วงออกไปแล้ว
ตอนนี้มาพูดเรื่องหลับ ร่างกายของฝ่าบาทคงรับไม่ไหวแน่ นางรู้สึกว่าในฐานะผู้ชายที่ยังเวอร์จิ้นอยู่ สามารถทนได้ถึงขั้นนี้ถือว่าจิตแข็งมากเกินไปแล้ว
นางลูบจมูกแก้เก้อถามว่า "วู๊วูไปไหนล่ะ?"
"ไม่รู้"
บนเวที เซียวหั่วเริ่มพูดขึ้น
"แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน..."
"ยู่ไท่จื่อแห่งชิงมาถึงแล้ว"
ทุกคนในที่นั้นค่อนข้างแปลกใจ เดิมคิดว่ายู่ไท่จื่อจะไม่มาเสียอีก ใครจะรู้ว่าเขามาถึงทางเข้าแล้ว
รถม้าที่เทียบด้วยม้างามสิบสองตัว แกะสลักทอง ตาข่ายสีเหลืองพริ้วไสวไปตามลม ดูหรูหรายิ่งนัก ด้านหลังรถม้า ทหารม้าองครักษ์ยี่สิบนายยืนทระนงมาดมั่น สายตาไม่ล่อกแล่ก
ตงสือยู่ที่อยู่ในรถม้าก็ได้ยินเสียงประกาศของตัวแทนตึกบุษบาพันธ์ เลิกคิ้วบางขึ้น รถม้าของเขาพึ่งถึง ยังไม่ทันได้ออกจากรถม้าเลย อีกฝ่ายก็แน่ใจว่าเป็นเขาแล้ว?
ดูท่าตึกบุษบาพันธ์นี่มิธรรมดาเลยจริงๆ
การมาของยู่ไท่จื่อตัดบทคำพูดของเซียวหั่ว
สาวงามมากมายอาทิเช่น เป่ยฝูหรง นางฟ้าหลิวอวิ๋น นางฟ้าเมิ่งปี้ จิ่งหยาวและยังมีโหลชีทำให้ที่นี่ประหนึ่งดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง งดงามยิ่ง แต่เหล่าสตรีล้วนอิจฉาริษยาแค้นเสียมาก บุรุษที่จะชื่นชมกลับมีไม่มาก คนหนึ่งใส่หน้ากาก มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง อีกคนเย็นชาจนน่ากลัว ไม่กล้ามองมากนัก ตอนนี้ ยู่ไท่จื่อแห่งตงชิงมาแล้ว ฉับพลันทำให้พวกนางยินดียิ่ง แต่ละนางชะเง้อคอเฝ้ารอ
ไท่จื่อของประเทศหนึ่งมาถึง ทุกคนล้วนต้องลุกขึ้นมา มีเพียงเฉินซ่านั่งสงบอยู่กับที่ และยังหยิบขนมหนึ่งชิ้นยื่นไปที่ปากโหลชี โหลชีกัดกินไปหนึ่งคำ แววตาเป็นประกาย "อร่อย"
คนอื่นพูดอะไรไม่ออก พวกท่านทำอย่างนี้ดีจริงรึ? ไม่ลุกขึ้นต้อนรับก็แล้ว กลับมาแสดงอาการรั่วใคร่กันแบบนี้
พวกเขากลับไม่รู้ว่า นี่คือดีแล้ว ตอนตงสือยู่ออกคำสั่งให้ทั่วทั้งตงชิงตามจับพวกเขา ถึงคำสั่งที่ออกมาจะไม่ได้บอกชัดว่าเป็นพวกเขาสองคน แต่เห็นได้ชัดว่าข้าราชการทุกเมืองต่างรู้ดี ตอนอยู่เหอชิ่งอ๋องก็บอกชัดอยู่แล้ว ครั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ตอนนั้นพระชายารองซ่งแห่งเหอชิ่งอ๋องมีข้อตกลงกับพวกเขา พวกเขาไม่แน่จะจากไปได้
ทั้งสองคนมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ มีแค้นต้องชำระ เคยมีเรื่องกันมาก่อน ถ้าพวกเขายังทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ทำอะไรให้เขาไม่สบายใจได้ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ยินดีที่จะทำ
อีกอย่าง เฉินซ่าเป็นจักรพรรดิ ตงสือยู่แค่รัชทายาทเท่านั้น ว่าด้วยเรื่องฐานะ ต่อให้บิดาเขามายังถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับเฉินซ่า พวกเขาไม่ลุกขึ้นต้อนรับก็มิใช่จะไม่สมเหตุสมผล
ถึงพั่วอวี้ยังไม่ได้สร้างประเทศ เฉินซ่าก็แค่เจ้าเมืองเท่านั้น แต่สถานที่อย่างพั่วอวี้นั้น สามารถยกตนเป็นจักรพรรดิได้ก็มิอาจจะดูเบาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเฉินซ่ามีความเด็ดขาดและความกล้าในการรวมพั่วอวี้เป็นหนึ่งแล้ว
เป่ยฝูหรงมองไปทางนั้นแวบหนึ่ง ก่อนลุกออกไปต้อนรับ ที่นี่นางเป็นเจ้าบ้าน ตงสือยู่เป็นแขก อีกด้านหนึ่งพวกเขาร่วมมือกันแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนเท่านั้น ยิ่งควรแสดงความเอาใจใส่และความจริงใจออกมา
"ฝูหรง คารวะต้อนรับไท่จื่อ"
มีมือยาวเรียวขาวนวลยื่นออกมาจากในรถม้า นิ้วโป้งมีแหวนหยกวงหนึ่ง แต่เพียงแค่มือเดียวนี้ก็ทำให้แม่นางทั้งหลายต่างพากันหน้าแดงเรื่อใจเต้นแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ