ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 312

เฉินซ่าไม่มีทางหาเรื่องกับเซียวฉิงจริงๆ ลองสังเกตดูแล้ว พบว่าก็แค่หน้าตาดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปเล็กน้อย ด้านอื่นก็เทียบตนไม่ติด ในใจพลันผ่อนคลาย คลายแรงกดดันออกไป

เซียวฉิงถอนหายใจโล่งอก ตอนนี้เขามีหรือจะไม่รู้ว่าใครหาเรื่องตน แต่เขาไม่ได้ทำอะไรนี่นา?

"ฉิงเอ๋อร์ วางกระบี่ไว้ตรงนั้น" พอเซียวหั่วหันกลับมาก็เห็นเหงื่อโซมกายของลูกชายตน อดตะลึงไม่ได้

เซียวฉิงรีบก้าวเท้าขึ้นหน้า วางกล่องกระบี่นั่นลงบนโต๊ะ

สายตาทุกคนจับจ้องไปที่กล่องกระบี่นั่นอย่างร้อนแรง

เซียวหั่วกวาดตามองรอบด้าน ในใจก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่พอคิดถึงสิ่งที่ขาดไปของอาวุธวิเศษนี่ สีหน้าเขาดูเจื่อนลงไปหลายส่วน

โหลชีที่ด้านล่างเวทีเห็นท่าทีเขาเป็นอย่างนั้น ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา

"สีหน้าเจ้าบ้านเซียวดูแปลกๆนะ"

"ดูกังวลมากว่ายินดี" เฉินซ่าวิเคราะห์อย่างตรงจุด

"หรือว่าอาวุธวิเศษเล่มนี้มีปัญหา?" หากมิใช่อาวุธวิเศษ เขายังกล้านำออกมา? คงรับมือทางด้านเป่ยฝูหรงไม่ได้ง่ายแน่ อีกอย่าง คนมากมายเยี่ยงนี้ล้วนมาเพื่ออาวุธวิเศษ หากนำของปลอมออกมา ตระกูลเซียวคงต้องโดนทำลายล้างแน่

เฉินซ่ากลับเปลี่ยนเรื่องพลางว่า "จิ้งจอกน้อยตัวนั้นของเจ้าเมื่อคืนออกไปกลางดึก"

โหลชีอึ้งตะลึง "ทำไมข้าไม่รู้? ข้าไม่เคยหลับสนิทขนาดนี้มาก่อน..." พูดจบก็เห็นประกายตาทุ้มลึกของเฉินซ่า นางรู้สึกผิดปกติทันที รีบเงียบคำ

นางเป็นคนนอนไม่สนิทเสมอ แต่เมื่อคืนเฉินซ่ากลับให้นางเล่าเรื่องที่พบเจอมาในหลายเดือนนี้ให้เขาฟัง นับแต่ตามผู้อาวุโสสามแห่งเขาเวิ่นเทียนออกจากตำหนักจิ่วเซียว จนมาพบกันที่ห้องลับใต้ดินในตำหนักร้างยี่อ๋อง เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ต้องบอกเขาให้หมด

รอจนนางเล่าไปเล่าไปเริ่มรู้สึกผิดปกติ มือของเขาก็ลูบเข้าไปในเสื้อตัวในนาง มือใหญ่หยาบกร้านนั่นประคองนางไว้ และยังพูดอย่างหน้าไม่อายอีก บอกว่าฟังน่ะใช้หู มือก็อยู่ว่างๆนี่

เพียงแต่ว่าตอนสุดท้ายเขากลับหาเรื่องใส่ตัวเอง และยังท่องมนต์สงบใจอยู่หลายรอบกว่าจะควบคุมได้

"ข้าจะกินเจ้าให้หมดทั้งตัวหลังวันแต่งตั้งจักรพรรดินี"

ตอนนั้นเขาสองตาแดงก่ำ แข็งเกร็งไปทั้งตัว มุดหัวอยู่บนหน้าอกนาง กัดฟันกรอด แต่ก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด

โหลชีไม่คัดค้านอยู่แล้ว

ถึงนางจะมาจากยุคปัจจุบัน แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่แค่เริ่มคบกันอย่างเป็นทางการเท่านั้น กว่าจะถึงขั้นแต่งงานยังอีกห่างไกลนัก นางไม่อยากมีสัมพันธ์กับเขาในฐานะพระสนมหรอก

โดนทรมานไปเกือบค่อนคืน นางเล่าเรื่องจนเหนื่อย สุดท้ายจำไม่ได้ว่าเล่าจบหรือยัง และผล็อยหลับไปในอ้อมกอดเขา ไม่รู้เลยว่าจิ้งจอกม่วงออกไปแล้ว

ตอนนี้มาพูดเรื่องหลับ ร่างกายของฝ่าบาทคงรับไม่ไหวแน่ นางรู้สึกว่าในฐานะผู้ชายที่ยังเวอร์จิ้นอยู่ สามารถทนได้ถึงขั้นนี้ถือว่าจิตแข็งมากเกินไปแล้ว

นางลูบจมูกแก้เก้อถามว่า "วู๊วูไปไหนล่ะ?"

"ไม่รู้"

บนเวที เซียวหั่วเริ่มพูดขึ้น

"แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน..."

"ยู่ไท่จื่อแห่งชิงมาถึงแล้ว"

ทุกคนในที่นั้นค่อนข้างแปลกใจ เดิมคิดว่ายู่ไท่จื่อจะไม่มาเสียอีก ใครจะรู้ว่าเขามาถึงทางเข้าแล้ว

รถม้าที่เทียบด้วยม้างามสิบสองตัว แกะสลักทอง ตาข่ายสีเหลืองพริ้วไสวไปตามลม ดูหรูหรายิ่งนัก ด้านหลังรถม้า ทหารม้าองครักษ์ยี่สิบนายยืนทระนงมาดมั่น สายตาไม่ล่อกแล่ก

ตงสือยู่ที่อยู่ในรถม้าก็ได้ยินเสียงประกาศของตัวแทนตึกบุษบาพันธ์ เลิกคิ้วบางขึ้น รถม้าของเขาพึ่งถึง ยังไม่ทันได้ออกจากรถม้าเลย อีกฝ่ายก็แน่ใจว่าเป็นเขาแล้ว?

ดูท่าตึกบุษบาพันธ์นี่มิธรรมดาเลยจริงๆ

การมาของยู่ไท่จื่อตัดบทคำพูดของเซียวหั่ว

สาวงามมากมายอาทิเช่น เป่ยฝูหรง นางฟ้าหลิวอวิ๋น นางฟ้าเมิ่งปี้ จิ่งหยาวและยังมีโหลชีทำให้ที่นี่ประหนึ่งดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง งดงามยิ่ง แต่เหล่าสตรีล้วนอิจฉาริษยาแค้นเสียมาก บุรุษที่จะชื่นชมกลับมีไม่มาก คนหนึ่งใส่หน้ากาก มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง อีกคนเย็นชาจนน่ากลัว ไม่กล้ามองมากนัก ตอนนี้ ยู่ไท่จื่อแห่งตงชิงมาแล้ว ฉับพลันทำให้พวกนางยินดียิ่ง แต่ละนางชะเง้อคอเฝ้ารอ

ไท่จื่อของประเทศหนึ่งมาถึง ทุกคนล้วนต้องลุกขึ้นมา มีเพียงเฉินซ่านั่งสงบอยู่กับที่ และยังหยิบขนมหนึ่งชิ้นยื่นไปที่ปากโหลชี โหลชีกัดกินไปหนึ่งคำ แววตาเป็นประกาย "อร่อย"

คนอื่นพูดอะไรไม่ออก พวกท่านทำอย่างนี้ดีจริงรึ? ไม่ลุกขึ้นต้อนรับก็แล้ว กลับมาแสดงอาการรั่วใคร่กันแบบนี้

พวกเขากลับไม่รู้ว่า นี่คือดีแล้ว ตอนตงสือยู่ออกคำสั่งให้ทั่วทั้งตงชิงตามจับพวกเขา ถึงคำสั่งที่ออกมาจะไม่ได้บอกชัดว่าเป็นพวกเขาสองคน แต่เห็นได้ชัดว่าข้าราชการทุกเมืองต่างรู้ดี ตอนอยู่เหอชิ่งอ๋องก็บอกชัดอยู่แล้ว ครั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ตอนนั้นพระชายารองซ่งแห่งเหอชิ่งอ๋องมีข้อตกลงกับพวกเขา พวกเขาไม่แน่จะจากไปได้

ทั้งสองคนมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ มีแค้นต้องชำระ เคยมีเรื่องกันมาก่อน ถ้าพวกเขายังทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ทำอะไรให้เขาไม่สบายใจได้ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ยินดีที่จะทำ

อีกอย่าง เฉินซ่าเป็นจักรพรรดิ ตงสือยู่แค่รัชทายาทเท่านั้น ว่าด้วยเรื่องฐานะ ต่อให้บิดาเขามายังถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับเฉินซ่า พวกเขาไม่ลุกขึ้นต้อนรับก็มิใช่จะไม่สมเหตุสมผล

ถึงพั่วอวี้ยังไม่ได้สร้างประเทศ เฉินซ่าก็แค่เจ้าเมืองเท่านั้น แต่สถานที่อย่างพั่วอวี้นั้น สามารถยกตนเป็นจักรพรรดิได้ก็มิอาจจะดูเบาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเฉินซ่ามีความเด็ดขาดและความกล้าในการรวมพั่วอวี้เป็นหนึ่งแล้ว

เป่ยฝูหรงมองไปทางนั้นแวบหนึ่ง ก่อนลุกออกไปต้อนรับ ที่นี่นางเป็นเจ้าบ้าน ตงสือยู่เป็นแขก อีกด้านหนึ่งพวกเขาร่วมมือกันแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนเท่านั้น ยิ่งควรแสดงความเอาใจใส่และความจริงใจออกมา

"ฝูหรง คารวะต้อนรับไท่จื่อ"

มีมือยาวเรียวขาวนวลยื่นออกมาจากในรถม้า นิ้วโป้งมีแหวนหยกวงหนึ่ง แต่เพียงแค่มือเดียวนี้ก็ทำให้แม่นางทั้งหลายต่างพากันหน้าแดงเรื่อใจเต้นแรง

ยู่ไท่จื่อที่สวมรัดเกล้าหยกขาวไว้ในชุดขาวราวพระจันทร์เดินออกมาจากในรถม้า และมองเห็นเป่ยฝูหรงที่อยู่ข้างรถก่อน ใบหน้าหล่อเหลานั่นมีแววยิ้มบางขึ้น ประหนึ่งกล้วยไม้ดอกหนึ่งถูกลมพัดปลิวมาตกลงบนน้ำค้างบางๆ ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมา

ตอนนี้ในที่นั้นเหมือนมีฟองสบู่สีชมพูออกมายกใหญ่ ดวงตาของสาวน้อยทั้งหลายเริ่มเคลิบเคลิ้ม มือกุมหน้าอก แทบจะอยากยกหัวใจเข้าไปถวายยู่ไท่จื่อ

เป่ยฝูหรงในตอนนี้หัวใจร้อนผ่าวนัก ไม่ว่าจะฐานะ นิสัย การได้รับความนิยม ยู่ไท่จื่ออยู่อันดับเหนือกว่าเฉินซ่า

นางพยายามปลอบตนเองในใจ นางต้องไม่ได้เลือกผิดแน่ ความวุ่นวายในพั่วอวี้พึ่งจะเริ่มต้นขึ้น ยังไม่รู้ว่าเฉินซ่าจะไปได้สักแค่ไหนกัน

เป่ยฝูหรงส่งยิ้มให้ตงสือยู่เช่นกัน

ทั้งสองคนมองสบตาพลางยิ้มให้กัน ภาพดูแล้วช่างงดงามนัก ทำเอาผู้คนพากันอิจฉาขึ้นมา

"ยู่ไท่จื่อช่างสง่างามยิ่ง"

"ใช่สิ ข้าหลงใหลเขาแล้ว นี่สิสุภาพชนงดงามดุจหยก"

"เขาช่างเหมาะสมกับองค์หญิงใหญ่ยิ่งนัก..."

ตงสือยู่ลงจากรถม้า เดินเข้ามาหาเป่ยฝูหรง "ฝูหรง ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ"

อันที่จริงนานแค่ไหนกัน? ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ แต่ตงสือยู่พูดแบบนี้ เป็นการแสดงความคิดถึงที่มีต่อนาง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อตน สองคำนั้นเมื่อออกจากปากเขากลับน่าฟังเพียงนี้ เป่ยฝูหรงใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย ตอบกลับเสียงเบาว่า "ไท่จื่อ ลำบากแย่แล้ว"

ความรู้สึกระหว่างทั้งสอง คนมีตาล้วนมองออกทั้งนั้น

เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เมื่อครั้งพิธีคัดเลือกพระสนมพั่วอวี้ แม้ว่าเป่ยฝูหรงมิได้รับเลือก แต่ตอนนั้นเห็นได้ชัดว่านางมีใจรักใคร่ต่อนายท่าน ไม่คิดว่าผ่านมาไม่เท่าไหร่ นางกลับดูรักใคร่ยู่ไท่จื่อมาเนิ่นนานยิ่งกว่า

ในสายตาเยว่แล้ว สตรีผู้นี้ดูจะหลายใจไปสักหน่อย ปกติแล้วมากรักหลายใจกับเย็นชาไม่เห็นแก่รักต่างกันแค่เส้นบางกั้น

ดูท่าพระสนมของเขาจะดียิ่งนัก นอกจากฝ่าบาทแล้วมิมีผู้ใดเลย

เยว่มองไปยังโหลชีด้วยความภูมิใจ

ตงสือยู่กับเป่ยฝูหรงเดินกลับเข้ามา ตงสือยู่เห็นเฉินซ่าและโหลชีที่อยู่ในชุดสีแดงดำเหมือนกัน พลางยิ้มน้อยๆทักทาย "สือยู่คารวะฝ่าบาท พระสนม"

เห็นหรือไม่ พวกเจ้าไม่ออกไปต้อนรับ ไท่จื่อยังมาทักทายเลย ใครมีหรือไม่มีราศี คราวนี้มองออกกันแล้วสิ?

โหลชีมีหรือจะสนใจว่าคนอื่นคิดยังไง นางเงยหน้าขึ้นยิ้มบอก "ไอ้หยา ยู่ไท่จื่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย? ขนมของตึกบุษบาพันธ์อร่อยเกินไปแล้ว ข้ามัวแต่กินไม่ทันดูอย่างอื่นเลย"

ทุกคนเงียบงัน

มีคนทนไม่ไหวแล้ว พูดอย่างเสียดสีว่า "นี่โกหกอย่างไร้ยางอายเสียจริง เมื่อครู่เสียงร้องบอกของตึกบุษบาพันธ์ดังเพียงนั้น รถม้าและทหารองครักษ์ขี่ม้ายี่สิบนายเข้ามาก็มีเสียง เจ้าบอกไม่ได้ยิน ใครเชื่อกันล่ะ?"

เฉินซ่าขยับมือ โหลชีห้ามเขาไว้ สายตาเหล่มองไปยังสาวน้อยคนหนึ่งในบรรดาศิษย์สำนักปี้เซียน

นางไม่พลาดแววท้าทายในสายตาจิ่งหยาว

โหลชียิ้มหวานให้นาง จากนั้นเบนสายตากลับมา ไม่สนใจอีก

ไม่สนใจแล้ว?

จิ่งหยาวโกรธจัด เดิมทีนางยังคิด ขอเพียงโหลชีถือสาศิษย์ในสำนัก ความสนใจทุกอย่างจะพุ่งตรงมาที่พวกนาง ถึงเวลานั้นนางจะทำทีตะคอกสั่งสอนศิษย์หญิงผู้นั้น ก็จะได้โอกาสได้รับสายตาจากเฉินซ่า ใครจะรู้ว่าโหลชีมิสนใจเลยสักนิด!

"หยาวเอ๋อร์" นางฟ้าเมิ่งปี้เหล่นางอย่างตักเตือน จิ่งหยาวได้แต่กัดปาก ไม่พูดอะไรอีก

ยู่ไท่จื่อนั่งลงข้างเป่ยฝูหรง เป่ยฝูหรงส่งสัญญาณให้เซียวหั่วเริ่มต่อ

"ขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มายังเมืองนั่วราเพื่อเป็นสักขีพยานในการออกสู่โลกของอาวุธวิเศษอีกเล่มหนึ่งในรอบร้อยปีของตระกูลเซียวข้า" ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ เซียวหั่วในตอนนี้ตื่นเต้นและภูมิใจมาก "ข้าสามารถพูดได้ในตอนนี้เลยว่า อาวุธวิเศษเล่มนี้เป็นอาวุธวิเศษที่เหนือกว่าอาวุธวิเศษทั้งหมดที่ตระกูลเซียวเคยสร้างมาก่อนหน้านี้!"

"อะไรนะ?"

ผู้คนด้านล่างเวทีตะลึงกันชั่วครู่ ก่อนจะฮือฮาไปตามๆกัน

ร้อยปีมานี้อาวุธวิเศษที่ตระกูลเซียวสร้างไม่ถือว่ามาก แต่ทุกเล่มล้วนมีคุณค่า นับเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น เหมือนอย่างกระบี่หงส์ร้องนั่นช่วยเพิ่มพลังให้น่าหลานฮั่วซินไม่น้อย! มีอาวุธวิเศษเล่มหนึ่ง วิทยายุทธ์ของเจ้าอาจมีแค่เจ็ดส่วน อาวุธวิเศษจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้าจนถึงสิบส่วนเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นมีอาวุธวิเศษบางอย่าง ในยามที่เจ้าฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงระดับสูงสุด แต่ทำอย่างไรก็มิอาจบรรลุได้ มันจะสามารถเพิ่มการรับรู้ของเจ้า และเพิ่มโอกาสการบรรลุให้กับเจ้า!

น้ำเสียงเซียวหั่วสั่นเล็กน้อย "ข้าสามารถพูดได้ว่า หากอาวุธวิเศษเล่มนี้สร้างออกมาได้สำเร็จสมบูรณ์ จะต้องเป็นอาวุธวิเศษเหนือใครแน่!"

ด้านล่างเวทีฮือฮาอีกครั้ง

"อาวุธวิเศษเหนือใคร! หมายความว่าอย่างไรกัน?

"เจ้าโง่ ก็อาวุธที่วิเศษเหนือผู้ใดไง!"

"ใต้หล้ามีอาวุธวิเศษเยี่ยงนี้ด้วยรึ? เร็วเร็ว ตีข้าหน่อย ข้าคงมิได้ฟังผิดไปกระมัง?"

จากนั้น ก็มีร่างหนึ่งโดนซัดลอยออกไป

โหลชีพลันขมวดคิ้วและถามขึ้นว่า "เมื่อครู่เจ้าบ้านเซียวกล่าวว่า หากอาวุธวิเศษเล่มนี้สร้างออกมาได้สำเร็จ... หมายความว่าอย่างไรกัน? หรือว่าอาวุธวิเศษเล่มนี้ยังมิสมบูรณ์รึ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ