ตามที่สือหมินจีกล่าวมา พวกเขาทั้งครอบครัวไม่ได้เข้ามาจากทางเข้าหลักของเขตต้องห้ามที่ผู้นำเผ่าอาวุโสส่งพวกเขาเข้ามา แต่เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่เขาพบเข้าโดยบังเอิญ เข้ามาจากอุโมงค์ใต้ดินนั้น ดังนั้น พวกเขาไม่ได้ผ่านสุสานคนเป็น ย่อมไม่ได้พบกับกูล มิเช่นนั้น ครอบครัวพวกเขาสี่คนยังไม่เพียงพอสำหรับยัดระหว่างฟันจริงๆ
อีกอย่าง อุโมงค์ใต้ดินนั่นตรงขึ้นสู่แม่น้ำโดยตรง หลังจากออกมาพวกเขาพบปัญหาเล็กน้อย นั่นก็คือนกอินทรีตะครุบตัวสือเฟยครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนที่ตะครุบยังไม่พบพวกเขา
และโหลชีและคนอื่นๆที่ได้ยินความจริงของเรื่องราวก็น้ำตาไหลนองหน้า
ห้ามเล่นแบบนี้สิ คนอื่นมีทางผ่านที่ปลอดภัย! แล้วกูลกับกบหกขาที่พวกเขาเจอล่ะ ที่แท้ก็เปล่าประโยชน์นี่นา!
"เสี่ยวเฟยกินอะไรเข้าไปใช่ไหม หรือว่า พวกท่านกินสิ่งนั้นกันทุกคน? แล้วก็ พวกท่านใส่ยาอะไรลงบนแผลไหล่ของเสี่ยวเฟย" โหลชีเป็นห่วงเรื่องนี้มากกว่า
"ผลไม้นั่นข้าก็เด็ดได้จากข้างน้ำพุวิเศษจากเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ แต่ว่า มันอยู่สูงเกินไป วิชาตัวเบาของข้าไม่ดี พยายามเด็ดได้แค่ผลเดียวเท่านั้น ไม่กล้ากินตามใจชอบ ก็เลยพกติดตัวเอาไว้ ใครจะรู้ว่าเสี่ยวเฟยจะแอบเอาไปกิน! ส่วนยานั่น ก็คือน้ำนมที่หยดจากต้นผลไม้นั้น" สือหมินจีกล่าวไปก็มองไปทางสือเฟย จู่ๆสีหน้ากลับเปลี่ยนไปกะทันหัน พุ่งเข้าไปจับหน้าของเขาแล้วถามอย่างร้อนรน: "เสี่ยวเฟย เสี่ยวเฟยเจ้าเป็นอะไรไป?"
ตอนนี้สีหน้าของสือเฟยแดงก่ำ แดงจนใกล้จะมีเลือดหยดออกมา แม้แต่เส้นเลือดในดวงตาของเขาก็เพิ่มขึ้นมากะทันหัน
โหลชีมองดูครู่หนึ่ง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางนึกว่าประสิทธิภาพของยานั่นแรงเกินไป ทำให้สือเฟยเป็นไข้เท่านั้น ตอนนี้ดูแล้ว ประสิทธิภาพของยานั่นเพิ่งจะออกฤทธิ์อย่างแท้จริง นางสงสัยอยู่ และกล่าวไปด้วย: "ก็คือผลไม้นั่น ประสิทธิภาพของยาแรงเกินไป ร่างกายของเด็กรับไม่ไหว"
"เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? พระสนม ท่านมีวิธีใช่ไหม? ได้โปรดช่วยลูกชายข้าด้วยเถิด!"
โหลชีกล่าวด้วยความประหลาดใจ: "ท่านดูดซับยานั่นออกจากร่างกายของเขาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?" เมื่อครู่นี้ที่นางไม่ได้ทำ ก็เพราะไม่อยากเอาเปรียบคนอื่น หาพวกเขาเจอ พวกเขาย่อมสามารถดูดซับยาในตัวของสือเฟยได้ด้วยตนเอง
"ข้าไม่เป็น เราไม่เป็นกันเลย พระสนมได้โปรดช่วยลูกชายข้าด้วย!" เมื่อเห็นดวงตาที่แดงก่ำของสือเฟยสีหน้าของคู่สามีภรรยาสือหมินจีและพ่อเฒ่าสือก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าสือเฟยจะเจ็บหรือไม่
ก็แค่สีหน้าแดงไปหน่อย เส้นเลือดในดวงตาเล็กน้อยก็ประหม่าหวาดกลัวกันขนาดนี้แล้ว จู่ๆเฉินซ่าก็มองไปทางโหลชี รู้สึกว่าครั้งแรกตอนที่นางเห็นสภาพของเขาครั้งแรกในตอนนั้นยังสามารถเรียกเขาว่าเจ้าตาแดงได้ ยังสามารถเจรจาอะไรกับเขาได้ ช่างกล้าหาญมากจริงๆ
โหลชีกะพริบตา: "ประสิทธิภาพยาที่แรงขนาดนี้ ดูดซับเข้าไปแล้วมีผลดีต่อร่างกาย" นางรู้สึกว่าตนเองไม่มีความจำเป็นจะต้องอธิบายให้มันชัดเจนเกินไป ตอนนี้ดูแล้ว นั่นน่าจะเป็นของดีที่สามารถเพิ่มพูนกำลังภายในได้ เขาไม่เอาจริงๆ?
"เราไม่เป็นกันจริงๆ พระสนมท่านก็——"
"โหลวซิ่น เจ้าเป็นไหม?" ครั้งนี้ โหลชีไม่รอให้เขาพูดจบก็เรียกโหลวซิ่นโดยตรงเลย โหลวซิ่นอึ้งไปครู่หนึ่ง "แม่นาง ข้าน้อย......"
"ไม่เป็นหรือ? โง่จริงเจ้า! อุ้มเขามา ข้าสอนเจ้า!"
โหลวซิ่นรีบอุ้มสือเฟยมาทันที ทันทีที่เขาเห็นสายตาของโหลชีก็ตอบสนองกลับมาในทันที ตอนที่สายตาคู่นี้ของแม่นางเป็นประกายขึ้นมา นั่นต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน ของดีเขาจะพลาดไม่ได้!
"โหลวซิ่น ข้าจะสอนเจ้ารอบเดียวนะ หากเจ้าจำไม่ได้ ดูดซับประสิทธิภาพของยานั่นไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็โง่ให้ตายไปเลยคนเดียวแล้วกัน!"
"แม่นาง แค่มองดูก็รู้ว่าข้าน้อยไม่ใช่คนที่ฉลาดเท่าไหร่นัก!" โหลวซิ่นตบไปที่หน้าอก
"รอดูดซับแล้วเจ้าค่อยโม้ต่อเถอะ ตอนนี้ข้าบอกเจ้านะ......"
เยว่มองดูแผ่นหลังที่เลี่ยงพวกเขาออกไป ฟังเสียงที่กดต่ำของโหลชี จู่ๆก็ถามเฉิงสิบที่อยู่ด้านข้าง "พระสนมเป็นแบบนี้ตลอดหรือ?"
เฉิงสิบไม่เข้าใจ: "แบบไหน?"
"สิ่งที่เสี่ยวเฟยกินเข้าไปฟังก็รู้แล้วว่าเป็นของล้ำค่า ประสิทธิภาพยานั่นดีขนาดนั้น พระสนมไม่ให้ฝ่าบาทดูดซับ ตัวเองไม่ดูดซับ แล้วก็ไม่ให้เจ้า ให้โหลวซิ่นโดยตรง......"
และก็ไม่ให้เขา
เฉิงสิบก็หัวเราะออกมา: "ของสิ่งนั้นต้องสามารถเพิ่มกำลังภายในแน่"
"อะไรนะ?" เยว่ตะลึงอึ้งไปครู่หนึ่ง เช่นนั้นนี่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทุกคนต่างก็ต้องการทั้งนั้นเลยนะ!
"ที่นี่ กำลังภายในของโหลวซิ่นด้อยที่สุด" เฉิงสิบกล่าวแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
เฉินซ่าที่ฟังอยู่เงียบๆก็เหลือบมองไปทางแผ่นหลังของโหลชีกับโหลวซิ่นครู่หนึ่ง ผลไม้ถูกกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะสามารถดูดซับประสิทธิภาพของยาออกมาได้ นั่นก็สามารถดูดซับในส่วนที่เกินความจำเป็น ในส่วนที่สือเฟยไม่สามารถย่อยได้รับไม่ไหวเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกยุทธทั่วไปแล้วมีประโยชน์อย่างมาก แต่สำหรับเขากับโหลชีแล้วเป็นได้แค่ของเคี้ยวเล่นเท่านั้น ของเคี้ยวเล่นเช่นนี้ คนทั่วไปยังเสียดายที่จะปฏิเสธ แต่ว่าโหลชีไม่เคยตระหนี่กับคนที่ตัวเองยอมรับว่าเป็นคนของตัวเองเลย
อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เขาถึงได้ยิ่งชอบนางมากขึ้นเรื่อยๆ!
มีผู้หญิงกี่คน จิตใจจะสามารถกว้างขวางได้ขนาดนี้ เป็นกันเองขนาดนี้
โหลชีสอนโหลวซิ่นเป็นแล้ว ให้เพียงจิ้งจอกม่วงเฝ้าอยู่ข้างกายของพวกเขา ตัวเองก็เดินกลับมา สายตาของพวกเขาล้วนดูแปลกเล็กน้อย รีบกอดอกแล้วลูบไล้ทันที กล่าวอย่างรังเกียจว่า: "เชี้ยไรเนี่ย! สายตาที่มองผู้กล้าเช่นนี้ของพวกเจ้าคืออะไรกัน?"
"พระสนม อะไรคือผู้กล้า?"
โหลชีกลอกตามองบน "ผู้กล้า ก็คือคนที่เสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อความชอบธรรมไง!"
เฉินซ่ายกมือขึ้น งอนิ้ว ดีดลงไปบนหน้าผากของนาง
"โอ้ย! เจ็บ!" โหลชีจ้องเขา
เฉินซ่ากล่าวอย่างเย็นชา: "อนุญาตให้เจ้าพูดว่าเสียสละชีวิตของตัวเองตามใจชอบแล้วหรือ?"
โหลชีหมดคำพูด
......
ครอบครัวสือหมินจีสี่คนหาเจอแล้ว แต่ว่าน้ำพุวิเศษยังหาไม่เจอ ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ย่อมไม่เต็มใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ซักถามสือหมินจีกับพ่อของเขาอย่างละเอียด ยืนยันสิ่งที่สือเหล่ยเคยกล่าวไว้แล้ว เขาก็มีเจตจำนงจะเอาน้ำพุวิเศษมาให้ได้
การคัดค้านของโหลชีไม่เป็นผล หดหู่ใจอย่างมาก
จากมุมมองของนาง เพื่อที่จะหาน้ำพุวิเศษนั่นคือกินอิ่มแล้วว่างไม่มีอะไรทำชัดๆ ในมุมมองของสือหมินจีก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ปกติคนของเผ่าชักมังกรของพวกเขาล้วนเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว แล้วก็สามารถคลอดแค่คนเดียวเท่านั้น ถึงได้อยากได้น้ำพุวิเศษนั่นขนาดนั้น จักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ท่านนี้เป็นคนที่สามารถมีได้ถึงสามวังหกตำหนัก สนมทุกคนมีลูกให้เขาหนึ่งคน เขาอาจจะคิดว่ามีลูกมากเกินไปด้วยซ้ำ จะเอาน้ำพุวิเศษไปทำอะไร?
ท้องฟ้ามืดลงไปหมดแล้ว เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้ว
ข้างนอกหนาวจนทำให้คนอยากร้องไห้ ที่ด้านหน้าประตูหินของค่ายกลที่เพิ่งจะถูกทำลายเมื่อครู่บานนี้อุณหภูมิกลับสูงกว่าหลายองศาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าด้านหลังของประตูหินบานนี้อบอุ่นมาก แผ่ซ่านออกมา
ทุกคนเบียดกันอยู่ที่ข้างประตูบานนี้ ที่นี่คนที่อ่อนแอที่สุดคือภรรยาของ สือหมินจีและ สือเฟย ดังนั้นโหลชีจึงให้วู๊วูอยู่ข้างกายพวกเขาตลอด วู๊วูเหมือนกับเตาผิงวิเศษจริงๆ ถึงแม้จะแค่วางมือบนตัวของมัน ก็ยังทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก
ดังนั้น สือหมินจีรู้สึกขอบคุณโหลชีมาก
โหลชีไม่มีเวลาสนใจครอบครัวพวกเขา นางซบอยู่ในอ้อมแขนของเฉินซ่า ยืนอยู่หน้าประตูหินนี้และศึกษาวิธีการเปิดประตู
ฟังจากเสียงเคาะประตูหินบานนี้หนาและหนักมาก แต่ประตูราบเรียบมาก ไม่เห็นช่องว่างเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะลงมือจากตรงไหน
"กลางคืนหากยังไม่สามารถเปิดประตูเข้าไปได้ ช่วงเวลาก่อนฟ้าสางคงต้องแข็งตายแน่" โหลชีกวาดตามองสือหมินจีกับพ่อเฒ่าสือครู่หนึ่ง ถึงแม้พวกเขาเองก็มีวรยุทธ แต่ว่าการขับเคลื่อนพลังลมปราณขจัดความหนาวยังทำไม่ได้ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ถึงตอนก่อนรุ่งสางจะเป็นเวลาที่หนาวที่สุด ถึงเวลานั้นเกรงว่าพวกเขาจะหนาวตายอยู่ที่นี่
ความโชคดีไม่ได้มีตลอด ครั้งก่อนสือหมินจีแมวตาบอดพบกับหนูตาย โชคเข้าข้างพบน้ำพุวิเศษเข้าพอดี ยังให้เขาสามารถนำน้ำพุวิเศษออกไปได้ แต่ว่าครั้งนี้หากไม่ได้เจอกับพวกเขา ชื่อของครอบครัวเขาทั้งสี่คนคงต้องทิ้งไว้ในเขตต้องห้ามแห่งนี้แล้ว
"ชีชี เจ้าพักผ่อนครู่หนึ่งก่อน" เฉินซ่าตบไหล่ของนางเบาๆ
โหลชีเห็นท่าทางของเขาดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็เลยหลบออกไปด้านหนึ่ง เฉิงสิบนำอาหารแห้งที่ก่อนหน้านี้ผู้นำเผ่าอาวุโสจัดเตรียมให้พวกเขายื่นให้กับนาง นางรับมา ยังจ้องไปที่เฉิงสิบครู่หนึ่ง สีหน้าของเฉิงสิบเจื่อนลงไปทันที "แม่นาง......"
ยังไม่ทันได้พูดออกมา เสียงเอี๊ยดก็ดังขึ้นมา
โหลชีกระโดดขึ้นมาทันที: "เฉินซ่า ท่านเปิดประตูได้แล้ว?"
นี่ไม่ได้แกล้งนางใช่ไหม? เมื่อครู่นี้นางมองอยู่ตั้งนานก็ยังเปิดไม่ได้ นางเพิ่งเดินออกไป ชั่วครู่เดียวเขาก็เปิดประตูได้แล้ว รังแกคนมากเกินไปแล้ว
"วิชากลไกเครื่องจักร"
โหลชีกัดฟัน ก็ได้ ก็ได้ นางพ่ายแพ้ให้กับวิชากลไกเครื่องจักรตลอด หลังจากที่พวกเขากลับพั่วอวี้แล้ว นางจะต้องเรียนรู้วิชากลไกเครื่องจักรพวกนี้ให้ได้!
ทุกคนต่างก็ลุกยืนขึ้นมา มองดูประตูหินที่หนาและหนักบานนั้นค่อยๆเปิดออกด้วยความประหม่า ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นหอมประหลาดก็ลอยมาปะทะจมูก โหลชีตะโกนขึ้นมาคำหนึ่งทันที: "กลั้นหายใจ!"
คนที่รู้จักนางวินาทีที่ได้ยินคำพูดของนางก็กลั้นหายใจเอาไว้แล้ว แต่ว่าสือหมินจีพ่อลูกกลับตะลึงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อน ทันทีหลังจากนั้น ภรรยาของเขาที่อุ้มสือเฟยเอาไว้ก็ล้มฟุบลงไป
พ่อเฒ่าสือก็ล้มลงไปเช่นกัน สือหมินจีถึงได้กลั้นหายใจทันที รู้สึกวิงเวียนศีรษะแล้ว เขาฝืนยืนหยัดเอาไว้ มองดูสองสามคนที่ล้มอยู่บนพื้นด้วยความหวาดหวั่น
"เสี่ยวเฟย......"
โหลชีเดินเข้าไปตรวจดูครู่หนึ่ง "ยังไม่ตาย แค่หมดสติไปเท่านั้น"
เฉินซ่ากล่าวเสียงขรึม: "ประตูใกล้จะเปิดแล้ว เปิดอีกครั้งมันก็จะเปลี่ยนเป็นอีกกลไกหนึ่ง"
"เร็ว ประคองพวกเขาเข้าไป" โหลชีฟังความหมายของคำพูดนี้ออกในทันที กลไกนี้ยังจะมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ประตูเปิดออก ก็ทำให้คนหมดสติในทันที หลังจากที่พวกเขาหมดสติกันแล้วประตูก็จะปิดอีกครั้ง ตื่นขึ้นมาแล้วอยากเข้าไป ได้ ไขปริศนากลไกใหม่เถอะ!
แต่ว่าพวกเขายังมีเวลาที่ไหนกันอีก ไม่เข้าไปคืออยากรอให้แข็งตายอยู่ข้างนอกหรือ?
เห็นว่าประตูค่อยๆปิดลง ทุกคนก็รีบพุ่งเข้าไปข้างในทันที พาครอบครัวสี่คนตระกูลสือเข้าไปด้วย
"เร็วเข้าเร็วเข้า หลังจากเข้าไปแล้วยืนเอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งขยับอย่าเพิ่งวิ่ง!" โหลชีกับเฉินซ่าอยู่รั้งท้าย รอให้ทุกคนเข้าไปแล้ว เขาจับมือของนาง แวบเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ประตูปิดลงอย่างหนักหน่วงอีกครั้งทันทีที่พวกเขาแวบตัวเข้าไป แต่ว่า ดีที่พวกเขาเข้าไปกันหมดแล้ว
ข้างในกับข้างนอกต่างกันเป็นสองโลกจริงๆ ข้างนอกเต็มไปด้วยหิมะ หนาวเย็นเข้ากระดูก ข้างในกลับไม่มีลมเลยแม้แต่น้อย อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทำให้พวกเขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที ที่น่าเสียดายข้อหนึ่งคือกลิ่นหอมประหลาดเมื่อครู่นี้ ทำให้ถึงแม้พวกเขาจะเข้ามาแล้ว แต่ก็ยังต้องกลั้นหายใจอยู่ ไม่กล้าหละหลวมเลยแม้แต่น้อย
โหลชีกับเฉินซ่ากลับหายใจกันอย่างอิสระ นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง: "เฮ้อ คนที่ร้อยพิษมิกล้ำกรายเช่นข้า บางครั้งก็รู้สึกค่อนข้างสับสนมาก เห็นพวกเจ้ากลั้นหายใจเช่นนี้ ไม่มีความรู้สึกร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเลยแม้แต่น้อย"
ทุกคน: "......"
คำนี้ประโยคนี้ทำไมฟังแล้วทำให้คนรู้สึกอยากจะล่วงเกินเบื้องสูงขนาดนั้นเนี่ย!
เฉินซ่ามองดูท่าทางโอ้อวดนั่นของนาง อดไม่ได้ก็ไปบีบจมูกของนาง: "อย่าซุกซน กลิ่นหอมนี้จะจัดการอย่างไร?"
"ไม่มีแล้วนี่ พวกเจ้าไม่ได้กลิ่นเลยหรือ?"
เยว่และคนอื่นแทบจะเอนตัวไปข้างหน้าแล้วหัวเราะออกมา ให้พวกเขากลั้นหายใจ แล้วจะได้กลิ่นได้อย่างไรกันล่ะ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ