ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 343

สรุปบท บทที่ 343 นั่งบัลลังก์มังกร: ใต้ร่มยาใจ

ตอน บทที่ 343 นั่งบัลลังก์มังกร จาก ใต้ร่มยาใจ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 343 นั่งบัลลังก์มังกร คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายประวัติศาสตร์ ใต้ร่มยาใจ ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ในขณะนั้นเอง จมูกของโหลชีสูดดมกลิ่นไปมา แล้วนางก็เอนตัวไปพิงข้างๆ เฉินซ่าในทันที บนร่างกายของเขามีกลิ่นสดชื่น จึงทำให้กลิ่นเหม็นนั้นเจือจางลงไป

จูซื่อผู้นั่น กลิ่นตัวแรงมากเกินไปแล้วจริงๆ ทำให้ผู้คนทนไม่ได้เล็กน้อย

"จูซื่อมาแล้ว" เฉินซ่าก็ได้กลิ่นนั้นแล้วเช่นกัน

พวกเขาหันไปอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่จูซื่อกำลังถือไม้กวาดขนาดใหญ่อันหนึ่งเตรียมที่จะกวาดพื้นอยู่ด้านข้าง เขากำลังสวมชุดคนรับใช้ ซึ่งเป็นกางเกงสีเทาอ่อน ตอนนี้ไม่มีขันที แต่มีคนรับใช้ชายและนางกำนัล

หลังจากที่โหลชีได้ฟังคำพรรณนาที่เกี่ยวกับจูซื่อจากเฉินซ่าไปแล้วในตอนแรก นางก็คิดว่าเขามีรูปร่างเท่ากันกับหลูต้าลี่ ซึ่งสูงและแข็งแรงล่ำสันมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความจริงแล้วรูปร่างของจูซื่อนั้นจะไม่ได้แตกต่างจากผู้ชายทั่วๆไปมากเท่าไหร่นัก เพียงแต่ไหล่ของเขาล้วนแต่หนาและล่ำสันกว่าเล็กน้อย แต่ทว่า ตอนที่เขาหันศีรษะมา ใบหน้าลายเป็นจุดๆที่ประดุจดั่งมีดวงดาวดารดาษกระจายไปทั่วใบหน้าอย่างหนาแน่นนั้นก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสับสนอลหม่านไปเล็กน้อย โหลชีรู้สึกว่าจะพูดว่าใบหน้าของเขาลายเป็นจุดๆก็ยังไม่ค่อยจะเหมาะสมสักเท่าไหร่ เพราะบนใบหน้านั้นไม่เพียงแต่จะลายเป็นจุด แต่ยังมีไฝ เหมือนดั่งยอดเขา เนินเขา แอ่งกระทะ หุบเขา... ไม่สิ แม้แต่ปล่องภูเขาไฟก็มีด้วย

ประมาณว่าเมื่อทุกคนมองใบหน้าของเขา ล้วนมองเห็นแต่"ความอุดมสมบูรณ์" อยู่เต็มใบหน้า และมองไม่เห็นอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้าบนใบหน้าของเขาแล้ว บวกกับกลิ่นตัวนั้นของเขา"กลิ่นหอม" ที่ลอยมาสิบลี้ ซึ่งมันทำให้ผู้คนอยากจะเป็นบ้าเล็กน้อย

ไม่ว่าจะใครก็ไม่พิจารณาความสามารถและคุณธรรมของคนจากรูปร่างหน้าตา แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใกล้คนแบบนั้นได้เลยเช่นกัน

ดังนั้นจึงได้ยินว่าจูซื่อมีชีวิตอยู่จนถึงอายุสามสิบสองปีแล้วก็ยังไม่ได้แต่งงาน และฮั่วหยูฉุนยังกล่าวเอาไว้เมื่อคืนนี้ว่า ขณะที่ถูกคุมขังในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ จูซื่อก็พูดเรื่องเกี่ยวกับตัวเองไม่น้อยเลยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เขายังคงรู้สึกโมโหสุดขีดเมื่อพูดถึงขึ้นมาแม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม คือเขาเคยไปหอคณิกามา พอจ่ายเงินไปแล้ว ก็เรียกหญิงคณิกามานางหนึ่ง ใครเล่าจะไปรู้ว่าพอผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าประตูมาเห็นเขา สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเลย และนางก็ยังบอกกับเขาว่า นายท่านผู้นี้ ข้าขอคืนเงินให้ท่าน แล้วท่านก็จากไปเลยได้ไหมเจ้าคะ?

แม้แต่หญิงคณิกาก็ไม่อยากได้เงินจากเขาแล้วเมื่อได้พบเขา

เรื่องนั้นส่งผลกระทบทางใจที่ใหญ่หลวงต่อเขาเป็นอย่างมาก ต่อมา จูซื่อจึงอาศัยทักษะในการใช้ดาบที่ปราดเปรียวและห้าวหาญของเขาทำให้เจ้าเมืองพั่วอวี้เห็นคุณค่าของเขาเอง และดำรงชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร้กังวล แต่เรื่องใหญ่ในชีวิตของเขาที่ไม่เคยสามารถแก้ไขได้มาโดยตลอด และแม้กระทั่งเขามีจุดยืนแล้วเล็กน้อย ยังเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมติดตามเขาสักคน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาอดไม่ได้ที่จะลงมือกับสาวใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆตัวเอง นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มรสชาติของหญิงสาวแล้ว ซึ่งมันเป็นการใช้กำลังบีบบังคับ แล้ววันต่อมา คาดไม่ถึงว่าสาวใช้คนนั้นจะกระโดดบ่อน้ำไปเสียแล้ว!

หลังจากที่ถูกเขาข่มขู่ เขาได้บอกด้วยว่าเขาเต็มใจจะแต่งงานกับนางและมอบตำแหน่งภรรยาหลวงให้นางด้วย แต่นางก็ยังกระโดดลงไปในบ่อน้ำ!

นี่คือเรื่องที่กระทบจิตใจครั้งหนึ่งที่ใหญ่หลวงกว่าเดิมสำหรับเขา และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยมองหาผู้หญิงคนไหนอีกเลย

"ฝ่าบาทและพระสนมเสด็จแล้ว ขึ้นว่าราชการ..." ด้านนอกท้องพระโรง มีคนรับใช้คนหนึ่งร้องขึ้นมาด้วยเสียงที่สูงและแผ่วโผย ต่อจากนั้น เสียงระฆังที่หนักแน่นและเรียบง่ายก็ดังขึ้นมา แล้วแผ่กระจายออกไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางหมอกในยามเช้าตรู่ มีนกสองตัวตื่นตกใจขึ้นมาจนต้องกระพือปีกบินหนีออกไปจากที่ไหนสักแห่งในอุทยานพฤกษาเพราะเสียงระฆังนี้ เมื่อมีบรรยากาศที่เคร่งขรึมและทรงเกียรติภูมิอย่างหนึ่งลอยขึ้นมาเองตามปกติ ทันใดนั้นภายในหัวใจของโหลชีก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งก็ลอยขึ้นมา และสุดท้ายนางก็รู้สึกว่าตนเองได้ตกตะกอนลงมา แล้วได้ผสมผสานเข้ากับพั่วอวี้ ผสมผสานเข้ากับตำหนักจิ่วเซียวอย่างแท้จริง และถือเอาสถานที่แห่งนี้เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง

นางหันหน้าไปมองดูผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนคนนี้ที่อยู่ข้างๆนาง ซึ่งบังเอิญว่าเขาก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน เอื้อมมือไปจับฝ่ามือของนาง แววตาสงบนิ่ง และกำลังสะท้อนใบหน้าของนาง

โหลชียิ้มเล็กน้อย และเอามือไปวางบนฝ่ามือของเขา ลองสักตั้งกันเถิด ลองเดินทางข้ามผ่านลมฝนแบบนี้ไปด้วยกัน

เฉินซ่าจับมือของนางเอาไว้แน่นและจูงมือพานางเดินไปข้างหน้า

"โยนความไม่มั่นใจที่อยู่ในใจของเจ้าทิ้งไปให้หมดซะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น"ข้าจะไม่มีทางปล่อยมือไปจากเจ้า" ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นเลยว่านางจะไม่ให้ความสำคัญต่อการมีอยู่ของเขาแบบนั้นมาโดยตลอด สำหรับความคิดที่ว่าต่อให้ชีวิตของนางจะมีหรือไม่มีเขานางก็สามารถอยู่ได้อย่างสบายนั้น มันทำให้เขารู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างมาก

แต่ทว่า ขอเพียงแค่นางเต็มใจที่จะลองดูก็พอแล้ว เขาจะจับนางเอาไว้ให้มั่นเอง

โหลชีเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเขาโดยที่ดวงตาไม่ได้ชำเลืองไปมองด้านข้างเลย เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็เพียงแค่หัวเราะเบาๆและพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า"คอยดูก็แล้วกัน"

อิงกำลังมองเงาด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคนอยู่ด้านหลัง และมีอาการใจลอยอยู่เล็กน้อย เยว่เหลือบมองเขา แล้วพูดว่า"เจ้าคิดอะไรอยู่รึ?"

"เหอะ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่คิดเรื่องที่เจ้าปล่อยให้ผู้หญิงพวกนั้นแอบดูอยู่ตรงนั้นไงล่ะ" เขาแอบชี้ไปที่มุมหนึ่งในอุทยานพฤกษา ในนั้นมีชายกระโปรงโผล่ออกมาจากด้านหลังของต้นสนต้นเล็กๆสองสามผืน"ตกลงมันหมายความว่าอย่างไร?"

เยว่ก็ชำเลืองมองดูเช่นกัน แล้วพูดว่า"พระสนมรับสั่งมา ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีจุดประสงค์ใด""

"ข้าว่า เยว่ ดูเหมือนว่าหลังจากที่ออกเดินทางไปในครานี้เจ้าจะมีทัศนคติต่อพระสนมแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้วนะ" อิงเอนตัวมาหาเขา

"พระสนม นางไม่ธรรมดาไปมาก" เยว่หัวเราะเบาๆ

อิงพยักหน้าไปมา"จริง นางลงมือเอง น่าจะมีการแสดงดีๆ พวกเราก็รอดูกันเถิด"

ณ แท่นบันไดเก้าขั้นหน้าท้องพระโรง พวกเขาจูงมือกัน เดินเข้าไปในท้องพระโรง มีเสาสีชาดหกเสา แบ่งเป็นทางซ้ายและทางขวา ตรงกลางปูด้วยพรมสีแดง บนแท่นบันไดสามขั้นมีบัลลังก์มังกรแกะสลักทองคำบริสุทธิ์ที่โอ่อ่าหรูหราหนึ่งตัว บนผนังหลังบัลลังก์มีภาพปักมังกรบินอยู่บนท้องฟ้าขนาดใหญ่หนึ่งภาพ ไกลออกไปเล็กน้อยมีโคมไฟพระราชวังที่สูงขึ้นมาจากพื้นสองแถว ซึ่งทำให้ภายในท้องพระโรงสว่างไสวขึ้นมาราวกับเวลากลางวัน

เสวี่ยก็เดินตามไปเช่นกัน และกัดฟันไปมาในขณะที่กำลังมองดูพวกเขา

เฉินซ่าจูงมือโหลชีค่อยๆก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ แล้วหันหลังกลับ และหันหน้าไปทางท้องพระโรงที่โล่งกว้าง

"นายท่าน ต้องเตรียมเก้าอี้ตัวหนึ่งให้พระสนมอยู่หลังบัลลังก์มังกรไหมเพคะ? หรือว่าจะให้พระสนมยืนอยู่ข้างหลังนายท่านเพคะ?" เสวี่ยพยายามระงับความริษยาเกลียดชังที่อยู่ภายในใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ และถามด้วยสีหน้าที่แข็งทื่อ

"ไม่จำเป็น" เฉินซ่าถลกเสื้อคลุมขึ้นพร้อมกับนั่งลงและดึงโหลชีลงมานั่งเคียงข้างกัน บัลลังก์มังกรนี้เดิมทีก็ทำขึ้นมาได้ใหญ่โตมาก คนเดียวที่จะนั่งตรงกลางก็คือผู้ครองบัลลังก์ แต่จะนั่งเคียงข้างกันสองคนก็สามารถนั่งได้เช่นกัน

เยว่และอิงได้มีการเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว พวกเขารู้ว่าฝ่าบาทไม่ได้ขอให้ใครมาจัดที่นั่งให้ใหม่ เช่นนั้นแล้วท่านต้องอยากจะนั่งบนบัลลังก์มังกรกับพระสนมอย่างแน่นอน ในพิธีคัดเลือกพระสนมคราวที่แล้วท่านก็ทรงให้นางนั่งในแถวเดียวกันกับตนเอง และในครานี้ท่านจะให้นางจะยืนอยู่ข้างหลังได้อย่างไร

แต่เสวี่ยก็ไม่ได้เตรียมใจแบบนี้เอาไว้เลย ดังนั้นตอนที่ได้เห็นฉากนี้นางจึงตื่นตกใจมากอย่างหาที่เปรียบมิได้

ในการว่าราชการเช้าครั้งแรกนี้ พอฝ่าบาทพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจออกมาเท่านั้น ขุนนางทั้งหมดก็หัวใจเต้นแรงขึ้นมา พวกเขาถึงได้เห็นโหลชีที่นั่งอยู่ด้วยกันกับเฉินซ่าแล้ว ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจไปตามๆกัน

เสื้อคลุมหงส์และปิ่นปักผมหงส์ ใบหน้าที่สวยงามมาก แววตาที่ใสแจ๋ว และริมฝีปากที่ประดุจดั่งพกพารอยยิ้มมาด้วย พอนางนั่งอยู่ตรงนั้นแบบนี้ พลังอำนาจที่แสดงออกมาจากทั่วทั้งร่างกายดูไม่แพ้ฝ่าบาทเลย

"ถวายบังคมพระสนม" เยว่พูดนำหน้า แล้วขุนนางทุกคนก็ทำความเคารพทันทีด้วยเช่นกัน

"ลุกขึ้นเถิด" แบบนี้สิเฉินซ่าถึงจะพอใจ

หลังจากนั้นบรรดาขุนนางก็ลุกขึ้นยืนทั้งสองข้าง

"ระยะนี้ที่ข้าจากไป ต้องลำบากทุกท่านแล้ว" เฉินซ่าพูดช้าๆว่า"ข้ารู้สึกขอบคุณในความอุตสาหะของทุกท่านเป็นอย่างมาก และจะจารึกเอาไว้ในหัวใจ"

"ได้ถวายตัวรับใช้ฝ่าบาทพวกกระหม่อมไม่ลำบากอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ"

"ดี ตอนนี้ ขุนนางดูดาวลองพูดมาก่อนซิว่า เจ้าได้พยากรณ์ฤกษ์ยามแล้วหรือยัง?"

เมื่อโหลชีได้ยินคำดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นมา พยากรณ์ฤกษ์ยาม? คือฤกษ์ยามที่จะทำการสถาปนาแคว้นหรือ?

คิดไม่ถึงเลยว่าแถวหน้าทางซ้ายในบรรดาขุนนางจะมีขุนนางที่ไว้หนวดเครายาวคนหนึ่งลุกออกมา แล้วทูลว่า"ทูลฝ่าบาท ฤกษ์ยามได้พยากรณ์ออกมาแล้ว วันที่หกเดือนแปด ดาวราชันย์จักส่องแสงเจิดจ้ามาก นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสถาปนาราชวงศ์ต้าเซิ่งพ่ะย่ะค่ะ

ต้าเซิ่งรึ? นี่คือชื่อแคว้นที่พวกเขากำหนดเอาไว้แล้วใช่ไหม?

โหลชีไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย อย่างไรเสียนางก็ไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่นางนึกถึงกลับเป็นฤกษ์ยามนี้ต่างหาก ต้นเดือนสิงหาคม นับตั้งแต่บัดนี้มันก็เหลืออีกแค่ไม่ถึงสี่เดือนเท่านั้น แต่นางกลับคิดว่า กองกำลังทหารยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และนอกจากนี้ เมื่อถึงเวลานั้นแคว้นอื่นๆจะมาแสดงความยินดีกับพวกเขา พวกเขายังต้องป้องกันไม่ให้กองกำลังอื่นๆมาก่อความวุ่นวายในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้อีก ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ การปราบปรามทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ให้ราบคาบก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเช่นกัน

ในขณะที่นางใจลอยอยู่นั้น นางก็ไม่ไปฟังเนื้อหาของการอภิปรายในท้องพระโรงเลย รอจนกระทั่งนางได้สติกลับมาซึ่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว นางก็ได้ยินคนที่อยู่ด้านล่างพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า"แม้ว่าพระสนมจะอยู่ที่นี่ แต่กระหม่อมก็มีบางอย่างอยากจะกราบทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ และแน่นอนว่า กระหม่อมก็ขอให้พระสนมคิดให้รอบคอบสักหน่อยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ"

พอโหลชีเงยหน้าขึ้นไปมอง นางก็เห็นว่าเป็นขุนนางวัยกลางคนที่แลดูแปลกตาคนหนึ่ง อันที่จริง ในนี้มีผู้คนอยู่มากมาย และนางต่างก็รู้สึกแปลกตาเป็นอย่างมาก คิดๆดูแล้วล้วนเป็นคนที่เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาทั้งนั้นเลย

"ว่ามา"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ