ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 344

หลังจากที่เฉินซ่าเพิ่งจะอนุญาตให้ขุนนางคนนั้นได้พูดแล้ว จากนั้นเขาก็ส่งกระแสเสียงให้โหลชีอย่างลับๆว่า"ชีชี เจ้าฟังนะ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าคิดที่จะถอนตัวออกไปอีกแล้ว"

เขาได้มีการเตรียมใจเอาไว้แล้วว่า ถ้าคนผู้นี้พูดอย่างนี้ เขาจะต้องอยากจะพูดเกี่ยวข้องกับโหลชีอย่างแน่นอน

ในเมื่อเขาต้องการจะสถาปนาราชวงศ์ขึ้นมาราชวงศ์หนึ่ง เขาก็ย่อมทราบดีเช่นกันว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดอะไรออกไปสักคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง

โหลชีหรี่ตาลง แต่นางไม่ได้พูดอะไร แน่นอนว่านางยินยอมที่จะไม่ทำอะไรเลย นางเอาแต่รอให้เขาแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้หมดสิ้นไปเท่านั้น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนาง นางก็ไม่สามารถคล้อยตามคำพูดเรื่อยเปื่อยของคนอื่นให้จิตใจว้าวุ่นได้เช่นกัน

ชุดที่ขุนนางผู้นี้สวมใส่คือเครื่องแบบทหาร

ในขณะที่เขากำลังจะพูดต่อไป อิงก็ได้พูดออกมาว่า:"ก่อนที่ท่านจะพูดช่วยรายงานชื่อและตำแหน่งของท่านก่อน ยังมีคนจำนวนมากที่พระสนมยังไม่รู้จักนะขอรับ"

ขุนนางคนนั้นจึงพูดเสียงดังขึ้นมาว่า"กระหม่อมคือหัวหน้ากองพันรักษาเมืองด่านหน้าจี้เซิ่งหงพ่ะย่ะค่ะ ในช่วงนี้ที่ฝ่าบาทไม่ประทับอยู่ที่พั่วอวี้ ทุ่งป่าเถื่อนมีกำลังทหารหลายฝ่ายได้ส่งคนมาพูดประนีประนอมและเต็มใจที่จะเข้าสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

"เอ๋?" เฉินซ่าสะบัดหางเสียงเบาๆ

จี้เซิ่งหงพูดว่า"ดูเหมือนว่าเขตพื้นที่บางพื้นที่ของเขาซงซานทางตะวันตกเฉียงเหนือเดิมทีก็คือสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันซึ่งหายากที่สุดในทุ่งป่าเถื่อน เมื่อห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ก่อตั้งกองพยัคฆ์ขึ้นมาด้วยตนเอง ในระยะเวลาห้าปี กองพยัคฆ์มีจำนวนคนเพิ่มขึ้นถึงสองหมื่นสามพันคนโดยประมาณแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

พอพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนก็ล้วนแต่ไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่อิงและเยว่ก็มองหน้ากันเช่นกัน และพวกเขาก็ได้มองเห็นความเคร่งขรึมที่ออกมาจากภายในดวงตาของอีกฝ่ายแล้ว

กองพยัคฆ์แห่งเขาซงซานทางตะวันตกเฉียงเหนือนี้เป็นเป็นหนึ่งในศัตรูที่พวกเขาคิดว่าแข็งแกร่งที่สุดมาโดยตลอด โดยจำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามมีเยอะมากเกินไปจริงๆ อีกทั้งผู้คนเหล่านั้นยังดำรงชีวิตอยู่ในเขตภูเขาทุ่งป่าเถื่อนมาช้านานแล้ว ซึ่งพวกเขาชำนาญในการใช้ยุทธวิธีกระจายตัวลอบโจมตีและประพฤติการณ์ต่ำทรามต่างๆนานา และสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่จุดแข็งของพวกเขา เฉินซ่าได้นำทัพไปกวาดล้างด้วยวิธีการที่ปราดเปรียวและห้าวหาญมาโดยตลอด แต่ในวิธีการปราบปราม เล่ห์กลของพวกเขากลับมีไม่มากพอ

ดังนั้นถ้าหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองพยัคฆ์แห่งเขาซงซานนี้ โอกาสที่จะชนะของพวกเขานั้นจึงมีไม่มากนัก แต่เนื่องจากเขาซงซานอยู่ไกลจากพั่วอวี้ และตรงกลางยังมีกองกำลังอื่นๆอีกหลายฝ่าย ถ้าหากนำทัพมาก็จะต้องต่อสู้กันไปตลอดทางเสียก่อน กลัวแต่เพียงว่าจะสูญเสียพลังไปตั้งแต่ครึ่งทางแล้ว และหลังจากที่ไปถึงเขาซงซานแล้วทหารผู้รอดตายที่ยังเหลืออยู่จะต้องไปสู้กับพวกเขาทั้งสองหมื่นสามพันคนอีก ดังนั้นโอกาสที่จะชนะจึงมีไม่มาก

แน่นอนว่า นั่นคือเมื่อก่อน จำนวนทหารของพั่วอวี้ก่อนหน้านี้มีไม่มากนัก แต่หลังจากที่เฉินซ่าได้เผยแพร่หนังสือออกไปแจ้งให้ผู้ที่มีความสามารถทั่วทั้งใต้หล้าได้ทราบแล้ว จำนวนคนในกองทัพก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก และในตอนนี้ก็มีมากถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นนายแล้ว

แต่ทว่าสำหรับแคว้นหนึ่งแคว้น การที่มีกองกำลังทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายยังไม่เพียงพอเลยสักนิด ดังนั้นในตอนนี้ กองทัพและทหารทุกนายในกองทัพล้วนแล้วแต่มีค่ามากทั้งสิ้น และไม่สามารถสละไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนกองพยัคฆ์แห่งเขาซงซานนี้ก็ได้กลายเป็นหมั่นโถวชิ้นใหญ่ที่ถึงแม้ว่าพั่วอวี้จะสามารถแทะกินได้ แต่ก็ไม่สามารถแทะกินอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจได้

เมื่อจี้เซิ่งหงเห็นว่ามันเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนได้แล้ว เขาจึงพูดต่อไปว่า"ในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทจากไปนี้ จอมทัพของกองพยัคฆ์ได้ถ่ายทอดคำพูดมาว่า เขาซงซานได้สถาปนาเมืองขึ้นมาแล้ว ซึ่งมีชื่อว่าเมืองซง แต่เพื่อที่จะแสดงความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อฝ่าบาทแล้ว การสถาปนาเมืองซงจะไม่ถูกประกาศให้ใต้หล้าได้ทราบโดยทั่วกันในขณะนี้ ถ้าหากฝ่าบาทเห็นด้วย เมืองซงก็จะสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

"เอ๊ะ เช่นนั้นด้วยวิธีนี้ ก็จะสามารถยึดครองกองพยัคฆ์ของเขาซงซานมาได้โดยไม่ต้องสูญเสียทหารไปแม้แต่คนเดียวน่ะสิ มันช่างเยี่ยมมากจริงๆ!"

"ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ พอยึดกองพยัคฆ์ของเขาซงซานเอาไว้ได้แล้ว กองกำลังที่มีอยู่ตั้งแต่เมืองพั่วอวี้ไปจนถึงเมืองซงในขณะนี้ก็จะถูกโจมตีขนาบทั้งสองข้าง และใช้เวลาไม่นานก็สามารถกำจัดพวกมันได้แล้ว! นี่เท่ากับเป็นการกวาดล้างหนึ่งในห้าของทุ่งป่าเถื่อนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!"

"ไม่เลวๆ"

บรรดาขุนนางทุกคนต่างก็รู้สึกปลื้มปริ่มกันไม่หยุด

แต่เยว่กลับขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วถามว่า"ไม่มีอาหารรสเลิศให้ชิมได้โดยเปล่าๆในโลกนี้หรอก กองพยัคฆ์เคลื่อนไหวแบบนี้จะต้องมีเงื่อนไขอะไรอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?"

จี้เซิ่งหงพยักหน้าไปมา แล้วตอบว่า"หากมีเงื่อนไขนั่นก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะใต้เท้าองครักษ์เยว่ อีกอย่างเงื่อนไขของพวกเขาความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มากเกินไปเลย"

เมื่อโหลชีได้ยินถึงตรงนี้ นางก็แอบคิดในใจว่า มาแล้วสินะ สาระสำคัญ อันที่จริงนางก็น่าจะสามารถเดาได้อยู่บ้าง ถึงแม้ว่าการที่จี้เซิ่งหงพูดแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่เป็นเพราะนางรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการจะพูดนั้นคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวนางเอง นางก็เลยไม่ค่อยชอบวิธีการพูดเช่นนี้ของเขามากสักเท่าไหร่ ซึ่งมันปลุกระดมความรู้สึกที่มิชอบของทุกคนขึ้นมา และจะทำให้นางออกไปจากตำแหน่งที่ครองอยู่ก่อนที่เรื่องราวยังไม่ทันได้กระจ่าง

ขณะที่นางกำลังจะพูด ก็ได้ยินเฉินซ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า"พูดจุดสำคัญออกมาซะ"

เดิมทีจี้เซิ่งหงยังคงรอที่จะปูพื้นเรื่องราวเอาไว้ แต่กลับถูกเฉินซ่าพูดขัดจังหวะแบบนี้สีหน้าของเขาจึงแดงขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเขาก็เลยพูดขึ้นทันทีว่า"พ่ะย่ะค่ะ จอมพลกองพยัคฆ์ เกายู่หู่ มีบุตรตรีคนหนึ่งนามว่าเกาอินอิน หน้าตางดงามเหนือใคร วรยุทธแข็งแกร่ง และอยู่ในกองพยัคฆ์นางก็ถือว่าเป็นแม่ทัพหญิงที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่งเช่นกัน ความหมายของจอมพลเกาคือ ถ้าเกาอินอินสามารถกลายมาเป็นหนึ่งในพระสนมได้ เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพั่วอวี้กับเมืองซงก็จะเหนียวแน่นยากที่จะทำลายได้ และจากนี้ไปเมืองซงก็จะได้ส่งเครื่องบรรณาการมาให้พั่วอวี้ทุกปี..."

เป็นไปตามคาดจริงๆ

โหลชีแสดงรอยยิ้มที่ถากถางเหน็บแนมออกมา

ทันใดนั้นเสวี่ยก็จับรอยยิ้มนี้ของนางได้ แล้วนางจึงกระโดดออกมาและพูดเสียงดังขึ้นมาว่า"พระสนมทรงแย้มพระสรวลแล้ว ท่านก็รู้สึกดีใจมากเช่นกันใช่หรือไม่เพคะ? ในเมื่อพระสนมอยู่ด้วยกันกับฝ่าบาท จึงเป็นธรรมดาที่ควรจะกำลังคิดที่จะแบ่งเบาความทุกข์ให้ฝ่าบาทอยู่แล้วใช่ไหมเพคะ?"

ในครานี้รอยยิ้มของโหลชีได้ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมแล้วจริงๆ

องครักษ์เสวี่ยเอ๋ยองครักษ์เสวี่ย เจ้ารู้ไหมนะว่าข้ากำลังรอคอยเจ้าอยู่?

นางไม่ได้กังวลเรื่องที่เสวี่ยจะไม่กระโดดออกมาจริงๆ ในเวลาแบบนี้นางไม่ออกมาน่ะสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก

ทุกคนล้วนแต่เฝ้ามองดูโหลชี

สีหน้าของเฉินซ่าขรึมลงเล็กน้อย"พวกเจ้าทุกคนกำลังล้อเล่นกับคำพูดของข้าใช่หรือไม่?"

"นายท่าน เดิมทีนายท่านก็ไม่ได้มีพี่น้อง ถ้าแม้แต่พระสนมก็มีเพียงพระองค์เดียวจะแพร่เผ่าพันธุ์ได้อย่างไรเพคะ? ถ้าหากพอดีว่าพระสนมโหลไม่สามารถให้กำเนิดพระราชบุตรได้ล่ะเพคะ? หรือบางทีตอนที่ให้กำเนิดพระราชบุตรประสบกับภาวะตกพระโลหิตอะไรทำนองนั้น เช่นนั้นฝ่าบาทจะไม่ไร้ซึ่งรัชทายาทอย่างนั้นหรือเพคะ..."

เฉินซ่าโกรธจัดขึ้นมาในทันที"เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! ทหาร!"

คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าสาปแช่งให้โหลชีไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ และยังสาปแช่งให้นางประสบกับภาวะตกเลือดเมื่อนางให้กำเนิดบุตรคนแรกอีก!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ