ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 344

หลังจากที่เฉินซ่าเพิ่งจะอนุญาตให้ขุนนางคนนั้นได้พูดแล้ว จากนั้นเขาก็ส่งกระแสเสียงให้โหลชีอย่างลับๆว่า"ชีชี เจ้าฟังนะ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าคิดที่จะถอนตัวออกไปอีกแล้ว"

เขาได้มีการเตรียมใจเอาไว้แล้วว่า ถ้าคนผู้นี้พูดอย่างนี้ เขาจะต้องอยากจะพูดเกี่ยวข้องกับโหลชีอย่างแน่นอน

ในเมื่อเขาต้องการจะสถาปนาราชวงศ์ขึ้นมาราชวงศ์หนึ่ง เขาก็ย่อมทราบดีเช่นกันว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดอะไรออกไปสักคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง

โหลชีหรี่ตาลง แต่นางไม่ได้พูดอะไร แน่นอนว่านางยินยอมที่จะไม่ทำอะไรเลย นางเอาแต่รอให้เขาแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้หมดสิ้นไปเท่านั้น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนาง นางก็ไม่สามารถคล้อยตามคำพูดเรื่อยเปื่อยของคนอื่นให้จิตใจว้าวุ่นได้เช่นกัน

ชุดที่ขุนนางผู้นี้สวมใส่คือเครื่องแบบทหาร

ในขณะที่เขากำลังจะพูดต่อไป อิงก็ได้พูดออกมาว่า:"ก่อนที่ท่านจะพูดช่วยรายงานชื่อและตำแหน่งของท่านก่อน ยังมีคนจำนวนมากที่พระสนมยังไม่รู้จักนะขอรับ"

ขุนนางคนนั้นจึงพูดเสียงดังขึ้นมาว่า"กระหม่อมคือหัวหน้ากองพันรักษาเมืองด่านหน้าจี้เซิ่งหงพ่ะย่ะค่ะ ในช่วงนี้ที่ฝ่าบาทไม่ประทับอยู่ที่พั่วอวี้ ทุ่งป่าเถื่อนมีกำลังทหารหลายฝ่ายได้ส่งคนมาพูดประนีประนอมและเต็มใจที่จะเข้าสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

"เอ๋?" เฉินซ่าสะบัดหางเสียงเบาๆ

จี้เซิ่งหงพูดว่า"ดูเหมือนว่าเขตพื้นที่บางพื้นที่ของเขาซงซานทางตะวันตกเฉียงเหนือเดิมทีก็คือสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันซึ่งหายากที่สุดในทุ่งป่าเถื่อน เมื่อห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ก่อตั้งกองพยัคฆ์ขึ้นมาด้วยตนเอง ในระยะเวลาห้าปี กองพยัคฆ์มีจำนวนคนเพิ่มขึ้นถึงสองหมื่นสามพันคนโดยประมาณแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

พอพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนก็ล้วนแต่ไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่อิงและเยว่ก็มองหน้ากันเช่นกัน และพวกเขาก็ได้มองเห็นความเคร่งขรึมที่ออกมาจากภายในดวงตาของอีกฝ่ายแล้ว

กองพยัคฆ์แห่งเขาซงซานทางตะวันตกเฉียงเหนือนี้เป็นเป็นหนึ่งในศัตรูที่พวกเขาคิดว่าแข็งแกร่งที่สุดมาโดยตลอด โดยจำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามมีเยอะมากเกินไปจริงๆ อีกทั้งผู้คนเหล่านั้นยังดำรงชีวิตอยู่ในเขตภูเขาทุ่งป่าเถื่อนมาช้านานแล้ว ซึ่งพวกเขาชำนาญในการใช้ยุทธวิธีกระจายตัวลอบโจมตีและประพฤติการณ์ต่ำทรามต่างๆนานา และสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่จุดแข็งของพวกเขา เฉินซ่าได้นำทัพไปกวาดล้างด้วยวิธีการที่ปราดเปรียวและห้าวหาญมาโดยตลอด แต่ในวิธีการปราบปราม เล่ห์กลของพวกเขากลับมีไม่มากพอ

ดังนั้นถ้าหากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองพยัคฆ์แห่งเขาซงซานนี้ โอกาสที่จะชนะของพวกเขานั้นจึงมีไม่มากนัก แต่เนื่องจากเขาซงซานอยู่ไกลจากพั่วอวี้ และตรงกลางยังมีกองกำลังอื่นๆอีกหลายฝ่าย ถ้าหากนำทัพมาก็จะต้องต่อสู้กันไปตลอดทางเสียก่อน กลัวแต่เพียงว่าจะสูญเสียพลังไปตั้งแต่ครึ่งทางแล้ว และหลังจากที่ไปถึงเขาซงซานแล้วทหารผู้รอดตายที่ยังเหลืออยู่จะต้องไปสู้กับพวกเขาทั้งสองหมื่นสามพันคนอีก ดังนั้นโอกาสที่จะชนะจึงมีไม่มาก

แน่นอนว่า นั่นคือเมื่อก่อน จำนวนทหารของพั่วอวี้ก่อนหน้านี้มีไม่มากนัก แต่หลังจากที่เฉินซ่าได้เผยแพร่หนังสือออกไปแจ้งให้ผู้ที่มีความสามารถทั่วทั้งใต้หล้าได้ทราบแล้ว จำนวนคนในกองทัพก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก และในตอนนี้ก็มีมากถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นนายแล้ว

แต่ทว่าสำหรับแคว้นหนึ่งแคว้น การที่มีกองกำลังทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายยังไม่เพียงพอเลยสักนิด ดังนั้นในตอนนี้ กองทัพและทหารทุกนายในกองทัพล้วนแล้วแต่มีค่ามากทั้งสิ้น และไม่สามารถสละไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนกองพยัคฆ์แห่งเขาซงซานนี้ก็ได้กลายเป็นหมั่นโถวชิ้นใหญ่ที่ถึงแม้ว่าพั่วอวี้จะสามารถแทะกินได้ แต่ก็ไม่สามารถแทะกินอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจได้

เมื่อจี้เซิ่งหงเห็นว่ามันเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนได้แล้ว เขาจึงพูดต่อไปว่า"ในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทจากไปนี้ จอมทัพของกองพยัคฆ์ได้ถ่ายทอดคำพูดมาว่า เขาซงซานได้สถาปนาเมืองขึ้นมาแล้ว ซึ่งมีชื่อว่าเมืองซง แต่เพื่อที่จะแสดงความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อฝ่าบาทแล้ว การสถาปนาเมืองซงจะไม่ถูกประกาศให้ใต้หล้าได้ทราบโดยทั่วกันในขณะนี้ ถ้าหากฝ่าบาทเห็นด้วย เมืองซงก็จะสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

"เอ๊ะ เช่นนั้นด้วยวิธีนี้ ก็จะสามารถยึดครองกองพยัคฆ์ของเขาซงซานมาได้โดยไม่ต้องสูญเสียทหารไปแม้แต่คนเดียวน่ะสิ มันช่างเยี่ยมมากจริงๆ!"

"ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ พอยึดกองพยัคฆ์ของเขาซงซานเอาไว้ได้แล้ว กองกำลังที่มีอยู่ตั้งแต่เมืองพั่วอวี้ไปจนถึงเมืองซงในขณะนี้ก็จะถูกโจมตีขนาบทั้งสองข้าง และใช้เวลาไม่นานก็สามารถกำจัดพวกมันได้แล้ว! นี่เท่ากับเป็นการกวาดล้างหนึ่งในห้าของทุ่งป่าเถื่อนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!"

"ไม่เลวๆ"

บรรดาขุนนางทุกคนต่างก็รู้สึกปลื้มปริ่มกันไม่หยุด

แต่เยว่กลับขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วถามว่า"ไม่มีอาหารรสเลิศให้ชิมได้โดยเปล่าๆในโลกนี้หรอก กองพยัคฆ์เคลื่อนไหวแบบนี้จะต้องมีเงื่อนไขอะไรอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?"

จี้เซิ่งหงพยักหน้าไปมา แล้วตอบว่า"หากมีเงื่อนไขนั่นก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะใต้เท้าองครักษ์เยว่ อีกอย่างเงื่อนไขของพวกเขาความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มากเกินไปเลย"

เมื่อโหลชีได้ยินถึงตรงนี้ นางก็แอบคิดในใจว่า มาแล้วสินะ สาระสำคัญ อันที่จริงนางก็น่าจะสามารถเดาได้อยู่บ้าง ถึงแม้ว่าการที่จี้เซิ่งหงพูดแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่เป็นเพราะนางรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการจะพูดนั้นคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวนางเอง นางก็เลยไม่ค่อยชอบวิธีการพูดเช่นนี้ของเขามากสักเท่าไหร่ ซึ่งมันปลุกระดมความรู้สึกที่มิชอบของทุกคนขึ้นมา และจะทำให้นางออกไปจากตำแหน่งที่ครองอยู่ก่อนที่เรื่องราวยังไม่ทันได้กระจ่าง

ขณะที่นางกำลังจะพูด ก็ได้ยินเฉินซ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า"พูดจุดสำคัญออกมาซะ"

เดิมทีจี้เซิ่งหงยังคงรอที่จะปูพื้นเรื่องราวเอาไว้ แต่กลับถูกเฉินซ่าพูดขัดจังหวะแบบนี้สีหน้าของเขาจึงแดงขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเขาก็เลยพูดขึ้นทันทีว่า"พ่ะย่ะค่ะ จอมพลกองพยัคฆ์ เกายู่หู่ มีบุตรตรีคนหนึ่งนามว่าเกาอินอิน หน้าตางดงามเหนือใคร วรยุทธแข็งแกร่ง และอยู่ในกองพยัคฆ์นางก็ถือว่าเป็นแม่ทัพหญิงที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่งเช่นกัน ความหมายของจอมพลเกาคือ ถ้าเกาอินอินสามารถกลายมาเป็นหนึ่งในพระสนมได้ เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพั่วอวี้กับเมืองซงก็จะเหนียวแน่นยากที่จะทำลายได้ และจากนี้ไปเมืองซงก็จะได้ส่งเครื่องบรรณาการมาให้พั่วอวี้ทุกปี..."

เป็นไปตามคาดจริงๆ

โหลชีแสดงรอยยิ้มที่ถากถางเหน็บแนมออกมา

ทันใดนั้นเสวี่ยก็จับรอยยิ้มนี้ของนางได้ แล้วนางจึงกระโดดออกมาและพูดเสียงดังขึ้นมาว่า"พระสนมทรงแย้มพระสรวลแล้ว ท่านก็รู้สึกดีใจมากเช่นกันใช่หรือไม่เพคะ? ในเมื่อพระสนมอยู่ด้วยกันกับฝ่าบาท จึงเป็นธรรมดาที่ควรจะกำลังคิดที่จะแบ่งเบาความทุกข์ให้ฝ่าบาทอยู่แล้วใช่ไหมเพคะ?"

ในครานี้รอยยิ้มของโหลชีได้ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมแล้วจริงๆ

องครักษ์เสวี่ยเอ๋ยองครักษ์เสวี่ย เจ้ารู้ไหมนะว่าข้ากำลังรอคอยเจ้าอยู่?

นางไม่ได้กังวลเรื่องที่เสวี่ยจะไม่กระโดดออกมาจริงๆ ในเวลาแบบนี้นางไม่ออกมาน่ะสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก

ทุกคนล้วนแต่เฝ้ามองดูโหลชี

สีหน้าของเฉินซ่าขรึมลงเล็กน้อย"พวกเจ้าทุกคนกำลังล้อเล่นกับคำพูดของข้าใช่หรือไม่?"

"นายท่าน เดิมทีนายท่านก็ไม่ได้มีพี่น้อง ถ้าแม้แต่พระสนมก็มีเพียงพระองค์เดียวจะแพร่เผ่าพันธุ์ได้อย่างไรเพคะ? ถ้าหากพอดีว่าพระสนมโหลไม่สามารถให้กำเนิดพระราชบุตรได้ล่ะเพคะ? หรือบางทีตอนที่ให้กำเนิดพระราชบุตรประสบกับภาวะตกพระโลหิตอะไรทำนองนั้น เช่นนั้นฝ่าบาทจะไม่ไร้ซึ่งรัชทายาทอย่างนั้นหรือเพคะ..."

เฉินซ่าโกรธจัดขึ้นมาในทันที"เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! ทหาร!"

คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าสาปแช่งให้โหลชีไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ และยังสาปแช่งให้นางประสบกับภาวะตกเลือดเมื่อนางให้กำเนิดบุตรคนแรกอีก!

ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของเฉินซ่า เสียงตะโกนแห่งความโกรธนี้ล้วนเป็นเสียงที่ใช้กำลังภายในตะโกนออกมาทั้งสิ้น แล้วทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็ตกใจสะดุ้งโหยงขึ้นมา และรีบวิ่งตะบึงเข้ามาในทันที

"คุมตัวองครักษ์เสวี่ยเอาไว้!"

"พ่ะย่ะค่ะ!"

ทหารองครักษ์ทั้งสี่ ทางซ้ายสองคนและทางขวาอีกสองคน ปฏิบัติตามคำสั่งของเฉินซ่าในทันที ด้วยการควบคุมตัวเสวี่ยเอาไว้ เพราะว่านางตกใจเป็นอย่างมากจึงลืมที่จะตอบโต้กลับไปเสียแล้ว รอจนกระทั่งองครักษ์ที่ปกติเมื่อพบนางแล้วยังต้องเรียกนางว่าใต้เท้าองครักษ์เสวี่ยเหล่านั้นควบคุมตัวนางเอาไว้ และบริเวณไหล่ของนางก็มีความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกแรงบิดเอาไว้แผ่ออกมา นางจึงหันไปมองที่เฉินซ่าในทันที

"นายท่าน!"

"อวี้สื่อเข้ารับตำแหน่งแล้วหรือยัง? ก้าวออกมาพูดให้ข้าฟังสักหน่อยซิว่ากฎหมายที่ข้าได้บัญญัติเอาไว้ในพั่วอวี้เขาจิ่วเซียวเป็นอย่างไรบ้าง" เฉินซ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า"เบื้องล่างล่วงเกินเบื้องสูง ดูหมิ่นพระสนม สาปแช่งข้าไร้ทายาท และสาปแช่งให้เลือดเนื้อเชื้อไขของข้าคลอดออกมาอย่างปลอดภัยมิได้ จะต้องจัดการอย่างไร?"

พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ เยว่กับอิงก็รู้เลยว่าในครานี้เสวี่ยจะต้องแย่แน่แล้ว

แต่ข้อกล่าวหาเช่นนี้ไม่เบาเลยจริงๆ แต่ตำแหน่งอวี้สื่อนี้คือขุนนางที่ทำหน้าที่ทัดทานกษัตริย์ ซึ่งมักจะเลือกขุนนางที่สามารถพูดทัดทานออกมาตรงๆได้ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ ก็ตามมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำถามนี้ของเฉินซ่า เขาก็เลยจำต้องก้าวออกมาแล้วพูดว่า"ทูลฝ่าบาท นี่เป็นความผิดร้ายแรง ตามกฎหมายใหม่ จะต้องถูกตัดหัวพ่ะย่ะค่ะ"

คำว่าตัดหัวสองคำนี้ทำให้เสวี่ยตกตะลึงขึ้นมาในทันที

โหลชีเองก็เลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน ตัดหัวรึ? ดูเหมือนว่า กฎหมายนี้สอดคล้องกับนิสัยของเฉินซ่ามาก และเขาไม่มีทางทนให้ใครมาด่าตัวเองกับลูกเมียถูกดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ได้อย่างเด็ดขาด

เป็นเพียงว่า เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กในอดีต ไม่ว่าจะเป็นคู่รักที่คบกันมาตั้งแต่เด็กที่รักใคร่กันมากแค่ไหน หรือว่าจะเป็นเพียงผู้ที่ตกอยู่ในฐานะคู่รักในวัยเด็กแต่ในนามก็ตาม ก็ย่อมมีไมตรีจิตความรักใคร่อยู่เล็กน้อย ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเฉินซ่าจะปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่

และในเวลานี้ ทันใดนั้นอิงกับเยว่ก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันหนึ่งก้าว และคุกเข่าลงข้างหนึ่งทั้งคู่"นายท่าน องครักษ์เสวี่ยมีความผิดจริง แต่ท่านจะเห็นแก่ที่นางตั้งใจอุทิศตนเพื่อฝ่าบาทด้วยแล้วไว้ชีวิตนางได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"

พอโหลชีได้รับสายตาที่วิงวอนขอร้องด้วยใจจริงของเยว่กับอิงแล้ว มุมปากของนางก็กระตุกไปมา แม้ว่าเดิมทีนางจะไม่อยากขอร้องแทนองครักษ์เสวี่ย แต่เพราะเรื่องต่อไปอาจจะยังคงเกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นในเวลานี้นางจะรอดพ้นจากความตายหรือไม่มันก็ไม่สำคัญอะไรเลย

ดังนั้น นางจึงเอียงศีรษะเล็กน้อยและพูดกับ เฉินซ่าว่า"ในเมื่อทั้งองครักษ์อิงและองครักษ์เยว่ล้วนแต่ขอร้องแทนองครักษ์เสวี่ยทั้งนั้น นอกจากนี้องครักษ์เสวี่ยก็อายุยังน้อย ไว้ชีวิตนางเถิด"

อิงกับเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้ว่าฝ่าบาทจะต้องฟังโหลชีอย่างแน่นอน ดังนั้นชีวิตของเสวี่ยจึงได้รับการช่วยชีวิตเอาไว้แล้ว

เมื่อเห็นว่าเสวี่ยอยากจะพูดอะไรอีก เยว่ก็กลัวจริงๆว่านางจะรนหาที่ตายให้ตัวเอง เขาก็เลยสกัดจุดใบ้ของนางในทันที

เฉินซ่าจ้องมองนางอย่างเย็นชา แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังเต็มใจเชื่อฟังคำพูดของโหลชีจริงๆ"ในเมื่อสนมรักบอกว่าจะไว้ชีวิตนาง เช่นนั้นก็จะไว้ชีวิตนาง และข้าก็ถอดนางออกไปจากตำแหน่งองครักษ์ทั้งสี่ คุมตัวนางลงไป หลังจากที่โบยสามสิบไม้แล้วก็ขับไล่นางลงไปจากเขาจิ่วเซียวซะ จากนี้ไปนางจะไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบย่ำเข้ามาในจิ่วเซียวอีกแม้แต่ครึ่งก้าว"

แล้วองครักษ์เสวี่ยก็ถูกลากออกไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่จะออกไป เยว่ก็ได้คลายจุดพูดของนางแล้ว

แต่หลังจากที่ผ่านไปได้ไม่นานกลับมีเสียงกรีดร้องของเสวี่ยดังมาจากข้างนอก

"นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" ในหัวใจของโหลชีเต้นขึ้นมาครู่หนึ่ง นี่มัน มาแล้วหรือ?

พอนางขยับ เฉินซ่ารู้ว่าเหตุการณ์ที่นางเฝ้ารอมาโดยตลอดในวันนี้อาจจะเกิดขึ้นแล้ว เขาก็เลยพูดกับนางว่า"สนมรัก เจ้าออกไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น"

ทันใดนั้นโหลชีก็ลุกขึ้นมา แสร้งทำเป็นถือผ้าเช็ดหน้าไหมไว้ที่มือขวา แล้วหันหน้าไปทางเขาและทำความเคารพแบบราชวงศ์ชิงแก่เขา สะบัด"ผ้าเช็ดหน้าไหม"ไปด้านหลังบ่าไหล่ ถอนสายบัวหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า

"เพคะ! หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ"

ใบหน้าของ เฉินซ่ามืดดำลง นี่มันยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไรกันไปหมดแล้ว?

โหลชีไหนเลยจะไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องวุ่นวายอะไรนั่นของตัวเอง เมื่อคืนนี้นางคิดทั้งคืนแล้วก็คิดไม่ออกว่าคำสาปยานี้มีผลกระทบอย่างไรกันแน่ แต่นางเดาว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับองครักษ์เสวี่ยอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีใครอื่นสามารถเข้าไปได้แล้ว ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่ก่อนหน้าที่พวกเขายังไม่ทันได้สติกลับมา นางก็ยังสามารถหาโอกาสแอบเข้าไปได้

หลังจากที่ออกมาจากท้องพระโรงแล้ว โหลชีก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขทันทีที่เห็นฉากตรงหน้า

เสวี่ยได้รับคำสั่งให้ลงโทษโบยสามสิบไม้ ซึ่งการโบยนี้ได้ดำเนินการอยู่นอกท้องพระโรง แต่ยังไม่ทันได้มีใครลงมือในขณะนี้ เสวี่ยกลับถูกคนรับใช้กอดเอาไว้แน่นเสียแล้ว และคนรับใช้คนนั้นก็คือจูซื่อนั่นเอง

"พวกเจ้าจะโบยนางไม่ได้ ข้าจะรับโทษแทนนางเอง!" จูซื่อตะเบ็งเสียงร้องตะโกนออกไปในขณะที่กำลังกอดเสวี่ยอย่างแน่นหนาอยู่

"เจ้าเป็นใคร! ใครต้องการให้เจ้ามารับโทษแทนข้ากัน! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไปให้พ้น! ไอ้คนหน้าลาย ไอ้คนอัปลักษณ์!" เสวี่ยพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่กลับดิ้นออกจากอ้อมกอดของจูซื่อผู้นั้นไม่หลุดเลย

กลิ่นเหม็นทั้งตัวของจูซื่อรุนแรงมากจริงๆ จนเสวี่ยเกือบถูกเขาทำให้สำลักตายไปเสียแล้ว

"ข้ารู้จักท่าน ท่านเป็นหนึ่งในสี่องครักษ์ ท่านคือใต้เท้าองครักษ์เสวี่ย ข้าชื่อจูซื่อ ใต้เท้าองครักษ์เสวี่ย ข้าตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกพบ และนับจากนี้ไปข้าจะปฏิบัติต่อท่านประหนึ่งอัญมณีที่มีค่า ท่านให้โอกาสแก่ข้าสักครั้งได้หรือไม่?" จูซื่อพูดออกไปอย่างรีบร้อน

โหลชีก็เลยถือโอกาสยืนดูละครอยู่ด้านข้างไปเสียเลย

"ไปให้พ้น! ไปให้พ้น! ปล่อยข้านะ ไอ้ผู้ชายตัวเหม็น!" เสวี่ยรู้สึกอึดอัดจนหน้าแดงไปหมด

เดิมทีองครักษ์ทั้งสี่นายนั้นกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงจูซื่อออกไป แต่เมื่อพวกเขาเห็นสายตาที่เหล่มองมาของโหลชีเข้าแล้วพอดี พวกเขาก็เลยถอยกลับไปด้านข้างทันที และทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น

"ใต้เท้าองครักษ์เสวี่ย ถึงแม้ข้าจะตัวเหม็น แต่เพื่อท่านแล้ว ข้าจะใช้สบู่หอมอาบน้ำทุกวันเลยดีหรือไม่? ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นท่านก็ช่วยข้าอาบได้ไหม? ถึงท่านจะถูให้ข้าแรงๆ ข้าจะต้องไม่ร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างแน่นอน!"

"พุบ!" โหลชีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ความคิดเชิงตรรกะของจูซื่อผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกันอ่ะ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ