ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 345

เสวี่ยใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว พอนางได้เห็นใบหน้านั้นของจูซื่อนางก็รู้สึกคลื่นไส้และอยากจะอาเจียนขึ้นมา และพอได้กลิ่นเหม็นบนตัวของเขาอีก นางก็กลั้นหายใจจนใกล้จะขาดอากาศหายใจตายไปแล้ว

"ปล่อยข้านะ ถ้าเจ้ายังไม่ปล่อยอีก ข้าจะหั่นเจ้าให้แหลกเป็นชิ้นๆเลย!"

"ข้าไม่ปล่อย ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบข้า เดิมทีข้าได้เลิกล้มความตั้งใจไปแล้ว แต่ตอนนี้ข้าพบว่าข้าชอบท่านมากเป็นพิเศษ ชอบมากเสียจนหัวใจดวงนี้ของข้าเจ็บปวดไปหมดแล้ว ข้าจะต้องอยู่ด้วยกันกับท่านให้ได้ ถึงแม้จะแค่วันเดียวข้าก็ยอม เสวี่ย เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าจะดีต่อเจ้าแต่เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน เจ้าก็ตอบตกลงกับข้าเถิด!"

องครักษ์ทุกนายถอยห่างออกไปไกลๆ พวกเขาก็ทนกลิ่นนั้นที่อยู่บนร่างกายของจูซื่อไม่ได้เหมือนกันนะ

พอโหลชีกวาดสายตามองไปยังต้นสนที่อยู่ข้างระเบียงทางเดิน ก็มองเห็นกระโปรงที่อยู่หลังต้นไม้ได้อย่างชัดเจน บางทีพวกนางอาจจะไม่ได้อยากซ่อนตัวตั้งแต่แรก เดิมทีพวกนางเพียงแค่อยากจะรอให้ถูกเรียกตัวอยู่ตรงนั้นตลอดเวลาก็ได้ใช่หรือไม่?

คิดไม่ถึงเลยว่า ในตอนนี้ คนรับใช้จะร้องตะโกนขึ้นมาอีกครั้งจริงๆว่า"ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้แม่นางชุ่ยฮัวเข้าเฝ้าในท้องพระโรง"

"พุ๊บ!"

เห็นได้ชัดว่านางรู้เรื่องราวล่วงหน้าและได้มีการเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินชื่อแม่นางชุ่ยฮัวชื่อนี้ขึ้นมาจริงๆ โหลชีก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

ผู้หญิงที่ออกมาจากด้านหลังต้นสนผู้นั้น ตัวเล็กและสง่างาม รูปร่างท่าทางอ่อนช้อย และหน้าตาสวยหยาดเยิ้ม ช่างเป็นหญิงสาวที่สวยงามและนิ่มนวลจนทำให้ผู้คนรู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งจริงๆ

ชุ่ยฮัว นี่ก็คือชุ่ยฮัว

โหลชีเลิกคิ้วขึ้น ในเวลานั้นเองนางก็ได้พบว่าคนที่อยู่เบื้องหลังชุ่ยฮัวก็คือผูยู่เหอและซือเอ๋อร์ซึ่งแต่งตัวได้สวยงามเพริศพริ้งหาที่เปรียบมิได้นั่นเอง ผูยู่เหอน่ะก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ซือเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของนางก็ยังแต่งตัวได้สวยสดใสอย่างนั้นเช่นกัน แล้วนี่พวกนางจะแต่งตัวสวยงามขนาดนั้นไปทำไมกันล่ะ?

มันจะเกี่ยวอะไรกับคำสาปยาหรือเปล่า?

สายตาของแม่นางชุ่ยฮัวจับจ้องมาที่นางในทันที อีกทั้งยังพกพารอยยิ้มที่อ่อนโยนมาด้วย โดยไม่หลบไม่หลีก และสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในดวงตาที่แวววาวคู่นั้นก็คือสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมาดปรารถนาที่จะต้องได้รับมาอย่างแน่นอนประเภทหนึ่ง

นี่ช่างมีความน่าสนใจยิ่งนัก บุคคลที่เป็นอันดับหนึ่งคนนี้ คือคนที่มาจากซีเจียงหรือ?

พวกนางไม่แม้แต่จะสนใจที่จะมองเสวี่ยที่อยู่ด้านนั้นเลย อย่างไรเสียงานที่เป็นของเสวี่ยก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และพวกนางก็สามารถตามหาผู้หญิงคนหนึ่งได้ใหม่อีกครั้งโดยไม่ต้องพึ่งนาง ซึ่งคนอื่นยากที่จะตามหา ผู้หญิงที่รักเฉินซ่าอย่างสุดจิตสุดใจนั้นหายากตรงไหนกัน?

ทั้งสามคนเดินมาที่ประตูตำหนักอย่างอรชรอ้อนแอ้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพอเดินมาถึงครึ่งทาง พวกนางยังหันศีรษะมามองจูซื่อที่ยังคงพัวพันกับเสวี่ยอยู่อีก

พอเขาเคลื่อนไหว โหลชีก็ให้ความสนใจขึ้นมา ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นางได้เห็นว่ามีสีชมพูลอยขึ้นมาในดวงตาของจูซื่อแล้วเล็กน้อย

จูซื่อลืมคำพูดนั้นที่เขาพูดกับเสวี่ยว่าเขาจะทำดีกับนางแต่เพียงผู้เดียวไปตลอดชีวิตไปแล้วในทันที ในขณะที่กำลังมองไปที่ผูยู่เหอกับซือเอ๋อร์ด้วยความตกตะลึง แล้วก็พูดพึมพำขึ้นมาว่า"คิดไม่ถึงเลยว่าในใต้หล้าจะมีหญิงงามที่น่าประทับใจถึงสองคนเช่นนี้......"

หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยเสวี่ยไป แล้วเดินเข้าไปหาพวกนางอย่างรวดเร็ว และเอื้อมมือออกไปผลักแม่นางชุ่ยฮัวที่กำลังเดินอยู่หน้าสุดออกไป แล้วขวางหน้าของผูยู่เหอกับซือเอ๋อร์เอาไว้

เขาแสเงสีหน้าท่าทางแห่งความหลงใหลออกมาในขณะที่กำลังมองดูผูยู่เหอกับซือเอ๋อร์ แล้วพูดว่า"ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบข้า เดิมทีข้าได้เลิกล้มความตั้งใจไปแล้ว แต่ตอนนี้ข้าพบว่าข้าชอบพวกเจ้าสองคนมากเป็นพิเศษ ชอบมากเสียจนหัวใจดวงนี้ของข้าเจ็บปวดไปหมดแล้ว ข้าจะต้องอยู่ด้วยกันกับพวกเจ้าให้ได้ ถึงแม้จะแค่วันเดียวข้าก็ยอม แม่นางทั้งสองท่าน รบกวนบอกชื่อของพวกเจ้าแก่ข้าหน่อยจะได้หรือไม่? ข้าชื่อจูซื่อ ข้ามีทั้งพลังและวรยุทธ ข้าสามารถหาเงินมาเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆได้ ถ้าพวกเจ้าอยู่กับข้า ข้าจะดีกับเพียงพวกเจ้าทั้งสองคนอย่างแน่นอน พวกเจ้าตอบตกลงกับข้าเถิดนะ!"

โหลชีแทบจะหัวเราะออกมาแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเงื่อนไขส่วนตัวของจูซื่อมันผิดทำนองครองธรรมมากเกินไปแล้วจริงๆ อาศัยเพียงความสามารถที่เพียงแค่พูดคำธรรมดาก็สามารถสร้างคำพูดที่หวานไพเราะสองสามคำขึ้นมาได้นี้ของเขา การที่เขาจะได้แต่งภรรยาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

"เอ๊ะ! นี่เจ้าเป็นใครกันเนี่ย ไปให้พ้น ไปให้พ้นนะ! รีบออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!"

ผูยู่เหอกับซือเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีด

"ข้าชื่อจูซื่อ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในจวนของอดีตเจ้าเมืองพั่วอวี้ และตอนนี้ฝ่าบาทได้ทรงอภัยโทษให้ข้าและให้ข้าได้เป็นคนรับใช้แห่งนี้แล้ว แต่ข้ามีความสามารถมากจริงๆ จริงๆนะ แม้ว่าข้าจะหน้าตาน่าเกลียด แต่ข้าจะรักพวกเจ้าให้มากได้อย่างแน่นอน พวกเจ้าจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่?" จูซื่อพูด ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนหนึ่ง เขาก็เลยหันหน้าไปมองเสวี่ยในทันที

เดิมทีเสวี่ยกำลังจะเดินออกไป แต่ทหารองครักษ์ไม่สามารถปล่อยนางให้เดินจากไปเช่นนี้ได้ พวกเขาจึงควบคุมตัวนางเอาไว้ในทันที พอจูซื่อนึกถึงนางขึ้นมาได้ เขาก็เอื้อมมือออกไปคว้าผูยู่เหอกับซือเอ๋อร์เอาไว้ในทันที แล้วพูดว่า"ยังมีองครักษ์เสวี่ย ก็ชอบนางมากเช่นกัน ถ้าพวกเจ้าทั้งสามเข้ากันได้ดี ข้าจะรักและดูแลพวกเจ้าอย่างดี"

โหลชีกำลังมองดูผู้หญิงสามคนที่ถูกจูซื่ออบด้วยกลิ่นเหม็นจนมีท่าทางที่ทุกข์ทรมานใกล้จะตายอย่างชั่วร้าย หลังจากนั้นก็หันสายตาไปหาชุ่ยฮัว

เฟยฮวนผู้นั้น

เฟยฮวนที่ได้แสดงฝันร้ายที่อยู่ภายใต้การควบคุมต่อเฉินซ่าแล้ว

พอเห็นแววตาที่ตกตะลึงแต่กลับดูสงบนิ่งขัดกันอย่างน่าประหลาดนั้นของเฟยฮวน โหลชีก็มั่นใจแล้วว่า คำสาปยานั้นมาจากนางจริงๆ

ยิ่งกว่านั้น นางก็เข้าใจแล้วอีกด้วยว่า คำสาปยานั้นสามารถทำให้ชายที่โดนสาปหลงใหลผู้หญิงที่ได้กำหนดเอาไว้โดยเฉพาะอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีเหตุผลขึ้นมาในทันใด

จนถึงขั้นที่ว่า เพราะความลุ่มหลงนี้เองจึงทำให้พฤติกรรมของคนคนนั้นเปลี่ยนไปเป็นคนไร้สาระและน่าขัน

เช่นเดียวกับท่าทางนี้ของจูซื่อเลย เขาได้สารภาพรักอย่างฮึกเหิมและร้อนอกน้อยใจอยากจะอยู่ด้วยกับพวกนาง

เห็นแบบนี้แล้ว ผู้หญิงที่ถูกกำหนด มีอยู่สามคนจริงๆหรือ? ก็คือสามคนนี้น่ะหรือ?

นี่คือการทำให้เฉินซ่าชอบผู้หญิงอีกสองสามคนหรือ? แต่ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเฟยฮวนผู้นี้ถึงต้องปลีกตัวออกมาจากวง? หรือว่านางไม่อยากครอบครองเฉินซ่าและไม่ต้องการเป็นพระสนมแห่งพั่วอวี้นี้แล้ว?

ในขณะที่เฟยฮวนกำลังมองนาง สายตานั้นดูเหมือนจะพูดว่า ข้ารู้ว่าเจ้าใช้เล่ห์กลบางอย่างในการย้ายคำสาปยาไปที่ผู้ชายที่น่าขยะแขยงคนนี้แล้วสินะ

โหลชีวาดริมฝีปากขึ้นมายิ้ม

รู้แล้วแล้วอย่างไร?

เฟยฮวนได้เดินไปจนถึงด้านหน้าของนาง แล้วหันหน้าเข้าหานางเพื่อทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลว่า"ถวายบังคมพระสนมโหล"

เดิมที หากพั่วอวี้มีพระสนมเพียงคนเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกนางว่าพระสนมโหล เรียกว่าพระสนมไปเลยก็ได้ ตอนนี้เฟยฮวนผู้นี้ตั้งใจเรียกนางว่าพระสนมโหล ความหมายในคำพูดนั้นก็ชัดเจนมาก นางเชื่อว่า ยังจะมีพระสนมคนอื่นๆปรากฏตัวออกมาอีก ในเวลานี้ถ้าโหลชีเห็นด้วยก็จะแสดงถึงความอ่อนแอ ถ้าไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็จะถูกนางยั่วยุให้โกรธขึ้นมาและตกสู่ตำแหน่งที่ต่ำลงได้ง่าย

แม้ว่าเสียงของเฟยฮวนจะอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่ดวงตาและการแสดงออกทางสีหน้าของนางกลับมีความยั่วยุอยู่ในนั้นด้วย

โหลชีสังเกตมองนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วถามกลับไปในทันทีว่า"เจ้าชื่อชุ่ยฮัวหรือ?"

"เพคะ หม่อมฉันมีนามว่าชุ่ยฮัวเพคะ"

"พุ๊บ ฮ่าๆๆๆ!" ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางพูดชื่อชุ่ยฮัวชื่อนี้ออกมาอย่างจริงจังขนาดนี้มันช่างน่าตลกเกินไปแล้วจริงๆ

เฟยฮวนคิดไม่ถึงเลยว่าโหลชีจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ นางก็เลยตกตะลึงในทันที

โหลชีพูดกับทหารองครักษ์สามสี่นายนั้นว่า"ในเมื่อจูซื่อผู้นั้นชอบแม่นางทั้งสามมากขนาดนั้น เช่นนั้นข้าก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะให้แม่นางทั้งสามหมั้นกับจูซื่อซะ และจูซื่อก็ไม่ต้องเป็นคนรับใช้อยู่ในตำหนักจิ่วเซียวแล้วด้วย ข้าจะให้เงินแก่เขาสักสามร้อยตำลึง ถือว่าเป็นการแสดงความยินดีกับเขาที่ได้แต่งงานกับภรรยาทั้งสามคนพร้อมกันเลยก็แล้วกัน"

นางหรี่ตาลง แล้วถามว่า"พวกเจ้าจะแต่งงานพร้อมกันสี่คนได้ไหม?"

ในเวลานั้นเองหลังจากที่จูซื่อได้ยินคำพูดของนางแล้ว เขาก็พูดด้วยความซาบซึ้งใจขึ้นมาในทันทีว่า"ขอบพระทัยพระสนมยิ่งนัก! แต่งได้แต่งได้ กระหม่อมเลี้ยงดูได้พ่ะย่ะค่ะ!"

เขาได้โดนคำสาปนั้นแล้ว สำหรับพวกนางทั้งสามนั้นเขารักมากเสียจนแทบอยากจะควักหัวใจออกมาแล้ว และยังมีอีกสิ่งหนึ่งก็คือเขาอยากจะอยู่ใกล้กับพวกนางตลอดเวลา และเขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้เลย ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นตอนที่เขากำลังตอบคำถามของโหลชี เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเสวี่ย และเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆของผูยู่เหอ ซึ่งมันทำให้พวกนางแต่ละคนมีสีหน้าผะอืดผะอมอยากจะอาเจียน

เสวี่ยจึงตะโกนออกไปดังๆด้วยความโมโหว่า"โหลชี! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร! เรื่องของข้าถึงคราวที่เจ้าจะต้องมายุ่งเกี่ยว..."

นางยังพูดไม่ทันจบ แส้ยาวๆสีดำก็ดูเหมือนว่าจะปรากฏขึ้นมาจากไหนไม่รู้ แล้วเงาสีดำประดุจดั่งมังกรคะนองน้ำ ก็หวดลงไปที่ไหล่ของนางอย่างรุนแรงในทันที!

เสวี่ยตกใจมาก จึงรีบหดตัวอยากจะหลบออกไปในทันที แต่นางไม่ได้คิดถึงเลยว่าตัวเองไม่สามารถหลีกหนีได้โดยสิ้นเชิง แส้เส้นนั้นเหมือนมีตาอย่างไรอย่างนั้น มันได้หวดไปโดนไหล่ของนางอย่างแรง ความแรงของพละกำลังในการตีทำให้นางถูกตีจนเหมือนถูกกดทับอย่างหนักและต้องคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังปั๊กในทันที

ยังไม่รอให้พวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา แส้เส้นนั้นก็กลายเป็นแส้แข็งขึ้นมาและหวดลงไปอีกครั้งในทันใด แล้วแทงเข้าไปในจุดตันเถียนของเสวี่ย!

"กรี๊ด!"

เสวี่ยกรีดร้องขึ้นมาหนึ่งเสียง

นางรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายของตัวเองล้วนแต่ถูกแส้เส้นนั้นเจาะทะลุไปทั้งตัว แต่ในความเป็นจริง มุมในการออกอาวุธของโหลชีนั้นแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง มันเพียงแต่ทำลายจุดตันเถียนของนางและทำให้นางสูญเสียกำลังภายใน แต่กลับไม่ได้ทำร้ายส่วนอื่นๆของนาง!

เสวี่ยรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังภายในของตัวเองถูกขับออกไปทั้งหมดแล้วในทันใด หลังจากนั้นทั้งร่างกายของนางก็ว่างเปล่าราวกับถุงผ้าที่ขาด และวรยุทธของนางก็ถูกทำให้ใช้การไม่ได้แล้ว!

"เจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำลายวรยุทธของข้า......"

โหลชีสะบัดข้อมือ และเก็บแส้กลับมา แล้วส่ายหัวไปมาเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว"ไม่ไม่ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว วรยุทธของเจ้ายังอยู่ดี อย่างน้อยเจ้าก็ยังไม่ลืมเพลงยุทธเหล่านั้นไม่ใช่หรือ? สิ่งที่ข้าทำลายก็คือกำลังภายในของเจ้าต่างหากล่ะ กำลังภายใน มันแตกต่างกันนะ"

เสวี่ยแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว

นี่มันแตกต่างกันตรงไหน?!

ดูเหมือนว่าโหลชีจะรับรู้ถึงเสียงตะโกนที่บ้าคลั่งในหัวใจของนาง นางจึงพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า"มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่มีกำลังภายในแล้ว แต่อย่างน้อยเจ้าก็ยังสามารถอาศัยกระบวนท่าต่างๆในเพลงยุทธไปเป็นนางระบำ ระบำดาบอะไรทำนองนั้นก็ได้ อืม เจ้าดูสิ ถึงแม้ว่าเจ้าจะคอยแช่งชักหักกระดูกข้ามาโดยตลอด แต่ข้ายังมีน้ำใจโอบอ้อมอารีมากใช่หรือไม่? เอาล่ะ ไม่ต้องขอบคุณข้าให้มากมายหรอก ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับจูซื่อ ข้าก็จะไม่บังคับ เมื่อได้รับโทษครบสามสิบไม้แล้วก็ลงเขาไปเถิด"

พูดจบ นางก็หันไปหาจูซื่อที่ถูกทหารองครักษ์คุมตัวเอาไว้อยู่ข้างๆและห้ามไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการออกอาวุธของนางเมื่อสักครู่นี้ และพูดว่า"แม่นางเสวี่ยบอกว่าไม่ต้องการแต่งงานกับเจ้า เจ้าเองก็ต้องพยายามเข้านะ ข้าจะสอนเจ้าหนึ่งเคล็ดลับ จีบผู้หญิงน่ะก็ต้องยืนหยัดให้ถึงที่สุดนะ"

ดวงตาของจูซื่อเป็นประกาย ทันใดนั้นเขาก็กล่าวด้วยความรู้สึกขอบคุณขึ้นมาว่า"ขอบพระทัยพระสนมมากพ่ะย่ะค่ะ! ข้าจะต้องยืนหยัดให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!"

"พระสนม พระสนม ท่านอย่าลืมนะว่า พวกท่านเคยสัญญากับท่านป้าของข้าเอาไว้แล้ว ท่านไม่สามารถขับไล่พวกเราออกไปได้......" เมื่อผูยู่เหอเห็นว่าโหลชีซัดอาวุธออกมาอย่างไร้ความปรานีขนาดนี้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวก็สามารถทำลายจุดทันเถียนของเสวี่ยได้ ก็เลยกลัวว่านางจะขับไล่พวกนางออกไปจริงๆ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้นจนเสียงดังปั๊กในทันที

"ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะไล่พวกเจ้าออกไปนะ แต่ยากนักที่จูซื่อจะมีความรักที่ลึกซึ้งต่อพวกเจ้าเช่นนี้ บุพเพสันนิวาสที่ดีงามจากสวรรค์เช่นนี้จะปฏิเสธไปมิได้ งั้นข้าจะย้ายพวกเจ้าไปเป็นสาวใช้ซึ่งทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดที่ตำหนักหนึ่งก็แล้วกัน ข้าจะให้พวกเขาจับตาดูพวกเจ้า และจะให้พวกเจ้าทั้งสามคนมีโอกาสได้พบเจอกันสองถึงสามชั่วยามทุกวัน จนกว่าพวกเจ้าจะแต่งงาน เอาล่ะ ไม่ต้องขอบคุณข้ามากเกินไปนักหรอก"

แล้วนางก็พูดกับจูซื่ออีกครั้งว่า"จำไว้ ต้องยืนหยัดให้ถึงที่สุดนะ"

"ข้าเข้าใจแล้ว เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ!" จูซื่อพูด แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโอบกอดเสวี่ยเอาไว้อีกครั้ง"เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปทายานะ......"

เสวี่ยอยากตาย ผูยู่เหอกับซือเอ๋อร์ก็เช่นกัน

แววตาของเฟยฮวนแวววาวขึ้นมาเล็กน้อย นางมองไปที่โหลชี และพูดว่า"พระสนมโหลก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เจ้าไม่รู้สึกไม่สบายใจที่ทำเช่นนี้บ้างเลยหรือ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ