ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 347

เฟยฮวนไหนเลยจะปราชัยได้อนาถเช่นนี้มาก่อน

ไม่ นางมิเคยพบผู้ใดใช้คำสาปยาประกอบกับแสงโคมไฟมาก่อน!

นางคำรามอยู่ในใจ โดยแท้จริงนี่คิดได้อย่างไร? คิดได้อย่างไร?!

นางคิดไม่ถึงเด็ดขาด ผู้ที่มาจากโลกปัจจุบัน กับแสงทุกชนิด พลังงาน ปฏิกิริยาเคมีและอื่นๆ แนวคิดประเภทนี้ราวกับฝังลึกอยู่ในโลหิตและชีพจรแล้ว จะคิดได้มากและกว้างว่านางได้อย่างไร? แม้นางจะเรียนอุบายนี้ของโหลชี ว่าจะควบคุมพลังงานแสงได้อย่างไร โหลชีก็รู้ดีอยู่มาก

หากจะเอ่ยว่าโมโหจะบ้า นั่นเพราะความคิดแรกเริ่มต่างกัน นี่ก็ไม่มีทางใดอื่น

แน่นอน พรสวรรค์ในด้านคำสาปของโหลชี ไม่ว่ายังไงเฟยฮวนตามไม่ทันแน่นอน

เฟยฮวนผู้นี้ใช้อุบายความคิดมากมายเพื่อปะปนเข้ามาในตำหนักจิ่วเซียว ไม่แกล้งนางสักหน่อย แกล้งให้นางร่ำไห้หาบิดรเพรียกหามารดา โหลชีรู้สึกว่าผิดต่อนาง

กระทั่งเฟยฮวนถูกประคองออกไปตำหนัก นางก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดกับเฉินซ่าสักประโยค

ส่วนก่อนหน้านี้ที่เฉินซ่าเรียกนาง ก็เพราะขณะกำลังเอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งสนม เขารู้สึกว่ายามนี้ควรเอ่ยถึงแม่นางชุ่ยฮัวผู้นี้สักหน่อย ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะได้ไม่พลาดแม่นางน้อยที่ให้ความสำคัญในใจขนาดนั้นมาตลอด จากนั้นขุนนางทั้งหลายก็จะขอพบแม่นางชุ่ยฮัวผู้นี้ด้วย

สุดท้ายเมื่อได้พบ...

"ใต้เท้าองครักษ์อิงท่านล้อเล่นอะไร? สตรีเช่นนี้ จะเป็นพระสนมแห่งพั่วอวี้ได้อย่างไร?"

"นั่นสิๆ แม่นางชุ่ยฮัวผู้นี้ช่างแปลกพิสดารนัก หรือว่าตรงนี้จะใช้การไม่ดี?" มีคนชี้ที่ศีรษะ

ชั่วขณะ การวิจารณ์ด้านลบสารพัดต่อแม่นางชุ่ยฮัวก็ขจรขจายราวกับหิมะที่อยู่เต็มท้องฟ้า องครักษ์อิงก็ยอมแล้วเช่นกัน แต่ขณะที่ได้รับสายตายิ้มที่ไม่ยิ้มของโหลชี เขารู้สึกว่าตัวเองจะจบสิ้นแล้ว

เขามิใช่ไม่รู้ว่าโหลชีอาฆาตแค้น ยามนี้จะส่งเสริมสนมนางอื่นให้ฝ่าบาทต่อหน้านาง โหลชี้จะปล่อยเขาไปได้หรือ? แต่อิงก็รู้สึกว่าในเมื่อโหลชีจะอยู่กับฝ่าบาท ก็ควรจะเตรียมใจไว้ด้วย ฝ่าบาทเป็นราชาแห่งแคว้น จะมีสนมหนึ่งเดียวได้อย่างไร?

เช่นนี้ลำบากเกินไปแล้ว

"แม่นางชุ่ยฮัวผู้นี้ย่อมไม่เหมาะเป็นพระสนม แต่หากกล่าวถึงเกาอินอินท่านนั้น พระสนมผู้นี้ย่อมได้แน่ อีกอย่าง นางยังพูดว่าเงื่อนไขในการเลือกพระสนมของฝ่าบาทนั้น นางล้วนทำได้หมด" จี้เซิ่งหงกล่าวอีก"ถึงตอนนั้นคุณหนูเกาจะนำทหารกล้าหนึ่งหมื่นนายมาเป็นสินเดิมเจ้าสาว ตั้งแต่เขาซงซานจนถึงพั่วอวี้ นางจะกวาดล้างอิทธิพลตลอดทางทั้งหมด สยบพวกเขา คนและทรัพย์สินทั้งหมดก็จะให้พั่วอวี้ด้วย"

สินเดิมเจ้าสาวนี้ กล่าวได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อพั่วอวี้ในยามนี้

ขุนนางทั้งหลายได้ยินสินเดิมเจ้าสาวเช่นนี้ก็พากันผงกศีรษะ

อาจเป็นเพราะการปรึกษาหารือเมื่อก่อนหน้านี้ที่เฉินซ่าไม่เห็นด้วยมาตลอด เมื่อนี้จึงมีคนเบนสายตาไปทางโหลชีแล้ว พวกเขามองออก ว่าโดยหลักแล้วอยู่ที่ตัวโหลชีนั่นเอง

ขุนนางชราที่อายุใกล้หกสิบนามหนึ่งมองโหลชีพลางเอ่ย"พระสนมทรงคิดว่าสินเดิมเจ้าสาวนี้เป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?"

พวกเขารู้ว่าก่อนหน้านี้โหลชีได้ทำผลงานหลายอย่าง ผลงานเหล่านั้นในตอนนั้นย่อมยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่ยามนี้พวกเขาเลือนรางไปบ้างแล้ว อนึ่งเพราะเป็นสิ่งของที่ฝ่าบาทต้องการ ที่จริงพวกเขาจำนวนมากไม่รู้ว่ามีประโยชน์อันใดโดยแท้ ดังนั้นกระสายยาเหล่านั้น ในใจของพวกเขากลับไม่มีแนวคิดมากนัก หากมีเหมืองทองสักแห่ง ในทางกลับกันพวกเขาก็ได้มาอยู่ในมือแล้ว ทั้งขุดเองด้วย ผลงานที่ส่งเหอชิ่งเหนียนผู้มีความสามารถผู้นี้มา เห็นได้ชัดว่าไม่เด่นเช่นนั้น หากกล่าวถึงผลงาน ก็มิสู้ให้เป็นของเหอชิ่งเหนียน

ดังนั้น ผลงานที่เป็นอดีตไปแล้วก็ถูกคนลืมเลือนง่ายๆ ผลประโยชน์ที่ไม่ได้ มักทำให้คนนึกถึงอยู่ร่ำไป ยามนี้พวกเขาต้องการสินเดิมเจ้าสาวส่วนนี้ของเมืองซง

กระทั่งว่าขณะที่กำลังถามประโยคนี้ พวกเขายังรู้สึกว่าโหลชีอาจละอายใจอยู่บ้าง ดูคนเขาสิ ดูสินเดิมเจ้าสาวของเขา

โหลชีได้ฟังก็ยิ้ม เหล่มองเฉินซ่าแวบหนึ่ง เอ่ย"เรื่องนี้เจ้าต้องถามฝ่าบาท"

สีหน้าเฉินซ่าอึมครึม"ข้าเคยกล่าวกับสนมรัก สินเดิมเจ้าสาวของนาง ข้าก็ออกด้วย เรื่องนี้ยังมิเอ่ยถึง เอ่ยถึงแต่เหมืองทอง พวกเจ้าคิดว่าเป็นผลงานของเหอชิ่งเหนียนผู้เดียวหรือ?"

เวลานี้ เหอชิ่งเหนียนออกจากแถว ประสานมือเอ่ย"ผลงานนี้ กระหม่อมมิกล้ารับโดยพลการ หากมิใช่พระสนมเคยสอนวิธีการคลำหาทองที่แม่นยำยิ่งกว่า ก็เป็นไม่ได้ว่ากระหม่อมจะค้นพบเหมืองทองได้เร็วเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ"

เฉินซ่าเอ่ยอีก"เช่นนั้น เมืองชี พวกเจ้าลืมแล้วหรือ?"

โหลชีกลับตะลึง"เมืองชี?"

เรื่องเมืองชีนี้นางยังมิรู้เลย

เอ่ยถึงเรื่องนี้ เฉินซ่ากลับนึกสนุกขึ้นมา เอ่ยกับนาง"อีกเดี๋ยว ข้าจะพาเจ้าไปดู ยามนี้น่าจะจวนเสร็จแล้ว" เขามองไปโดยรอบ"ผู้ดูแลชั่วคราวเมืองชีอยู่หรือไม่?"

วัยกลางคนหนึ่งขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เอ่ย"กระหม่อมโจวหลี่ คารวะฝ่าบาท พระสนม"

"เมืองชีเจ้าไปตระเตรียมก่อน อีกสองชั่วยามข้าจะพาพระสนมไปเมืองชี"

"พ่ะย่ะค่ะ" โจวหลี่ถอยออกไป โหลชีมองออก สีหน้าเขาดูตื่นเต้นมากชัดเจน

เฉินซ่ามองทุกคน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็น"เวลานี้ พวกเจ้านึกออกแล้วหรือยัง?" อย่าลืมสิ ยามนั้นโหลชีวางแผนได้เขาพยัคฆ์มา สมบัติแน่นขนัดทั้งห้องนั้นของไอ้ตาเดียว นั่นทำให้พั่วอวี้ใช้จ่ายได้อยู่นาน หากไม่มีเงินก้อนนั้น เวลานี้กองทัพก็ไม่อาจขยายได้มากมายเช่นนั้นแล้ว

เขาจะไม่ยอมให้ทุกคนลืมผลงานของนางสักนิด แน่นอน เขาย่อมไม่ออกปาก เขากลัวว่าวันไหนจะมีใครทำให้นางแหนงหน่ายที่นี่และจากเขาไป มีเพียงเขาที่รู้ พวกเขาเห็นตำแหน่งพระสนมสำคัญมาก ทว่าในสายตาของโหลชีกลับมิใช่สิ่งใด หากนางต้องการจากไป ตัวคนเดียวสามารถดำรงอย่างสุขสบายอิสระได้แน่ ในทางกลับกันเป็นคนที่ไม่สามารถ

เขาไม่ไหว หากนางมิอยู่ข้างกาย เขาก็จะรู้สึกผิดแปลกไปหมด

เวลานี้เฉินซ่าย่อมไม่เคยได้ฟังคำกล่าวประโยคนี้

ผู้ใดรักมาก ผู้นั้นก็แพ้

ในการเดิมพันระหว่างเขากับโหลชี เขาปราชัยย่อยยับนานแล้ว

เมื่อได้ยินที่เฉินซ่าถาม ขุนนางทั้งหลายก็ชะงัก จากนั้นก็ขุนนางชราผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นอีก"ผลงานของพระสนมย่อมมิอาจละเลย แต่ฝ่าบาท... มีคนช่วยเพิ่มอีกหนึ่งมิยิ่งดีหรือพ่ะย่ะค่ะ? อีกอย่างเรื่องทายาทก็เป็นเรื่องใหญ่ เมืองจิ่วเซียวอันใหญ่โตนี้ อย่างไรฝ่าบาทก็ต้องแตกกิ่งก้านสาขา..."

เรื่องทายาทพวกเจ้ามิต้องกังวล สนมรักรับปากข้าแล้ว นางยินดีอย่างน้อยสามคน"น้ำพุวิเศษทางเผ่าชักมังกรนั้นอีกเล่า ก็ดื่มไปไม่น้อยแล้ว"

โหลชีจุกอกพูดไม่ออก ย้อนกลับมาเรื่องลูกอีกแล้วหรือ?

ครั้นเห็นขุนนางชราผู้นั้นและจี้เซิ่งหงยังจะเอ่ยอะไรอีก โหลชีก็หงุดหงิด นางถูกขุดขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เสียสละเวลานอนแห่งความงาม เวลานี้นั่งอยู่ครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ท้องก็เริ่มหิว พวกเขายังคิดจะพูดเรื่องสนมไปอีกนานเท่าใด?

"ข้าขอพูดสักหน่อย" ใบหน้านางยังแขวนรอยยิ้มจาง ดูแล้วคล้ายไร้พิษภัย นางกวาดสายตามองขุนนางทั้งหมดในที่นั้น ถาม"พวกเจ้ามีผู้ใดเคยเห็นคุณหนูอินอินหัวแก้วหัวแหวนของบ้านจอมพลเกาผู้นั้นหรือไม่?"

ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงถามเช่นนี้ แต่ขุนนางทั้งหลายก็ยังส่ายหน้า"พวกกระหม่อมมิเคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ"

"หัวหน้าจี้เล่า?"

"กระหม่อม มิเคยพบพ่ะย่ะค่ะ" จี้เซิ่งหงเอ่ย

โหลชีเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ"เช่นนั้นก็ไม่เข้าใจยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดเคยเห็นนางมาก่อน แต่ด้วยนางสามารถนำพาทหารเสือหมื่นนาย สามารถสยบอิทธิพลระหว่างทางจากเมืองซงจนถึงพั่วอวี้ได้ พวกเจ้าก็ร่ำไห้ตะโกนต้องการให้เฉินซ่าแต่งตั้งนางเป็นสนม พวกเจ้าเป็นขุนนางของเขา หรือเป็นศัตรูของเขากันแน่? พวกเจ้ามีใครรู้ว่าเกาอินอินเป็นคนเช่นไรหรือไม่? ได้ พวกเจ้าได้ยินว่านางงดงามปานบุปผา วรยุทธ์ล้ำเลิศ เช่นนั้นหากนางมีร่างเหม็นที่รมจนสลบได้เล่า? หากนางหยาบกร้านอารมณ์โผงผาง กินอาหารกระเด็นเม็ดข้าว ออกจากห้องสุขาไม่ล้างมือ หลับก็กัดฟันแล้วยังละเมอเล่า?"

ขุนนางทั้งมวลต่างชะงักงัน ค้างจนไม่ได้ตอบกลับ โหลชียักไหล่เอ่ย"ก็ได้ ข้าก็หยาบกร้านอยู่บ้างเช่นกัน ข้าจะพยายามพูดให้สุภาพหน่อยดีไหม? สตรีนางหนึ่ง พวกเจ้ายังไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร เพียงเพราะนางมอบผลประโยชน์ให้เล็กน้อย พวกเจ้าก็ไห้หาร้องตะโกนต้องการให้ฝ่าบาทของพวกเจ้าสู่ขอนางแล้ว! ทำได้หรือ? หา? ข้าว่าพวกเจ้าแต่ละคนนั่งตำแหน่งนี้ทำอันใด? หัวหน้าจี้" นางหันไปทางหัวหน้าจี้"เจ้าเป็นหัวหน้าผู้คุมกองหน้ารักษาเมืองกระมัง? รักษาเมืองพั่วอวี้ หากวันใดมีคนบอกกับเจ้าว่า มีแม่นางจากเมืองต้าป่านคนหนึ่งผมเปียทั้งหนาทั้งยาว ดวงตางดงามยิ่ง นางยินดีนำเงินเป็นล้าน นำน้องสาวของนาง ขี่รถม้ามาแต่งกับเจ้า เจ้าจะเปิดประตูเหมืองให้พี่น้องนางถือดาบพุ่งเจ้ามาได้ไหม? หรือเจ้าจะระริกระรี้เปิดประตูเมือง?"

จี้เซิ่งหงคิดอยู่ในสมองหลายตลบจึงเข้าใจในวจีพจน์ของนาง ถลึงตาโกรธ"นี่พระสนมกำลังลบหลู่กระหม่อมอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมใช่คนที่ละทิ้งหน้าที่เพราะความงามหรือ? กระหม่อมมิใช่คนที่ไม่ใช้สมองเพราะความงามนะพ่ะย่ะค่ะ!"

โกรธก็ดี นางยังกลัวว่าเขาจะไม่โกรธ

โหลชีเห็นหน้าเขาแดงก่ำ ทั้งยังเพราะอารมณ์โกรธ นางจึงลุกขึ้นพลัน เหล่ล่างมองเขา ครั้งนี้ นางเก็บรอยยิ้ม มองเขาอย่างเย็นชาพลางเอ่ย"เช่นนั้นเจ้าคิดว่าฝ่าบาทเป็นคนเช่นนี้?" นางมองรอบๆ เห็นใบหน้าเหล่าขุนนางเปื้อนความผิดหวัง

"ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าแต่ละคนเป็นขื้นเสาแห่งแคว้น นี่พวกเจ้าตื่นเช้าเกินไป สมองยังอยู่ในผ้าห่มมิได้เอามาด้วยกระมัง?"

เยว่ได้ยินคำพูดนี้นางก็รู้ว่าไม่ดีแน่ นางโกรธแล้ว

โหลชีโกรธแล้ว ผลที่ตามมาหนักมาก

"ฝ่าบาทต่อสู้ได้เมืองพั่วอวี้นี้ สร้างตำหนักจิ่วเซียว พยายามเกณฑ์ทหารสร้างกองทัพ เพื่ออันใด? พวกเจ้าก็รู้จักดูดาราศาสตร์คำนวณวัน สร้างแคว้น สร้างแคว้นสร้างอย่างไร? แผ่นดินรกร้างพั่วอวี้ไพศาลใดเทียม อิทธิพลน้อยใหญ่กระจายอยู่ในนั้น ยามนี้เมืองพั่วอวี้แค่ถือว่าเป็นอิทธิพลที่กลุ่มใหญ่ที่สุดในนั้น การสร้างแคว้น ไม่นำทหารควบม้า แต่ต้อนสตรีทั้งหลายมาแทน ยึดครองเมืองหนึ่งก็กล่าวว่าสร้างแคว้น? หนึ่งกลุ่มอิทธิพลส่งลูกสาวมา เอ่ยเงื่อนไขใดก็รับปากหมด นี่เจ้าก็เรียกว่าสร้างแคว้น? คิดเพียงสินเดิมเจ้าสาวน้อยนิดของเขา หลักสำคัญพวกเจ้าเอาไว้ที่ไหนเสียหมด?"

"เมืองซง! เกายู่หู่ผู้นั้นสร้างหัวเมืองมาได้แล้ว! หัวเมืองใหญ่เพียงใด? มีประชากรเท่าไร? กำลังพลมีแค่สองสามหมื่นหรือมากกว่านั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่? เรื่องพวกนี้พวกเจ้าเคยสืบเสาะไหม? ยังอีก เขาบอกว่าต่อไปจะส่งบรรณาการมาทุกปี ส่งบรรณาการอะไร? ด้วยฐานะอะไร? ติดต่อเป็นเครือญาติ มือซ้ายไก่หนึ่ง มือขวาเป็ดหนึ่ง ตัวยังแบกเด็กอ้วนมาด้วยหรือ?"

โหลชียิ้มเย็นเอ่ย"ถึงตอนนั้น ทางนี้ส่งลูกสาวมาคนหนึ่ง สร้างแคว้นส่งบรรณาการ ทางนั้นส่งลูกสาวอีกหนึ่ง สร้างแคว้นส่งบรรณาการ สุดท้าย ผืนดินพั่วอวี้ยังคงเป็นร้อยตระกูลสร้างสม พั่วอวี้ยังคงเป็นหัวเมืองหนึ่ง บวกกับสนมเป็นเบือ! เจ้าสร้างแคว้นอะไร? ไยมิเรียกว่าเจ้าเมืองเสีย!"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ