ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 452

พวกเขาจัดการยอดฝีมือไปแล้วกว่าครึ่งค่อน ขณะที่เหลือประมาณไม่กี่สิบคน เฉิงสิบพบว่าโหลชีหายไปเสียแล้ว ไหนเลยจะสนใจการต่อสู้ หาโหลวซิ่นที่คุ้มครองอิ้นเหยาเฟิงอยู่ข้างกายตลอดแล้วฉุดออกมา อวิ๋นเห็นเข้าพอดีจึงตามออกจากค่ายกล

เห็นเงาร่างนั้นที่โดยสารราชันอินทรีมา อวิ๋นที่เป็นชายฉกรรจ์สูงใหญ่เช่นนี้ถึงกับน้ำตาร้อนคลอในพริบตา เดินขึ้นหน้าสองสามก้าว หอบสายลมคุกเข่าข้างหนึ่ง หัวเข่าประทับบนพื้น บังเกิดเสียงดังตึง เห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของหนักเพียงใด

"ข้าน้อยคารวะนายท่าน!"

เสียงนี้ของอวิ๋นปนความสะอื้น

เขาจากมานานขนาดนี้ ทุกครั้งที่ถึงวันที่สิบห้าล้วนนอนไม่หลับ คิดตลอดว่าคืนนี้นายกำลังทรมานอยู่ และไม่รู้ว่าพวกเยว่กับอิงคุ้มกันเขาได้หรือไม่ ขณะนั้นมักมีคนลอบทำร้าย หากสถานการณ์พิษกู่กำเริบวันที่สิบห้าเล็ดลอดออกไป นายท่านจะอันตรายเป็นอย่างมาก

อีกอย่าง ก่อนหน้านี้พวกเขาออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด ผ่านมรสุมหลายปีขนาดนี้ ครั้งนี้แยกจากกันนานขนาดนั้น เขาเผชิญความเป็นความตายอยู่ที่ทุ่งหญ้า มีครั้งสองครั้ง เขานึกว่าตัวเองจะไม่ได้กลับจงหยวนอีก ไม่ได้พบนายท่านอีก นาทีที่ได้พบกันอีกครั้งนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นจึงทะลักท่วมท้นออกมา

เฉินซ่าเดินเข้าใกล้เขา ประคองมือเขาด้วยมือหนึ่ง "ลุกขึ้น"

เขายังคงใจเย็นอย่างนั้น แต่จากการออกแรงจนขาวของข้อนิ้วมือของเขา อวิ๋นกลับรับรู้ได้ถึงสภาพจิตใจเขา กรอบตาร้อนอย่างห้ามไม่อยู่

ยามนี้ เฉินซ่าเห็นแผลเป็นของเขา

"เกิดอะไรขึ้น?"

หัวใจของเขาระส่ำ แผลเป็นเช่นนี้ จินตนาการได้ว่าแผลในตอนนั้นสาหัสและเจ็บมากแค่ไหน!

"ข้าน้อยไม่เป็นไรขอรับ!" อวิ๋นลุกขึ้นยืน

เฉินซ่ามองเขาลึกๆ แวบหนึ่ง เอ่ย "กลับไปค่อยคุยกัน!" เขาหันไปทางเฉิงสิบ "ชีชีล่ะ?"

เข้าไม่เห็นโหลชีตลอดทาง ในใจดุจแผดเผา แม้ได้พบอวิ๋นที่จากกันไปนาน ทว่าเวลานี้กลับไม่มีใจสนทนากันมาก

เฉิงสิบมองรอบทิศ คิ้วขมวดแน่น เขาไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่รู้แม่นางจากไปตั้งแต่เมื่อใดแล้ว และไม่รู้ว่าไปที่ไหน นี่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ของเขากับโหลวซิ่น!

เพียงแต่การแสดงออกนี้ของเขา ในสายตาของอวิ๋น ถึงดูออกถึงความกังวล แต่กลับเป็นความกังวลแบบนางในดวงใจ สมัยก่อนแม้เฉิงสิบจะโต้แย้งกับเขา แต่ความหมายในวาจาไม่แน่ชัด เขาจึงเห็นว่าสถานภาพสองคนนี้ห่างกันมาก เฉิงสิบถอยเล็กน้อย เวลานี้จึงอยากช่วยเขาสักหน่อย

บอกกับนายท่าน ไม่แน่ว่านายท่านจะสนับสนุน เฉิงสิบก็จะได้มีความกล้า คิดถึงตรงนี้แล้วเขาก็ดึงเฉิงสิบออก กล่าวด้วยความเร็วถึงที่สุด "ที่แท้นายท่านก็รู้จักแม่นางโหลผู้นั้นหรือขอรับ? ก่อนหน้านี้ข้าน้อยรู้สึกว่าเฉิงสิบหน้าตาคมสัน ไม่รู้ว่าสตรีเช่นไรจะคู่ควร ตอนนี้เขามีความสามารถ จึงเลือกสาวงามคนหนึ่งเอง แม่นางโหลยืนอยู่กับเขา เป็นคู่กิ่งทองใบหยกโดยแท้ เห็นชัดว่าบุรุษมีไมตรี ดรุณีมีใจ..."

คำกล่าวของเขายังไม่ทันจบ ก็เห็นโหลวซิ่นเบิกตาโพลง คางแทบจะกระแทกพื้นแล้ว เห็นเขามองมา โหลวซิ่นยังถอยไปหลายก้าวพรวด ทั้งยังหันไปมองเฉิงสิบ ในสายตานั้นเปี่ยมด้วยความเห็นใจและอาทร สีหน้านั้นเป็นความแตกตื่นเจือความวิตกกังวล

โหลวซิ่นเป็นอะไรไป?

ยังไม่ทันรอให้เขารู้ชัดว่าโหลวซิ่นเป็นอะไร เฉิงสิบกลับคุกเข่าลงพื้นข้างหนึ่ง เหงื่อกาฬถึงกับผุดขึ้นมาในพริบตาเดียว หลังเสื้อก็ซึมจนชื้น

อวิ๋นตะลึงไม่รู้ความเป็นไป มององค์จักรพรรดิที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมึงเย็นเยียบอย่างความรู้สึกช้า รังสีเหี้ยมเกรียมแผ่ซ่านทั้งตัว กำลังมองเฉิงสิบที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา

เสียงนั้นทุ้มหนักจนแทบจะกลั่นออกเป็นน้ำสีดำแล้ว พกพาความหนาวเหน็บไร้ขอบเขต ทำเฉิงสิบหนาวจนสั่นพั่บ "ชีชียืนกับเจ้าดุจคู่กิ่งทองใบหยก? บุรุษมีไมตรี ดรุณีมีใจ?" อึดใจหนึ่งเขาก็กล่าวอีกประโยค "ใครคือบุรุษ ใครคือดรุณี..."

หยดเหงื่อที่จอนผมเฉิงสิบรวมตัวแล้วไหลลงมา รีบกล่าว "ฝ่าบาท เป็นใต้เท้าองครักษ์อวิ๋นเข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของแม่นาง จะ...จะ..."

องครักษ์อวิ๋นกลับไม่เพียงเข้าใจผิด ทั้งยังจำต้องพูดว่าแม่นางกับเขายืนด้วยกันเป็นอย่างไรๆ แม้นไม่เข้าใจผิด แต่ถ้อยคำเช่นนี้ ถึงหูฝ่าบาทก็ต้องไม่ที่โปรดอย่างยิ่ง...

ในใจของฝ่าบาท ทั้งใต้หล้านี้ ที่สามารถยืนข้างแม่นาง เหมาะสมกับแม่นางก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น!

ดังนั้นคำพูดอธิบายนี้ของเฉิงสิบจึงพูดได้ยากเย็นเล็กน้อย

ยามนี้อวิ๋นมองออกถึงความผิดแผก เมื่อนั้นจึงขมวดคิ้ว แอบถอยไปอยู่ข้างโหลวซิ่นสองสามก้าว กระซิบถาม "แม่นางโหลเป็นผู้ใดกันแน่?"

โหลวซิ่นยิ้มเจื่อน เวลานี้ไหนเลยยังคิดปิดบังอีก? แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ก็เห็นฝ่าบาทสีหน้าเย็นเยียบทะยานขึ้นหลังเจ้าขาว พร้อมกันนั้นก็เรียกพวกเขา "ขึ้นมา!"

เจ้าขาวพุ่งขึ้นสู่เวหา บินร่อนอยู่กลางอากาศ อิ้นเหยาเฟิงและคนอื่นๆ ที่กำลังฆ่าคนอยู่เงยหน้าขึ้น ใบหน้าล้วนมีความปีติบางส่วน

เหตุใดฝ่าบาทถึงมาได้?

บนหลังกว้างของเจ้าขาว ยืนอยู่สี่คน พื้นที่กว้างมาก

อวิ๋นอยากรู้อยากเห็นกับจิ้งจอกม่วงและเจ้าขาวมาก ถอนใจชมเชยมากด้วย เพียงแต่เห็นรังสีความเหี้ยมบนใบหน้าและความเย็นชาทั้งตัวของฝ่าบาทแล้วก็ไม่กล้าพูดมาก ครั้นมองเฉิงสิบ เหงื่อกาฬนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไหลไม่หยุด

หยุด จะหยุดอย่างไร? ฝ่าบาทนั่นร้อนใจอยากตามหาแม่นางจึงไม่มีเวลาคิดเล็กคิดน้อยกับเขา รอให้ว่างก่อนเถอะ เขายังไม่รู้ต้องตายอีท่าไหนเลย!

เฉิงสิบราวกับเคี้ยวอึ่งน้อย ขมถึงที่สุด อดถลึงตาใส่อวิ๋นเป็นไม่ได้ สายตานั้นเป็นมีดก็ไม่ปาน

อวิ๋นลูบจมูก ไม่เข้าใจจริงๆ

ถึงเขาเดาได้ว่าโหลชีเป็นผู้หญิงของนายท่าน แต่คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะถูกนายท่านเอาใจใส่เช่นนี้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะหึงหวงเพราะคำพูดสองประโยคนั้น

ในหัวใจของใต้เท้าองครักษ์อวิ๋นที่จากไปนาน เฉินซ่ายังคงเป็นองค์จักรพรรดิที่โหดเหี้ยมเย็นชาผู้นั้น แม้ในดวงใจจะมีเงาของแม่นางน้อยนางหนึ่ง นั่นก็ต้องเป็นนางในฝันยามเด็ก ต่างจากไมตรีชายหญิงแบบนี้มาก สรุปแล้วอารมณ์ของฝ่าบาทจะไม่ไหวหวั่นเพราะผู้หญิงคนเดียวเด็ดขาด

จิ้งจอกม่วงฉลาดนัก มันคุ้นเคยกลิ่นของโหลชี ดังนั้นจึงเป็นมันสั่งการเจ้าขาว โดยตลอด ไม่นานพวกเขาก็เห็นบนรอยเลื่อนนั้น คนหลายสิบคนกำลังต่อสู้นัวเนีย บนพื้นมีซากศพนอนอยู่สิบกว่าศพแล้ว ที่ทำให้เฉินซ่าตื่นตระหนก ก็คือบนตัวคนเหล่านี้ล้วนมีบาดแผล มีคนจำนวนมากเสื้อผ้าเปื้อนเลือดสีแดงสด นี่เหมือนกับกองหน้าร้อยคนที่บาดเจ็บเลย นี่หมายถึงพวกเขาคิดค้นระเบิดร้อยทำลายได้แล้วจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ