"เป็นเช่นนี้จริงๆ มันช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่จะฆ่าราชันอินทรีหิมะ!"
ในห้องโถงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปมา
ตงสือยู่กล่าวต่อว่า "ได้ยินว่าฝ่าบาทมีความกล้าหาญ บางทีราชันอินทรีหิมะตัวนี้ก็เกิดมาเพื่อฝ่าบาท หากสามารถยอมจำนนต่อฝ่าบาทได้ นั่นก็เป็นเรื่องดียิ่งนัก ดังนั้นตงชิงของข้าจึงตัดสินใจ นำราชันอินทรีหิมะมามอบให้แก่ฝ่าบาท"
คำพูดนี้ของตงสือยู่ คนอื่นกลับฟังไม่ได้ความอะไรเลย เพราะความคิดของพวกเขาต่างก็อยู่ที่ตัวของราชันอินทรีหิมะนั้นแล้ว และไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่คนที่อยู่ในพั่วอวี้คงไม่มีทางที่จะไม่สนใจ
ตงสือยู่เน้นย้ำถึงความห้าวหาญของเฉินซ่ามาตลอด ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงไม่สามารถทำให้ราชันอินทรีเชื่องได้ ไม่ใช่ว่าเขามีชื่อเสียงในความกล้าหาญหรอกหรือ?
สีหน้าขององครักษ์เยว่พลันหม่นหมองลงทันที และมองไปที่ตงสือยู่อย่างครุ่นคิด
เป็นดังคาด ได้ยินเพียงตงสือยู่กล่าวอีกว่า "ฝ่าบาท สือยู่มีคำขอที่ไม่สมเหตุผล เพราะราชันอินทรีหิมะดุร้ายผิดปกติ ตงชิงข้าไม่มีผู้ใดทำให้เชื่องได้ สือยู่รู้สึกเสียดายมาก คิดเพียงว่าจะสามารถได้เห็นมันเมื่อถูกฝึกให้เชื่องได้ ขอเชิญฝ่าบาทมาลองฝึกราชันอินทรีให้เชื่องในที่นี้ได้หรือไม่? เพื่อให้สือยู่และทุกท่านได้เปิดหูเปิดตา"
โหลชีมองไปที่ตงสือยู่เช่นกัน
ฝึกให้อินทรีเชื่องต่อหน้าทุกคน?
ได้ยินมาว่าราชันอินทรีหิมะนั้นดุร้ายไม่มีอะไรจะเทียบได้ อีกทั้งยังมีนิสัยความเป็นราชาโดยธรรมชาติ สำหรับคนที่ต้องการที่จะฝึกมันให้เชื่องย่อมมีเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์อย่างยิ่ง และเกือบจะใช่ที่ว่าเกิดมาเพื่อเป็นอมตะ
เพราะความแข็งแกร่งของเขา หากไม่สามารถฝึกมันเชื่องได้ นั้นก็มีเพียงสองจุดจบ หนึ่งคือตาย สองคือครึ่งตาย ดังนั้นจึงไม่มีใครจะสามารถเพียงแค่ลองหลังจากนั้นก็ถอยไปโดยทั้งตัวไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ตงสือยู่ต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะรับมือกับราชันอินทรี ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไม่รู้ถึงจุดจุดนี้ นอกจากนี้พวกเขาก็ได้พยายามทำให้ราชันอินทรีเชื่องแล้ว ตอนนั้นจะต้องมีคนบาดเจ็บมากมายเพราะการฝึกราชันอินทรีให้เชื่องอย่างแน่นอน และตงสือยู่ไม่มีทางที่จะไม่รู้ ดังนั้นคำขอของเขานี้ มีเจตนาที่ยากจะหยั่งรู้ได้ แต่ในจุดนี้ โหลชีเชื่อว่ามีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ เพราะเท่าที่นางรู้ไม่มีใครเคยจับราชันอินทรีหิมะตัวเป็นๆ ได้ รวมทั้งฝึกมันให้เชื่องด้วย แน่นอนว่านักพรตเลวรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน
สรุปก็คือ ตอนนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ คนอื่นๆ รู้แค่ว่าราชันอินทรีหิมะนั้นยากที่จะเชื่อง และเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ชัดเจนขนาดนี้
แม้แต่อิง ก็ยังเปิดเผยความงงงวยเล็กน้อย นี่แสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถทดลองได้ และไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน เพียงแค่กลัวว่าเฉินซ่าจะทำให้มันเชื่องไม่ได้และได้ทำลายชื่อเสียงของเขาเท่านั้น
แต่พวกเขาล้วนแล้วแต่ใช้เฉินซ่าเป็นหลัก แน่นอนว่าต้องคิดแทนเขามากกว่า ในพั่วอวี้ยังมีคนอื่นอยู่ เช่น หัวหน้าที่ติดตามอดีตเจ้าเมืองก็เหมือนกับกัวเฟิ่งผู้นั้น สิ่งที่พวกเขาอยากได้รับมากกว่าคือการประกาศศักดินาของพั่วอวี้มากกว่า ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หวังว่าเฉินซ่าจะลองดูสักครั้ง ใบหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความกระตือรือร้นออกมา
แม้ว่ากัวเฟิ่งจะถูกเฉินซ่า ตบออกไปและได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าราชันอินทรีหิมะจะดุร้ายแค่ไหน เพียงแค่คิดว่า ถ้าเขาสามารถทำให้ราชันอินทรีหิมะเชื่องได้ เขาจะต้องมีชื่อเสียงไปทั่วล้า ชื่อเสียงของเขา ใต้ล้าจะมีใครที่จะไม่รู้จัก? เมื่อจิตใจหุนหันพลันแล่น เขาก็ก้าวออกมา เดินมาถึงห้องโถง คุกเข่าลงข้างหนึ่งให้เฉินซ่า "ฝ่าบาท ข้าน้อยยินดีจะลองดูพ่ะย่ะค่ะ!"
"ฝ่าบาท ข้าน้อยก็ยินดีจะลองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"
พ่อบ้านใหญ่อีกคนที่ปกติไม่ค่อยจะเข้ากันได้กับเขาก็เดินออกมาแล้ว และอาสารับคำท้าเอง
ในเวลานี้ องค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชางก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน กล่าวกับเฉินซ่าว่า "ฝ่าบาท ถึงอย่างไรฝูหรงก็มาถึงพั่วอวี้แล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบสิ่งที่วิเศษเช่นนี้ ก็อยากลองดูสักครั้ง"
ทุกคนต่างฮือฮา และทั้งหมดล้วนมองไปที่นาง
องค์หญิงที่งดงามและละเอียดอ่อนเช่นนี้ ถึงกับต้องการฝึกราชันอินทรีหิมะหิมะให้เชื่องเชียวหรือ?
องค์หญิงรองยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า "ไม่ปิดบังฝ่าบาท เสด็จพี่ของข้าชอบสัตว์ป่ามาตั้งแต่เด็ก ยิ่งดุร้ายมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น ในเป่ยชางนางเคยฝึกเสือโคร่งให้เชื่องมาหลายตัวแล้ว อยู่ที่วังหลวง ก็มีเสือหิมะตัวหนึ่งเป็นพาหนะพิเศษของนาง ช่างน่าเกรงขามมาก!"
มีเสียงที่ไพเราะขององค์หญิงรองดังขึ้น ทำให้ความจริงจังลดลงเล็กน้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอากาศเริ่มหวานขึ้น
"โอ้? ดูไม่ออกเลยว่า องค์หญิงใหญ่จะมีทักษะวิชาเทพเช่นนี้" เฉินซ่ากล่าวขึ้น
"ทักษะวิชาเทพมิกล้ารับ แต่ฝูหรงมีวาสนากับสัตว์ป่ามาตั้งแต่เด็กเท่านั้น" องค์หญิงใหญ่กล่าว
เฉินซ่ามองไปที่ตงสือยู่และกล่าวว่า "มิทราบว่ายู่ไท่จื่อมีเจตนาอย่างไร?"
ตงสือยู่ยิ้มและพยักหน้า "แน่นอนว่าสือยู่ไม่มีความเห็นใดๆ แต่ราชันอินทรีดุร้ายมาก ขอให้ทุกท่านโปรดระวังตัวด้วย"
กัวเฟิ่งและหัวหน้าอีกคนเผยสีหน้าที่มุ่งมั่นได้ในเวลาเดียวกัน
"เพียงแต่ว่า ห้องจัดเลี้ยงนี้เล็กเกินไป ไม่สะดวกที่จะฝึกราชันอินทรีให้เชื่อง คงต้องขอเชิญทุกท่านย้ายออกไปนอกห้องเถิด" ตงสือยู่กล่าวอีกครั้ง
เมื่อเฉินซ่าออกคําสั่ง ทุกคนก็เดินออกจากห้องจัดเลี้ยง และเดินไปที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ด้านนอก
โคมไฟในพระราชวังสว่างไสว ทำให้สวนสว่างเหมือนช่วงกลางวัน ทุกคนยืนอยู่ในทางเดินที่กลับรูป โดยมีองครักษ์ถือดาบยืนอยู่ใต้ทางเดินเพื่อปกป้องทุกคน และเพื่อป้องกันไม่ให้ราชันอินทรีเกิดความดุร้าย แล้วไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์
"ราชันอินทรีนั้น เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?" โหลชีอยู่บนเสากำลังเตรียมตัวที่จะเริ่มดูการแสดง นางยังกำลังคิดอยู่ว่าจะให้เอ้อร์หลิงไปเอาเมล็ดแตงออกมา จากนั้นได้ยินเสียงเฉินซ่าดังขึ้นข้างหูของนาง และในเวลาเดียวกัน ได้มีความอบอุ่นติดอยู่ที่ด้านหลัง
คนผู้นี้ ยืนอยู่หลังนาง ยังโอบนางเอาไว้ ความสูงของเขา ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กมาก
ให้บ้าเถอะ พูดก็พูดนะ ยืนก็ยืนสิ อย่าสนิทกันแบบนี้ได้ไหม? ไม่เห็นสายตาขององครักษ์เสวี่ยที่พร้อมจะแล่เนื้อเถือหนังนางไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ