โหลชีเห็นสีหน้าของเขา ก็รีบยื่นมือไปจับข้อมือเขา เฉินซ่าขมวดคิ้ว แต่ก็รู้ว่านางต้องสังเกตเห็นอะไรผิดปกติแน่นอน เลยมิได้ห้ามนาง
แต่เฉิงสิบกลับอดไม่ได้ที่จะมองไปดูที่เขา และประหลาดใจเล็กน้อย
ฝ่าบาทห้ามให้แม่นางแตะต้องผู้ชายที่นอกเหนือจากเขา แต่เห็นว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้พูดอะไร เขาก็เกิดความสงสัย ตัวเองดูถูกฝ่าบาทเกินไปหรือเปล่า
"แม่นางขอรับ ข้าน้อยมิได้ป่วยเหมือนพวกเขา มิได้......"คำว่าอาเจียนและท้องเสียเขามิกล้าพูดออกมา กลัวจะไปรกหูของแม่นาง
"ข้ารู้"โหลชีเก็บมือกลับมา แต่สีหน้ากลับแย่กว่าเดิมอีก"กระโจมอยู่ตรงไหนหรือ?"
"อยู่ฝั่งนี้"เฉินซ่าดึงมือนางแล้วเดินไป
โหลชีให้เฉิงสิบตามมา จิ้งจอกม่วงกระโดดขึ้นบนไหล่ของเฉิงสิบ และเอาหน้าไปถูเขา อยู่ๆเฉิงสิบก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นมา ถึงแม้เมื่อก่อนตอนที่วู๊วูไม่สามารถนอนอยู่ในอ้อมแขนของแม่นางก็จะอยู่กับเขาเป็นส่วนใหญ่ แต่มิเคยมีท่าทางที่สนิทสนมแบบนี้มาเสียก่อน มันเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก อยู่ๆก็ผิดปกติเช่นนี้ เว้นแต่ว่า......เป็นการสงสารเขา
แต่เขามีอะไรที่ทำให้วู๊วูสงสารล่ะ?
หรือว่าเขาก็ป่วยเหมือนกัน ป่วยแบบรักษาไม่ได้อย่างงั้นหรือ?
ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่ เฉิงสิบก็ตามเข้าไปในกระโจมของเฉินซ่า
จริงๆแล้วการสู้รบมาหนึ่งเดือน ก็ทำให้ทหารในกองทัพของเฉินซ่าเกิดความมั่นใจในตัว ถ้ารอบนี้ที่โจมตีเขาซงซานยังใช้ความมั่นใจแต่เดิม ก็ต้องชนะแน่ๆ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเฉินซ่าแค่ออกไปคืนเดียว ในกองทัพก็เกิดโรคแบบนี้ขึ้นมา
เนื่องจากมีหมอเทวดา ทำให้ฝีมือทางการแพทย์ของหมอหลวงและหมอทหารของพั่วอวี้ดีกว่าแคว้นอื่นหน่อย และตอนนี้หมอเทวดาก็มีสวนยาที่ใหญ่มาก และโหลชีก็ได้ให้ยาระดับดีไปมากมาย ภายใต้การชี้แจงของโหลชี พวกเขาก็ได้นำยามาทำเป็นยาเม็ด เอาไปให้ทหารที่สนามรบกิน ทั้งพกพาสะดวกและมีประสิทธิภาพด้วย เดิมทีกองทหารมีความเชื่อมั่นในตัวหมอทหาร แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าโรคร้ายในครั้งนี้ หมอทหารสามคนล้วนไม่มีวิธีใดๆเลย!
พอสองเรื่องนี้เกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน ก็ทำให้จิตใจของทหารในกองทัพทรุดโทรมลง
หลังจากเฉินซ่าทำความเข้าใจกับสถานการณ์แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น
วันนี้ทั้งวันเขาไม่สามารถห่างจากโหลชีได้ ดังนั้นหลังจากที่เข้ากระโจมเขาก็เรียกองครักษ์อิงมาสอบถาม ส่วนโหลชีก็มีแต่ต้องพิงอยู่ข้างเขาแล้วทำการตรวจสอบให้เฉิงสิบ เลยได้ยินคำพูดของอิงด้วย
"ดูเหมือนว่าไอ้เกายู่หู่ก็มีวิธีการมิใช่น้อยเลยนะ"
เกาอินอินที่ถูกกระชากเข้ามาแล้วโยนใส่พื้นนั้นก็อ้าปากหัวเราะออกมา พูดด้วยเสียงที่อ่อนแอ"พวกเจ้าอย่านึกนะว่า จับตัวข้าไว้ก็สามารถเอาชนะท่านพ่อของข้าได้ ท่านพ่อของข้ามีลูกน้องที่มีความสามารถอยู่มากมาย พวกเจ้าล้วนต้องตาย ณ เขาซงซาน!"
โหลชีเลิกคิ้ว"พวกเรากลัวอยู่นะ"
ถึงแม้นางพูดอย่างสบายๆ แต่เฉิงสิบที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ได้เห็นความเครียดที่ปรากฏในดวงตาของนาง อยู่ๆเขาก็เกิดความเครียดขึ้นมาตาม คิดว่าตัวเองน่าจะป่วยหนักอยู่
"พานางลงไป"เฉินซ่ากวาดไปที่เกาอินอินตาหนึ่ง ทันทีก็มีทหารออกมากระชากนางออกไป
อยู่ๆโหลชีก็ยื่นฝ่ามือตีเข้าท้ายทอยของเฉิงสิบ
ถึงแม้เฉิงสิบก็สังเกตได้ว่านางจะลงมือต่อตัวเอง แต่เนื่องด้วยความเชื่อใจที่มีต่อนาง ทำให้เขาไม่มีการต่อด้านใดๆ เลยถูกนางตีเข้าท้ายทอยจนกระทั่งสลบไป
โหลชีใช้มือข้างหนึ่งรับเขาเอาไว้ แล้วให้เฉินซ่าลุกขึ้น"ท่านอุ้มเขาขึ้นไปบนเตียง"
ให้เขา?อุ้มเฉิงสิบ?
เฉินซ่าทำหน้าบึ้งตึง
อิงรีบเดินขึ้นไปข้างหน้า"ข้าน้อยอุ้มเฉิงสิบไปเถอะขอรับ"
"เจ้าไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ห่างหน่อย"โหลชีหลบตัวเขา เงยหน้าเห็นเฉินซ่าทำหน้าบึ้งตึง เลยกล่าวอธิบายว่า"เฉิงสิบติดเชื้อแล้ว ถ้าสัมผัสกันเชื้อแบบนี้ก็จะแพร่ระบาด องครักษ์อิงยังไม่ได้ติดเชื้อ"
อิงรีบร้อนมาก"แล้วทำไมพระสนมถึง......"ถึงไปจับเฉิงสิบ แถมยังให้นายท่านอุ้มเขาอีก
โหลชีทำตาขาวใส่เขา"ข้ากับนายท่านของพวกเจ้าไม่กลัวหรอก"
พวกเชื้อต่างๆ เมื่อเผชิญกับนางแล้วล้วนไม่ได้เรื่องเลย ตั้งแต่เด็กนางมิเคยเป็นหวัดสักครั้งเลย ส่วนเฉิงซ่า พิษกู่ในร่างกายน่ากลัวกว่าเชื้อพวกนี้อีก
เฉินซ่าทำหน้าบึ้งตึงแล้วอุ้มเฉิงสิบขึ้นมา โหลชีวางมือบนไหล่ของเขาแล้วเดินไปที่เตียงใหญ่ตามเขา นางใช้มือแตะจมูกด้วยจิตสำนึก ไม่น่าทำไมเฉินซ่าถึงทำหน้าบึ้งตึง เพราะเขาดูร่างใหญ่ แข็งแรงดุจขุนเขา บุคลิกท่าทางเต็มไปด้วยความเป็นผู้ชาย ส่วนเฉิงสิบเดือนนี้ผอมลงหน่อยเพราะอยู่แต่ในกองทัพ แถมตอนนี้ยังป่วยอีก หน้าซีดมาก เพิ่มความอ่อนช้อยในตัวเขา พอถูกเฉินซ่าอุ้มขึ้นมาแล้วเดินไปที่เตียงใหญ่แบบนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึก......
ชายชาย
แค่กๆๆ
โหลชีเกือบจะขำตายเพราะฉากที่ตัวเองกำลังจินตนาการอยู่ พอฟื้นสติกลับมา เฉินซ่าก็ได้วางเฉิงสิบไว้บนเตียง กำลังจ้องมองนางด้วยสีหน้าที่แย่มาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ