โหลชีกลับไม่พูด อย่างกับไม่ได้ยินถ้อยคำเขาอย่างนั้น
ตอนนี้ พวกอวิ๋นก็มาถึงแล้ว ครั้นเห็นสภาพการณ์เบื้องหน้าก็ผงะ
"ใต้เท้าองครักษ์อวิ๋น!"
จู่ๆ ในรถม้าคันที่สองกลับมีคนกระโดดลงมา เลิกกระโปรงสูงขึ้นนิดหน่อย วิ่งมาทางนี้ อามู่มองไปทางดรุณีน้อยนามนั้นเป็นคนแรก สีหน้าตะลึงงัน
นั่นเป็นดรุณีพริ้มเพราน้อยนามหนึ่ง แต่ความงามของนางไม่ใช่งามอย่างเฉิดฉายแบบนั้น แต่เป็นคิ้วโค้งๆ นัยน์ตายิ้มแย้มนุ่มนวลน้อยๆ จมูกโด่งกระจุ๋มกระจิ๋ม มุมปากที่ยกขึ้นเป็นธรรมชาติมีลักยิ้มเล็กๆ สองข้าง
ในยุคปัจจุบัน นั่นเป็นดวงหน้าชนิดที่เหมาะแก่การประคบประหงมจนเป็นโรคเจ้าหญิง อ่อนหวาน แต่ไม่เลี่ยน สดใส แต่ก็มีความน่ารัก
โหลชียังอดถอนหายใจชื่นชมเสียงหนึ่งเป็นไม่ได้ ช่างเป็นหญิงงามเฉลาคนหนึ่ง
และหญิงงามเฉลาผู้นี้กำลังยืนสะโอดสะองอยู่ตรงหน้าอวิ๋น จากนั้นรอยยิ้มเสน่หาก็ราวกับถูกดับมอดไป พริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจหวาดกลัวและเจ็บปวด นางสั่นระริกยื่นมือไปทางอวิ๋น น้ำตาในดวงตาก่อตัวขึ้นพลัน แพล็บเดียวก็ร่วงหล่นเป็นสาย เห็นนางอย่างนี้แล้ว แม้แต่โหลชีกับอิ้นเหยาเฟิงที่เป็นสตรีเพศยังสงสารอยู่นิดๆ
ทุกคนในที่นั่นชะงักงันเล็กน้อย อวิ๋นก็สะดุดด้วย มือของนางลูบรอยแผลของเขาแล้ว ทันทีที่อามู่ได้สติก็จับมือนางขวับ เอ่ยตำหนิ "เจ้าคิดจะทำอะไร?"
เสียงนี้ถึงทำให้ทุกคนรู้สึกตัว
โหลชีเกิดความสนใจขึ้นพลัน กระตุกแขนเสื้อเฉินซ่ากระซิบ "มีรักสามเส้าให้ดูแล้ว! สาวงามผู้นี้คือใครกัน?"
เฉินซ่าพูดไม่ออก รักสามเส้า? นางตื่นเต้นขนาดนี้? นี่มันความชอบไร้สาระอะไรกัน?!
"หญิงอัปลักษณ์ขนาดนี้ ข้าจะสนใจว่านางเป็นใครทำไมกัน?"
"นี่ยังอัปลักษณ์? ข้าว่านางเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่ข้าเห็นตั้งแต่มาที่นี่แล้วนะ" โหลชีเอ่ย น่าหลานฮั่วซินกับซู่หลิวอวิ๋นย่อมงาม แต่คนหนึ่งโหดร้ายชัดเจน อีกคนก็ยั่วยวนลับๆ แน่นอนว่าต้องทำลายความงามไป เป่ยฝูหรงก็สวย แต่ความสูงศักดิ์มากเกินไป ในทางกลับกันความสดใสก็น้อยลงบางส่วน
แต่นางผู้นี้เหมาะเจาะลงตัว
"คนนี้อัปลักษณ์เกินไป สตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น คืนนี้ค่อยให้เจ้าดู" จู่ๆ เฉินซ่าก็พูดมาประโยคหนึ่ง
โหลชีชะงักงัน เคลื่อนสายตาจากดวงหน้าสาวงามมาที่ใบหน้าเขา นี่หมายความว่าอะไร? หรือว่าเขาเวิ่นเทียนยังมีสาวงามอีก?
สตรีที่เรียกว่าสวยที่สุดในใจเขาเป็นอย่างไรกัน?
ทันใดนั้นโหลชีก็ปวดใจนิดๆ เห็นเขาขัดหูขัดตาอีกแล้ว "เช่นนั้นหรือ? ได้สิ คืนนี้ข้าจะรอพบสตรีที่งามที่สุดคนนั้นของฝ่าบาทสักหน่อย" ว่าแล้วนางก็ฮึดฮัดเบนสายตาไปดูเรื่องสนุกทางนั้น
เฉินซ่ามองนาง ในดวงตาแวบรอยยิ้มสายหนึ่ง
"เจ้ายังเป็นผู้หญิงอีกหรือไม่ ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน เข้าใจไหม?" อามู่หน้าบึ้งมองดรุณีน้อยนามนั้น
ดรุณีน้อยมองทางนางน้ำตาคลอเบ้า "พี่ชายท่านนี้ ในเมื่อชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัว เช่นนั้นทำไมท่านยังจับมือข้าไม่ปล่อยเล่า?"
อามู่สะอึก สะบัดมือนางทิ้ง
อวิ๋นดึงนางไปข้างหลัง ประสานหมัดกับดรุณีน้อยนามนั้น "คุณหนูรองชิว อามู่ไม่มีเจตนา โปรดอภัยด้วย"
ดรุณีน้อยผู้นี้คือคุณหนูรองชิวแห่งอุทยานเขาธนูเทพ ต่างจากชิวชิ่นซูที่เป็นบุตรอนุ นางเป็นบุตรสาวคนรองในภรรยาเอก
คุณหนูรองชิวส่ายหน้าแสดงออกว่าไม่ใส่ใจ แต่กลับร้องไห้กระซิกมองรอยแผลของเขา เอ่ยเสียงสั่น "ใต้เท้าองครักษ์อวิ๋น นี่ท่านเป็นอะไรไป? บาดเจ็บหนักขนาดนี้ เจ็บไหม?"
แต่นางกลับไม่ได้ยื่นมือออกไปลูบรอยแผลนั้นอีก
จะว่าไป ตั้งแต่กลับมาจากทุ่งหญ้าแผลรอยนั้นของอวิ๋นก็อาการหนักขึ้นมาก มีเนื้อร้ายสีแดงปลิ้นออกมา ทำให้รอยแผลน่าเกลียดหนักกว่าเดิม
ระยะนี้เฉินซ่าไม่ได้สังเกต ตอนนี้เมื่อคุณหนูรองชิวพูดถึงเขาก็มองตามไปดูหนหนึ่ง หัวคิ้วขมวดขึ้น ถามพลัน "ชีชีมีวิธีรักษาบาดแผลของอวิ๋นได้ไหม?"
โหลชียังไม่สบอารมณ์ ได้ยินแล้วจึงเอ่ย "กลางคืนข้าจะตรวจให้องครักษ์อวิ๋น"
เฉินซ่ากลับฟังไม่ออกว่ามีอะไรไม่เหมาะ
อวิ๋นจัดการกับคุณหนูรองชิวทางนั้นเรียบร้อยแล้ว กับหลานสาวที่มีกิริยาไม่ค่อยเหมาะสมกับพิธีรีตองเจ้าบ้านสามชิวก็ไม่ค่อยพอใจมาก กึ่งตำหนิกึ่งปลอบให้นางขึ้นรถม้า แล้วถึงเชิญเฉินซ่านั่งรถม้ากับพวกเขา
ทีแรกเฉินซ่าไม่อยากนั่งรถม้าของพวกเขา แต่เปลี่ยนความคิดกะทันหัน ตอบตกลง แต่มีรถม้าเพียงสองคัน เขาพาโหลชีขึ้นรถม้าคันแรก
รถม้าของอุทยานเขาธนูเทพย่อมไม่หรูหราแต่เพียงภายนอก ด้านในก็อลังการถึงที่สุดเช่นกัน ในรถม้าโออ่าสามารถนั่งได้สิบคน แต่ตอนนี้นั่งอยู่เพียงหกคน
เฉินซ่ากับโหลชีนั่งฝั่งหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นเจ้าบ้านสามชิวและฮูหยินของเขา ส่วนอิ้นเหยาเฟิงก็นั่งข้างผ้าม่านกับสาวใช้คนหนึ่ง
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของฮูหยินสามชิวจะดูสง่า แต่สายตาที่แอบชำเลืองมองเฉินซ่าเป็นพักๆ อย่างนึกว่าไม่มีใครสังเกตกลับเผยความไม่สง่างามของนางออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
รถม้าแล่นต่อไปด้านหน้า เจ้าบ้านสามชิวพยายามหาเรื่องพูด แต่เฉินซ่าไม่ค่อยสนใจ เช่นนี้สองสามครั้งแล้ว เขาก็ไม่เปลืองแรงอีก เพียงแต่ความโมโหในดวงตากลับเด่นชัดมากขึ้นอีกหน่อย
"ฝ่าบาท เชี่ยเซินได้ยินว่า..."
ฮูหยินสามชิวผู้นั้นกว่าจะฮึดความกล้าอยากพูดสักประโยค แต่เพิ่งเปิดปากก็ถูกเฉินซ่าตัดบทด้วยความรังเกียจเสียแล้ว
"อย่ามาเรียกตัวเองว่า 'เชี่ยเซิน' ต่อหน้าข้า เจ้าเป็นเชี่ยของผู้ใด?"
สีหน้าฮูหยินสามชิวแดงอย่างตับหมู เจ้าบ้านสามชิวก็โมโหควันพุ่งด้วย
ตลอดทางจึงไม่มีใครพูดอีก
แต่รถม้าคันที่สองกลับไม่เคยหยุด เพื่อให้อามู่ได้ขึ้นรถม้า อวิ๋นจึงบอกความเป็นสตรีเพศของนาง
หลังจากขึ้นรถม้า คุณหนูรองชิวก็แปลกใจกับนางมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ