เขาเวิ่นเทียนเงียบสงัดมาก ความเงียบนี้ยาวนานจนถึงหลังเที่ยง จู่ ๆผู้อาวุโสใหญ่ก็สั่งคนให้มาเชิญพวกเขาไปที่สนามประลองยุทธ์กลางแจ้งแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนชิงอี้ ตอนพวกเขามาถึง คนในสนามประลองมากันครบแล้ว ศิษย์และสาวใช้เขาเวิ่นเทียนแบ่งแยกกันยืนอยู่รอบนอก มีประมาณสองร้อยคน
พอเห็นจำนวนคนแต่ละฝ่ายบนสนามประลอง เฉินซ่ากับโหลชีพร้อมใจแค่นยิ้มเย้ยหยัน
ตอนนี้คนไม่มาก ต่างพากันซ่อนตัวรอออกมาโจมตีพวกเขาในทีเดียวเลยงั้นสิ? หัวหน้านำกลุ่มของเขาปี้เซียนแน่นอนว่าคือนางฟ้าเมิ่งปี้จิ่งเมิ่ง ยังมีจิ่งหยาว พาศิษย์หญิงมาแปดคน อุทยานเขาธนูเทพก็เป็นแค่คนพวกนั้นที่พวกเขาเจอเมื่อวาน เจ้าบ้านสามชิวและภรรยาเห็นสีหน้าพวกเขาไม่ค่อยดีนัก แต่อาจเพราะเวลานี้ไม่ค่อยเหมาะสม ดังนั้นเลยเบนสายตาออกไป ไม่ได้เข้ามาพูดเรื่องชิวชิ่นเซียนกับพวกเขา
พวกเขาเฉินอวิ๋นที่มาเป็นศิษย์แปดคนและพ่อบ้านที่มีอายุหน่อยสองคน แต่ที่ทำให้โหลชีประหลาดใจคือ ซู่หลิวอวิ๋นก็มาด้วย
นางใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาวพระจันทร์ขอบม่วงชมพู แต่งทรงผมอย่างง่าย เพียงปักปิ่นสีขาวหยกอันเดียว สีหน้าซีดเผือด สายตาเหม่อลอยเล็กน้อย เอนพิงพนักพิงเก้าอี้ ท่าทางอ่อนแอดูน่าสงสาร อ่อนแอและเศร้าหมอง แค่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ดึงดูดความเห็นใจจากเกือบทุกคนในที่นั้นแล้ว
ซู่หลิวอวิ๋นมองมาทางเฉินซ่า ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย มีน้ำตาคลอเบ้าอย่างรวดเร็ว คล้ายจะหยดลงมา หากนางพลันก้มหน้าลง มือน้อยบางปิดปาก ท่าทางเศร้าโศกน่าสงสารถึงขีดสุด
ผู้ชายธรรมดาเห็นสาวงามเป็นแบบนี้ ต้องปวดใจมากแน่ โหลชีเลิกคิ้วมองเฉินซ่า กลับเห็นเขามองตนอยู่ อดตะลึงไม่ได้ "มองข้าทำไมกัน?"
"ล้างตา" เขาพูดเสียงเรียบ
โหลชีตอนแรกไม่เข้าใจ พอได้สติกลับมาก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างทนไม่ไหว ละครฉากนี้ของนางฟ้าหลิวอวิ๋นนี่เสียเวลาเปล่าละ สำหรับท่านนี้กลายเป็นเพียงแค่ดูสิ่งที่น่ารังเกียจสิ่งหนึ่ง บางครั้งเฉินซ่าช่างร้ายกาจนัก และยังใจดำใจแข็งอีกด้วย ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นสาวงามที่มีใจรักใคร่เขาคนหนึ่งนะ
"ฝ่าบาทมากับพระสนมแค่สองคน..." สาวใช้ที่นำพวกเขามายังสถานที่นี้ออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาแค่สองคน ไม่เอาใครมาเลย? โหลชีกับเฉินซ่าไม่ได้พูดอะไร นั่งลงอย่างสบายใจ ไม่เห็นสายตาผู้คนที่รายล้อมเต็มพื้นที่นี้อยู่ในสายตาเลย
"ผู้อาวุโสมาถึงแล้ว"
เสียงหนึ่งดังขึ้น มีคนกลุ่มหนึ่งเดินนำมาจากอีกด้าน คนเดินนำหน้าเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาในชุดเสื้อคลุมแขนกว้างสีเขียวท้องฟ้า ดูแล้วไม่น่าจะถึงสี่สิบ เวลาเดินชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหว ดูแล้วมีความเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอยู่บ้าง
"ไม่กระมัง นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่?" โหลชีตกใจมาก นางคิดว่าผู้อาวุโสใหญ่น่าจะดูแล้วแก่ และต้องเป็นคนแก่ที่เจ้าเล่ห์มาดร้ายถึงจะถูก ทำไมถึงเป็นคุณลุงหน้าตาหล่อเหลาออร่าเจิดจ้าแบบนี้ได้ล่ะ?
เฉินซ่ายิ้มมุมปาก "เจ้าคิดว่าเหตุใดในโลกจึงมีคำว่า 'แสร้งว่าเคร่งขรึมและจริงจัง'อยู่ล่ะ?"
ด้านหลังผู้อาวุโสใหญ่ยังมีคนแก่หลายคน จุดไท่หยางเต้นตุบๆ ดูท่าจะเป็นผู้อาวุโสคนอื่นของเขาเวิ่นเทียน แต่ผู้อาวุโสสามฟ่านฉางจื่อกลับโดนศิษย์สองคนหิ้วไว้ และลากเข้ามาอย่างน่าอนาถ จากนั้นก็เป็นสาวใช้สองคนหามพยุงน่าหลานฮั่วซินที่เหม่อลอยไร้สติเข้ามา
ไม่เหมือนกับภาพพจน์เมื่อคืนที่ดูเย้ายวนชวนหลงใหลในศาลากระจกเลย นางในตอนนี้สูญเสียสีสันไปหมด สองตาบวมเป่ง เลื่อนลอย ริมฝีปากแตกหลายที่ ยังมีรอยเลือดเกรอะกรังอยู่
น่าหลานฮั่วซินแบบนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างสะท้านเยือก ข้างกายน่าหลานฮั่วซินยังมีสตรีงดงามผู้หนึ่งสีหน้าเรียบเฉย มีออร่าโดดเด่น แต่โหลชีรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูคล้ายกับซู่หลิวอวิ๋นหลายส่วน ในจังหวะที่นางสงสัยขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นก็มองไปทางซู่หลิวอวิ๋น สายตาทอประกายเศร้าโศกอย่างแรงกล้า
"นั่นคือเหยาซู่" เฉินซ่าพูดขึ้นเสียงเรียบ
เหยาซู่ อนุของผู้อาวุโสใหญ่ อาหญิงของซู่หลิวอวิ๋น ผู้หญิงที่เคยช่วยเฉินซ่าไว้ตอนนั้น โหลชีเลิกคิ้วมอง
นอกจากคนพวกนี้แล้ว ยังมีอีกหลายคนที่พวกเขาไม่รู้จัก น่าจะเป็นคนของตระกูลต่างๆพวกนั้น
ทุกคนพากันกระซิบกระซาบคุยกับเสียงต่ำ เรื่องเมื่อคืนแพร่ออกมาแล้ว ถ้าวันนี้ไม่จัดการ ดูท่าจะยิ่งลืออย่างน่าเกลียดมากขึ้น ดังนั้นผู้อาวุโสใหญ่เลยได้แต่ถ่วงเวลามาถึงเวลานี้
โหลชีแทบอดใจรอดูเหตุการณ์ต่อไปเลย นางหันถามสาวใช้ข้างหลังว่า "มีเมล็ดทานตะวันไหม?"
สาวใช้อึ้งถาม "เมล็ดทานตะวัน?"
"ไม่มี งั้นป๊อบคอร์นล่ะ?"
"ป๊อบคอร์น?"
สาวใช้เหมือนกลายเป็นเครื่องทวนคำ ดูงงๆอึ้งโง่ไปเลย
โหลชีถอนหายใจยาว และไม่กลัวคนอื่นได้ยิน พลางถอนหายใจยาว "เฮ้อ นั่นเป็นของกินเล่นชั้นเยี่ยมเวลาดูละครเลยนะ"
คนรอบข้างแทบลมจับ
บรรยากาศตึงเครียดเยี่ยงนี้ สถานการณ์ทั้งน่ากลัวและกระอักกระอ่วนเยี่ยงนี้ เจ้ายังกล้าพูดออกมาหน้าตาเฉยว่าดูละคร แบบนี้มันดีแล้วรึ?
สายตาผู้อาวุโสใหญ่ปรายมาแต่ไกล
เฉินซ่าเอนกายพิงโหลชีอย่างเกียจคร้าน ท่าทางโอหังไม่ใส่ใจอะไร เหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย คนมากมายเพียงนี้ เขานั่งอยู่ตรงนั้นประหนึ่งร่างส่องแสงก็ไม่ปาน ใครก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ ส่วนโหลชีดูโผงผางสักหน่อย ดูยังไงก็ไม่เหมือนพระสนมเลย
"เดิมที" หลังจากพวกผู้อาวุโสใหญ่ขึ้นนั่งที่นั่งประธาน ก็ปรายตามองรอบๆหนึ่งครั้ง เงียบไปชั่วครู่ รอจนเสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มสงบลง เขาถึงลุกขึ้น ขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พูดเนิบนาบขึ้น "เมื่อคืนพึ่งได้พบกับทุกท่านตอนงานเลี้ยง แต่น่าขายหน้ายิ่งนัก เมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นหลายเรื่อง กลัวว่าทุกท่านจะเข้าใจผิด ถึงเชิญทุกท่านมาที่นี่ ช่วยกันจัดการเรื่องสกปรกเหล่านี้ ขอทุกท่านได้โปรดเข้าใจด้วย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ