"พวกท่านมาจากแผ่นดินใหญ่หลงหยินใช่ไหม? ทหารของราชวงศ์เฉิน?" โหลชีเห็นอีกฝ่ายตื่นเต้นจนตาแดงเรื่อ เฉินซ่ากลับยังเฉยเมยอยู่ เหมือนกับไม่เกี่ยวข้องกับตน โหลชีเห็นอย่างนี้เลยเอ่ยปากแทนเขา "นี่คือเฉินซ่า ฝ่าบาทต้าเซิ่ง"
แซ่เฉินน่ะ นางกัดเสียงหนักมาก
คนพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ยิ่งตื่นเต้นกันใหญ่ ผู้ชายคนก่อนหน้านั้นยิ่งน้ำตาไหลอาบแก้ม
"อันที่จริงต่อให้ไม่ได้แซ่เฉิน ก็ต้องเป็นไท่จื่อของพวกเราแน่ เพราะไท่จื่อหน้าตาคล้ายคลึงกับฝ่าบาทมากยิ่งนัก!"
โหลชีอึ้งเล็กน้อย จากนั้นหันมองเฉินซ่า แต่กลับเห็นเขาเฉยเมยเหมือนเดิม
แต่นางรู้ว่าเขาไม่น่าใช่แบบนี้ ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพ่อแท้ๆของตนเอง ต่อให้เขาจะเย็นชาแค่ไหนก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างสิ พลังน่าตายอะไรนั่นส่งผลกระทบกับเขาอยู่แน่
พอคิดถึงตรงนี้ นางมีหรือจะสนใจพูดเรื่องฐานะอะไรกับพวกเขาอีก รีบถามต่อทันทีว่า "ในนี้ที่พวกเจ้าอยู่คืออะไรกัน?"
นางไม่ได้พูดออกมาตรงๆว่าของสิ่งนี้ส่งผลกระทบอะไรกับเฉินซ่า แต่ดูจากปฏิกิริยาของกระบี่ดื่มเลือด และท่าทีของเฉินซ่าแล้ว นางกลับรู้ว่าสาเหตุมันอยู่ในสระน้ำนี้
โหลชีคิดไม่ถึงเลยว่า พอนางถามออกมาแบบนี้ สีหน้าผู้ชายพวกนั้นก็เต็มไปด้วยความอาดูรอย่างที่สุด
"ในนี้คือ... น้ำมันศพที่กลั่นกรองออกมาในยามพี่น้องทหารของเราต่อสู้ถึงที่สุด"
"อะไรนะ?"
พวกโหลชีพอได้ยินคำนี้ พร้อมใจกันอึ้งกิมกี่
ชิวชิ่นเซียนกับอิ้นเหยาเฟิงสองคนสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบถอยร่นไปหลายก้าว มองสระน้ำนั้นอย่างตะลึง รู้สึกในใจกำลังสั่นระรัว
สระน้ำใหญ่เพียงนี้....กลั่นออกมาจากคน...
นี่มันต้องตายมาเท่าไหร่กันเนี่ย!
ขนาดพวกอวิ๋นที่เป็นผู้ชายแท้ๆยังถอยสองก้าวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้โหลชีและเฉินซ่าที่ยังคงยืนนิ่งข้างสระที่ใช้ก้อนหินรายล้อมไว้ดูนิ่งเฉยมาก อวิ๋นอดคิดไม่ได้ว่า หรือเพราะว่าพระสนมมีความสามารถและความกล้าที่เทียบเคียงนายท่านได้ จึงกลายเป็นคนที่ไม่อาจแทนที่คนนั้นในใจของนายท่าน?
ชิวชิ่นเซียนพลันพูดกับเฉิงสิบเสียงต่ำว่า "อันที่จริงข้าได้ยินเรื่องพระสนมมานานแล้ว หลายเดือนมานี้ข้าได้เรียนรู้ตามพระสนมไม่มากก็น้อย แต่ตอนนี้ข้าถึงรู้ว่า ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมากนัก"
คำพูดนี้พูดเบามาก มีแค่เฉิงสิบที่ได้ยิน เขาอึ้งชั่วครู่ ก่อนบอกเสียงเรียบว่า "เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียนตามแม่นาง"
คราวนี้คนอึ้งกลายเป็นชิวชิ่นเซียน นางได้สติกลับมา พลางยิ้มน้อยๆ ใบหน้าร้อนผ่าว รับคำเสียงต่ำว่า "ได้"
นางไม่ต้องเรียน เพราะเป็นตัวนางเองก็ดีมากอยู่แล้วใช่หรือไม่? น่าจะความหมายนี้กระมัง! ถ้าเฉิงสิบรู้ความคิดนาง คงกลัดกลุ้มแน่ว่าจะบอกตามจริงดีหรือไม่ ความหมายของคำพูดเขาที่จริงแล้วคือ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียน มิใช่ใครจะสามารถเรียนตามแม่นางได้ เรียนยังไงก็ไม่ดีเหมือนแม่นาง
แต่บางครั้งความเข้าใจผิดก็ทำให้คนรู้สึกดีกว่า
ชายผู้นั้นไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะเล่าเรื่องยาวขนาดนี้แล้ว เรื่องราวนั้นได้มาจากคนละประโยคจากพวกเขาทุกคนมาร้อยเรียงกัน
ราชวงศ์เฉิน ราชวงศ์ที่รุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินใหญ่หลงหยินตระกูลหนึ่ง
จักรพรรดิของพวกเขาถึงจะนั่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิของประเทศใหญ่อันดับหนึ่ง แต่ยังคงมีจิตใจเมตตา ใจกว้างมาก แปดราชวงศ์ใหญ่ร่วมกัน เขากลับไม่ได้มีความคิดจะรวบรวมแผ่นดินเป็นแผ่นเดียวกัน
แต่ถึงเขาเองไม่คิดอย่างนี้ กลับมีคนไม่เชื่อ
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ราชวงศ์หลายแห่งร่วมมือกัน จากทุกด้านทุกสาขาอาชีพ เริ่มคว่ำบาตรตระกูลเฉิน เล่นงานพวกเขาต่างๆนานา และชายแดน ก็มักมีกองทหารลาดตระเวนหรือโจรป่าบ่อยๆ หาเหตุผลต่างๆนานามาก่อกวนท้าทาย
ต่อมาถึงมีข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วหล้านั่น
ราชวงศ์ซวนหยวน ปรากฏการณ์หงส์ผิดธรรมชาติ ผู้ได้หงส์จะได้ใต้หล้า
"ตอนนี้ดูท่าจะเป็นแผนการร้ายเสียมากกว่า แผนการร้ายอันน่าสะพรึงที่มุ่งหมายมาที่ตระกูลเฉินและซวนหยวน" ผู้ชายตรงกลางนั้นถอนหายใจอย่างโศกเศร้า
"เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ซวนหยวนด้วย?"
โหลชีขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามือที่ถูกเฉินซ่ากุมอยู่โดนบีบแน่นขึ้น นางอดหันไปมองเขาไม่ได้ กลับได้ยินเขาถามเสียงต่ำว่า "ราชวงศ์ซวนหยวนนี่เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยใช่หรือไม่?" ในเวลานี้เขาสีหน้าซีดเผือด สายตากลับสดใส เขาถามอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าลืมเลือนเรื่องราวมากมายไปแล้ว แต่ยังจำได้ว่าเกี่ยวข้องกับนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ