มิน่ากระบี่ดื่มเลือดบ้าคลั่ง
เดิมพวกเขาก็คิดอยากเติมจิตวิญญาณกระบี่ที่ขาดหายไป ตอนนี้ขาดหายจิตวิญญาณกระบี่ กระบี่นี่ชอบเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้สามารถเติมจิตวิญญาณกระบี่แล้ว พวกเขากลับดีใจไม่ออก เพราะนี่มันชีวิตของกองราชาอสูรเทพนับพันคน!
ใช้พวกนี้มาเติมจิตวิญญาณกระบี่ ทุกวันเฉินซ่าต้องกำชีวิตคนนับพันนี่ มันก็ดูจะหนักหนาเกินไปหน่อย
แต่ถ้าไม่ใช้ กองราชาอสูรเทพพวกนี้ตายก็ตายแล้ว ได้แต่ตายฟรีงั้นหรอ? กระบี่นั่นบินวนเวียนอยู่เหนือสระน้ำ แม่ทัพกองราชาอสูรเทพพวกนี้ก็รู้ว่าเรื่องมันแปลก พอสอบถามแล้วกลับมีสีหน้ายินดี
"ไท่จื่อ ไท่จื่อเฟย นี่เป็นเรื่องดี! แบบนี้เหล่าพี่น้องก็ไม่ได้ตายเปล่าแล้ว! พี่น้องเหล่านี้ล้วนเป็นระดับต้นๆในราชวงศ์ มาตายที่นี่เรียกได้ว่าไร้ค่าเกินไป! ถ้าสามารถเป็นประโยชน์แก่ไท่จื่อได้ นับว่าดีมากเลย!" โหลชีได้ยินพวกเขาเรียกนางว่าไท่จื่อเฟย ก็อึ้งไป มันไม่คุ้นชินเลยจริงๆ
แต่พวกเขาพูดถูก
นางหันมองเฉินซ่า รู้สึกการที่เฉินซ่าสมองว่างเปล่า เป็นไปได้ว่าอาจจะเพราะกระบี่นี้ อีกอย่างคือ บนตัวทหารที่ตายไปล้วนมีการกักขังของราชวงศ์เฉิน มันเชื่อมกับสายเลือดเขา ดังนั้นเลยทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น
"เฉินซ่า กระบี่รับท่านเป็นนายแล้ว ท่านมาเติมจิตวิญญาณกระบี่" โหลชีบอกวิธีเติมจิตวิญญาณกระบี่ให้เขาทางกระแสจิต ถึงเฉินซ่าจะลืมเลือนเรื่องของคนอื่นไปบ้าง แต่ยังเชื่อใจนางมาก พอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า รับคำ โหลชีรู้สึกว่าท่าทางเขาแบบนี้ดูว่าง่ายมาก ดูหน้าเขาแล้วอยากจะเข้าไปหอมแก้มสักฟอด
เฉินซ่ากระโดดทะยานขึ้น กำกระบี่ดื่มเลือดไว้มั่น ร่ายรำกระบี่กลางอากาศ รังสีกระบี่ค่อยๆรวมตัวกัน วาดออกมาเป็นยันต์ ไม่นานก็เห็นในสระน้ำมีหมอกสีดำลอยขึ้นมา เหมือนโดนยันต์นั่นดูดเข้าไป ดูดซึมเข้าสู่กระบี่ดื่มเลือดทีละนิด
"ขั้นตอนนี้เสียเวลาหน่อย ตอนนี้ข้าจะคิดหาทางช่วยพวกเจ้าออกมา" ก่อนหน้านี้โหลชีให้พวกหลงเอี๋ยนและเฉิงสิบไปเฝ้าทางเข้าไว้ นานขนาดนี้ยังไม่เห็นคนของเขาเวิ่นเทียนมาเลย นางไม่ได้รู้สึกกังวลมาก แต่ในใจมีความคิดหนึ่งว่า หรือนี่จะเป็นแผนการแต่เดิมของพวกผู้อาวุโสใหญ่? ล่อพวกเขามาที่นี่ ไม่สนพวกเขาสักระยะ ปล่อยให้เฉินซ่าทำลายการกักขังกองราชาอสูรเทพได้ตามอำเภอใจ
แต่พวกเขาจะมีวิธีอะไรที่สามารถควบคุมกองราชาอสูรเทพที่เป็นอิสระแล้วล่ะ?
โหลชีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่า ไม่ว่ายังไงก็ตามช่วยออกมาก่อนแล้วกัน
"ไท่จื่อเฟย กองราชาอสูรเทพห้าหมื่นของพวกข้าบัดนี้เหลือเพียงสี่หมื่นกว่าเท่านั้น ล้วนอยู่ใต้สระน้ำนี้กันหมด ท่านมีวิธีทำลายค่ายกลนี้รึ?" ชายผู้นำชื่อว่าฉินซูเป่า เป็นแม่ทัพกองราชาอสูรเทพ แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัสที่สุด "พวกเราเป็นตาค่ายของค่ายกลศพอำมหิตนี้ จะทำลายค่ายกล นอกเสียจากว่าพวกเราตาย" ฉินซูเป่ามองโหลชีพลางว่า "พวกเราตายไม่เสียดาย แต่ว่า..."
"แต่พวกท่านต้องขาดใจตายในพริบตาเดียวกับที่ไออำมหิตของค่ายกลศพอำมหิตโดนดูดซึมหมดแล้ว" โหลชีพูดต่อให้ จากนั้นก็เห็นสีหน้าตกตะลึงของพวกเขา
"ไท่จื่อเฟย ท่านรู้ได้อย่างไร?"
นางต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว กลไกนางไม่ถนัด ค่ายกลนางยังไม่ถนัดหรือไง? "ข้าจะช่วยพวกท่าน" เวลานี้สายตาโหลชีมีแววมาดร้ายขึ้นมาอย่างรุนแรง ไม่แค่เขาเวิ่นเทียน ยังมีอีกสองหุบเขารวมถึงอุทยานเขาธนูเทพ พวกเขาทำเรื่องเลวร้ายอย่างมากกับทหารราชาอสูรเทพ! แค้นนี้ไม่ชำระ นางก็ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยแล้ว
เดิมนางเคยคิดว่า ขอเพียงฆ่าผู้อาวุโสของเขาเวิ่นเทียนสักหลายคน ปล่อยศิษย์คนอื่นไป แต่ตอนนี้พอดูสภาพในภูเขานี่แล้ว ไม่มีคนนับพันช่วยกันขุดทั้งวันทั้งคืน จะสร้างห้องใหญ่ขนาดนี้ออกมาได้ยังไงกัน ทหารราชาอสูรเทพห้าหมื่นนาย ถึงจะบอกว่าโดนล่อลวงมาด้วยชื่อของเฉินซ่า แต่ไม่มีคนนับพันคอยวางค่ายกลย้ายคนเข้ามาจะทำได้ยังไง ดังนั้นทุกคนในเขาเวิ่นเทียน ดูท่าจะเข้าร่วมแผนการนี้ทั้งหมดแน่!
แบบนี้นางจะไม่ปล่อยไปสักคนเลย!
นางเงยหน้ามองเฉินซ่า เฉินซ่าหลับตาสนิททั้งสองข้าง กระบี่เคลื่อนไหวตามใจสั่ง คนเหาะตามกระบี่ ลายยันต์เริ่มชัดมากขึ้น ไออำมหิตและความอยากสู้ศึกที่ดูดซึมเริ่มเร็วขึ้นมากขึ้น พอเพียงเขาดูดซึมไออำมหิตและความอยากสู้ศึกในสระน้ำไปหมด คนพวกนี้ต้องตายแน่
แต่นางจะช่วยพวกเขา
"อวิ๋น วางอามู่ลง ข้าจะยับยั้งพิษกู่ของนางชั่วคราว จากนั้นพวกเจ้าออกไปตามหา ไม่ว่าเจอใคร ให้จับตัวมาให้ข้า! บาดเจ็บสาหัสได้ แต่ห้ามตาย!"
อวิ๋นรีบวางอามู่ลงทันที โหลชีแหวกคอเสื้อนางออก อวิ๋นเห็นความขาวโพลนที่เผยออกมาใต้คอเสื้อนั่น พลันนึกถึงความอ่อนนุ่มที่ได้สัมผัสครั้งนั้นที่หุบเขาร้อยแมลง ร่างกายพลันร้อนผ่าว เขาขยับร่างบังเอาไว้
แต่วินาทีต่อมาก็เห็นโหลชีกรีดนิ้วตัวเองให้เลือดออกมา จากนั้นเริ่มวาดภาพประหลาดที่หน้าอกอามู่
อวิ๋นไม่เคยเห็นโหลชีทำแบบนี้มาก่อน เลยตกใจร้องถาม "พระสนม นี่...ทำแบบนี้ได้ผลรึ?"
โหลชีเพียงอืมหนึ่งคำ นางรีบ เลยวาดเร็วมาก ไม่นานก็วาดเสร็จแล้ว เก็บมือ วาดยันต์อีกอัน แล้วจึงเห็นอามู่ไอออกมา จากนั้นลืมตาขึ้น
อวิ๋นตกใจมาก พยุงอามู่ขึ้นมา "อามู่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"พี่อวิ๋น ข้าไม่เป็นอะไรนี่นา เมื่อครู่ทำไม..." นางยังพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกเย็นๆที่หน้าอก ก้มหน้ามองดูและร้องกรี๊ดออกมา รีบจัดคอเสื้อให้ดี
"เอิ่ม พระสนมทำเพื่อช่วยเจ้า" อวิ๋นดึงนางลุกขึ้น น้ำเสียงกลับเป็นสุขุมเหมือนเดิม "ไป พวกเราไปจับคนกัน"
เมื่อครู่เขายืนฟังคำพูดของพวกฉินซูเป่าอยู่ข้างๆ หัวใจก็สุมด้วยไฟโกรธ เวลานี้ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องชายหญิง ต้องทำเรื่องสำคัญก่อน
และด้วยนิสัยของเขา ก็ไม่ให้เวลาอามู่ขวยอายมากเกินไป ดึงมือนางไปหาคนทันที
โหลชีเชื่อว่า นอกจากพวกผู้อาวุโสใหญ่ผู้อาวุโสรองแล้ว ในเขาเวิ่นเทียนไม่ค่อยมีใครเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์อวิ๋นได้ ดังนั้นนางวางใจ
"ข้าไปด้วย"
ชิวชิ่นเซียนเห็นอิ้นเหยาเฟิงยืนข้างเฉิงสิบราวกับไม่คิดจะจากไป สายตาหม่นหมองลงเล็กน้อย หมุนตัวออกไปหาคนทันที เฉิงสิบมองตามแผ่นหลังนางพลางสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
หลงเอี๋ยนเห็นอย่างนั้นก็บอก "งั้นพวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ ข้าไปด้วย"
"แม่นางเหยาเฟิงเฝ้าที่นี่เถิด ข้าจะไปดูว่าคนพวกนั้นไปซ่อนที่ไหนกันบ้าง" เฉิงสิบพูดจบจะจากไป อิ้นเหยาเฟิงอยากรั้งเขาไว้ แต่หางตารู้สึกมีอะไรไม่ถูก อึ้งไปครู่หนึ่งถึงพบปัญหา นางชี้ไปที่นอกประตูพลางร้องว่า "ซู่หลิวอวิ๋นล่ะ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ