เฉินซ่าเหวี่ยงกระบี่ขึ้นไปกลางอากาศ กระบี่ดื่มเลือดส่งเสียงดังกราว ราวกับกำลังคล้อยตาม ชี่พิฆาตออกมาอีก
ฉินซูเป่าคำรามเสียงดังออกมาคำหนึ่ง: "กองราชาอสูรเทพตระกูลเฉิน จิตวิญญาณกองทัพยังอยู่ไหม?"
เสียงดังอึกทึกครึกโครม ราวกับมีเสียงสะท้อนกลับ
ก็ได้ยินเสียงคนนับหมื่นๆตอบรับพร้อมกัน ถึงแม้เสียงของทุกคนจะมีความแหบแห้งเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับทรงพลัง ปลุกปั่นให้คนฮึกเหิมมาก
"จิตวิญญาณกองทัพคงอยู่ตลอดไป!"
เสียงนับหมื่นๆเสียง กลับสม่ำเสมอเป็นหนึ่งเดียว เพิ่งตื่นมาแท้ๆ กลับเหมือนไม่เคยห่างหายไปจากการฝึกฝนเลย
โหลชีรู้ว่าการกุมขังของพวกเขาความจริงแล้วมียาคอยช่วยเหลือ ความจริงก็เป็นวิธีการฝึกฝนอย่างหนึ่งเช่นกัน การฝึกฝนกำลังและพลังภายใน มิเช่นนั้นไหนเลยที่พวกเขาจะสามารถปิดผนึกตนเองได้นานขนาดนี้ได้ นี่มันเกินขอบเขตความรู้ความเข้าใจของนางไปอย่างมากแล้ว
แต่ว่ายาบวกกับกำลังและพลังภายใน ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเป็นจริงได้ และนางก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่กินอะไรแม้แต่น้อยนิดจริงๆ ในวังใต้ดิน มีหญ้าละเอียดหนาแน่นขึ้นอยู่ทุกที่ แต่ตอนที่นางลงมาเมื่อครู่นี้พบว่าในต้นหญ้าที่อยู่รอบๆตัวของทุกๆคนมีหญ้าแปลกหายากบางๆแต่ชุ่มฉ่ำอยู่เล็กน้อย ถ้าหากว่านางเดาไม่ผิด นี่เป็นยาสมุนไพรที่เตรียมเอาไว้สำหรับการกุมขังทหารราชาอสูรเทพเช่นนี้โดยเฉพาะ ถ้าหากสิบวันครึ่งเดือนพวกเขาก็เคี้ยวยาสมุนไพรที่ชุ่มฉ่ำสักสองสามใบ เช่นนั้นก็สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้เช่นกัน ถือว่าเป็นบำเพ็ญตบะอย่างหนึ่ง
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ นี่ก็ถือว่ามหัศจรรย์และกล้าหาญมากแล้ว ทหารราชาอสูรเทพหน่วยนี้ก็ได้รับความเคารพนับถือของนางเช่นกัน!
นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากเหนือศีรษะ อดที่จะยิ้มเย้ยหยันออกมาไม่ได้ มาแล้ว คนมาแล้ว คิดว่าพวกเขาคงสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว จะรีบมาสกัดกั้น น่าเสียดาย มันสายไปแล้ว
โหลชีมองดูทหารเหล่านี้ยืดเส้นสายอยู่กับที่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดออกมาเป็นชุดๆ
"เร่งมือหน่อย ข้ากลัวว่าพวกเขาคิดอยากจะปิดภูเขา" โหลชีกล่าวต่อเฉินซ่า
เฉินซ่าพยักหน้า มองไปทางฉินซูเป่า ฉินซูเป่ามองโหลชีครู่หนึ่ง จู่ๆก็กล่าวขึ้นมาว่า: "พวกเขาเตรียมการเอาไว้สองทางจริงๆ หากสามารถเก็บพวกเราเอาไว้ได้ย่อมดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้ กลางเขาที่มีขนาดมหึมาแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่ฝังศพของพวกเรา!"
ดังนั้น อีกฝ่ายต้องมีแผนรองรับอยู่แน่นอน ขอแค่ปิดผนึกพื้นดินของวังเยาเยว่ที่อยู่เหนือศีรษะเอาไว้ พวกเขาก็จะออกไปได้ยากมากแล้ว
ฉินซูเป่ากล่าวขึ้นมาอีกว่า: "เอาเช่นนี้ดีกว่า ไท่จื่อกับไท่จื่อเฟยแยกกันเป็นสองทาง ไท่จื่อสามารถนำคนขึ้นไปขัดขวางอีกฝ่ายก่อน ส่วนไท่จื่อเฟยก็อยู่ที่นี่......" เขาพูดเช่นนี้ก็มีข้ออ้างอิงอยู่ เรื่องของที่นี่ อย่างพวกค่ายกลอะไรพวกนี้ โหลชีน่าจะถนัดกว่า
เฉินซ่ากับโหลชีก็รู้สึกว่าเช่นนี้ดีที่สุด แต่ในขณะที่พวกเขากำลังพยักหน้าพร้อมกันอยู่นั้น เฉิงสิบกลับแทรกออกมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาดคำหนึ่ง: "ฝ่าบาท แม่นาง เวลานี้...เป็นวันที่สิบห้าแล้ว"
พุด สิบห้า
เสียงนี้เพิ่งหยุดลงไป จู่ๆร่างกายของเฉินซ่าก็แข็งทื่อ มองไปทางโหลชีทันที "ชีชี มาทางนี้"
ทันทีที่โหลชีเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่ามันผิดปกติแล้ว ก็ไม่กล้าลังเล นางรู้ว่าเมื่ออาการของเขากำเริบก็จะล้มลงไปทันที ดังนั้นจึงรีบกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเขาทันที
ต่อหน้าคนนับหมื่นๆคน เดิมทีพวกเขาก็ยังพูดคุยเรื่องจริงจังกันดีๆอยู่ ใครจะรู้ว่าวินาทีต่อมา ทั้งสองคนกลับกอดกันแน่นเลย?
คางของฉินซูเป่าและคนอื่นๆเกือบจะร่วงหล่นลงไป
ความจริงแม้แต่อวิ๋นก็ยังไม่เคยเห็นภาพที่โหลชีแสดงความสามารถที่บรรลุเช่นนี้เลย ดังนั้นเขากับอามู่ รวมไปถึงชิวชิ่นเซียนและคนอื่นๆก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
เฉินซ่ากอดโหลชีเอาไว้ในอ้อมแขน โอบเอวบางของนางเอาไว้ ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเข็มขัดที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษของนางนั่นไม่อยู่แล้ว แต่นางเคยชินกับการที่ใต้เข็มขัดนั่นยังมีผ้าคาดเอวบางๆ ดังนั้นตอนนี้จึงรัดเอวบางนุ่มนวลของนางออกมา เมื่อครู่กลับถูกคนมากมายขนาดนี้เห็นเข้า ในใจของเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย กอดกระชับนางแน่นขึ้นมาเล็กน้อยทันที ขณะเดียวกันก็กล่าวกับอวิ๋นว่า: "เจ้าพาคนขึ้นไปก่อน"
อวิ๋นก็รู้ว่าเวลานี้จะชักช้าไม่ได้ รีบพาเฉิงสิบและคนอื่นๆโฉบออกไปทันที
"พวกเจ้าก็ตามขึ้นไปด้วย!" ฉินซูเป่าออกคำสั่งกับทหารราชาอสูรเทพนับพันๆนายที่เพิ่งกระโดดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ เดิมทีพวกเขาเพิ่งจะได้รับการปลดปล่อยจากการกุมขังมาหมาดๆต้องการเวลาสักระยะในการฟื้นฟู แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว หากอาศัยแค่องครักษ์อวิ๋นกับคนอื่นๆเกรงว่าจะไม่สามารถหยุดกองกำลังร่วมของสามเขาหนึ่งอุทยานเอาไว้ได้
และทางด้านนี้ พลังที่เหลืออยู่ช่วงสุดท้ายของค่ายกลก็กำลังปะทะกันอยู่
ไม่ช้าก็เรื่องแปลกประหลาดที่โหลชีเคยบอกไว้ก็เกิดขึ้น จู่ๆหมอกสีดำที่ราวกับงูบินนับไม่ถ้วนก็พลันพุ่งขึ้นมา ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน ยังมีเสียงร้องไห้ เสียงร้องตะโกน ผสมผสานและหนักหน่วง เสียงคร่ำครวญดังแล้วดังเล่า ราวกับว่าจู่ๆพวกเขาก็เข้าไปอยู่ในกรงขังของวิญญาณร้ายในนรกกะทันหัน
หมอกสีดำเหล่านั้นดูเหมือนจะชอบคนเป็นมาก ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวผู้คน เสียงกรีดร้องนั่นน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น มีคนทนไม่ไหวร้องไห้ตะโกนขึ้นมาด้วย
"อ๊ากก!"
ในค่ายกลมีผู้นำทหารสองสามคนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
จู่ๆโหลชีก็ขมวดคิ้วแอบร้องขึ้นมาคำหนึ่ง: "เล่นใหญ่ขนาดนี้เลย!" รีบยื่นมือออกไปสัมผัสทันที กลับสัมผัสเข้าไปในเข็มขัดของเฉินซ่า ในมือก็มีพู่กันเพิ่มขึ้นมาด้ามหนึ่ง
พู่กันด้ามนี้เมื่อก่อนเฉินซ่าก็เคยเห็นแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาที่ตำหนักจิ่วเซียวกำลังทำลายที่หยินบริเวณเรือนจำ เขาเคยเห็นนางเอาพู่กันด้ามนี้ออกมา ด้ามของพู่กันด้ามนี้สั้นกว่าด้ามพู่กันที่ปกติพวกเขาใช้อยู่มาก หัวพู่กันดูแล้วไม่ใช่ขนหมาป่าที่พวกเขาใช้เป็นประจำ เป็นสีขาวบริสุทธิ์ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีแสงสีเงินจางๆ ด้ามพู่กันน่าจะเป็นหยกมันแพะชั้นดี ในตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าพู่กันด้ามนี้สวยงามมากแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่โหลชีไม่ได้ใช้พู่กันด้ามนี้อีกเป็นเพราะว่าไม่จำเป็นต้องใช้ และตอนนั้นใช้พู่กันด้ามนี้แล้วก็เกิดเป็นภาพลวงตาที่ชัดเจนขึ้น ดังนั้นนางจึงไม่อยากจะเอาพู่กันด้ามนี้ออกมาใช้พร่ำเพรื่อ ถึงแม้จะพกติดตัว แต่กลับยัดเข้าไปในเข็มขัดของเฉินซ่า
ทันทีที่เอาพู่กันออกมา นางกัดนิ้วเป็นแผลทันที บีบเลือดออกมา ปลายพู่กันเปื้อนเลือด กล่าวกับเฉินซ่าว่า: "ขึ้นไป!"
ตอนนี้เฉินซ่ากับนางก็ถือได้ว่ารู้ใจกันแล้ว โอบเอวของนางเอาไว้ทันที พานางบินทะยานขึ้นไปด้านบน
ในความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองสงบนิ่ง ความหล่อเหลาและสดใสไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ท่าทางโอหัง ภาพนั้นทำให้กองราชาอสูรเทพที่อยู่ข้างล่างนับหมื่นๆคนตกตะลึงอย่างสุดซึ้ง
โหลชีตวัดพู่กันเริ่มวาดยันต์ค่ายกลกลางอากาศ หลังจากค่ายกลสีเลือดขนาดมหึมาถูกวาดเสร็จสิ้น หมอกสีดำพวกนี้ก็เหมือนกับผีเจอกับเซียน กรีดร้องหลีกหนี แต่ยันต์ค่ายกลนั่นกลับเป็นเหมือนกับหลุมดำหลุมหนึ่ง ดูดพวกมันเข้าไปจนหมด
เฉินซ่ากอดนางเอาไว้ ทำตามคำสั่งของนางกระโดดเปลี่ยนตำแหน่ง ร่วมมือกันอย่างลงตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ