"แม่นาง!" โหลวซิ่นเรียกอย่างร้อนใจ "วู๊วูได้รับบาดเจ็บ!"
แม้ว่าตอนนี้ฝ่าบาทก็เกิดเรื่องร้าย แต่เมื่อครู่พระองค์ยังพูดคุยได้ ทั้งไม่ได้เป็นลมหมดสติไป แต่ทางด้านวู๊วูนี่มันช่าง ...... ช่างน่ากลัวเหลือเกินแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบอุ้มมันออกมายืนรอที่นี่
สีหน้าของโหลชีพลันหนักอึ้ง "ได้รับบาดเจ็บที่ไหน?"
โหลวซิ่นปัดขนบริเวณคอของมันออก โหลชีก้มหน้ามองลงไป จึงได้เห็นว่าที่คอของมันมีรอยแผลเป็นซึ่งมีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลแดงวงหนึ่ง ดูเหมือนรอยแผลที่เกิดจากถูกรัดคอ จนเกิดรอยแผลในลักษณะนี้ขึ้นมา
ในหัวของนางคล้ายมีประกายไฟปะทุวาบขึ้นมา นึกไปถึงภาพฉากครั้งก่อนนี้ ตอนที่อยู่กลางเขาเวิ่นเทียนแล้วน่าหลานฮั่วซินใช้เชือกรัดคอวู๊วู ในตอนนั้นนางไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มาตอนนี้นางเพิ่งจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เรื่องนี้เมื่อวิเคราะห์ดี ๆ จะเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมน่าหลานฮั่วซินถึงจับตัววู๊วูได้อยู่หมัด ? และด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตของนาง ทันทีที่จับวู๊วูได้ทำไมยังต้องรอให้พวกเขาไปถึง ? แต่กลับไม่รัดคอวู๊วูให้ตายทันที ?
"ทำไมฝ่าบาทถึงกระอักเลือดได้?"
"เมื่อครู่วู๊วูกระโดดขึ้นไปบนตักของพระองค์ ผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ ฝ่าบาทก็กระอักเลือดออกมาเลย" โหลวซิ่นพูด ๆ ไป น้ำเสียงก็ฟังดูโหวงเหวงลงไปเล็กน้อย เรื่องนี้ถ้าว่ากันตามจริง ก็ดูเหมือนว่าวู๊วูจะน่าสงสัยที่สุดแล้ว
แม้ว่าในใจของโหลชีจะทั้งหนักอึ้งทั้งร้อนรน แต่กลับมีความคิดที่จะตรวจสอบวู๊วูอย่างละเอียด ระหว่างที่กำลังนึกลังเลใจ ก็ได้ยินเสียงราบเรียบของเฉินซ่าดังออกมาจากด้านในว่า "ไปดูอาการเจ้าจิ้งจอกน้อยนั่นก่อนเถอะ ข้าไม่เป็นไร"
เมื่อได้ยินเสียงที่มั่นคงสม่ำเสมอของเขา โหลชีก็รู้สึกโล่งใจไปได้บ้าง จึงสั่งให้โหลวซิ่นอุ้มวู๊วูไปที่ด้านหนึ่งของโถงบุปผา แล้ววางวู๊วูลงบนโต๊ะ ปกติเจ้าตัวเล็กนี่จะฉลาดหลักแหลมมากแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้านาง ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ในใจของโหลชีรู้สึกร้อนรุ่มไปด้วยไฟโทสะที่ลุกโชน
นางเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้บ้างนิดหน่อย แต่หลังจากตรวจสอบบาดแผลของวู๊วูโดยละเอียด ก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย
"พระสนม พิษกู่ของอามู่กำเริบ ท่านหมอเทวดาเป็นลมหมดสติไปแล้ว!"
เยว่พุ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เสื้อคลุมหอบเอาไอเย็นของลมหนาวติดเข้ามาด้วยสายหนึ่ง
หัวใจของโหลชีถึงกับเต้นผิดจังหวะ การคาดเดาในหัวเมื่อครู่ยิ่งมีเค้าลางที่ชัดเจนขึ้นหลายส่วน "มู่หลานล่ะ?"
พอดีกับที่ฮั่วหยูฉุนก็วิ่งตะบึงเข้ามา ได้ยินคำถามของนาง ก็เอ่ยตอบขึ้นทันทีว่า: "มู่หลานตายแล้ว!" คำตอบนี้เขาพูดออกมาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าเขียวคล้ำไปแถบหนึ่ง
เดิมทีโหลชีมอบตัวมู่หลานให้เป็นหน้าที่เขาก็เพราะว่าเชื่อใจเขา แต่ตอนนี้ ฝ่าบาทเพิ่งจากไป มู่หลานก็ตายเสียแล้ว ทั้งยังตายต่อหน้าต่อตาเขาอีกด้วย นี่ไม่ใช่การตบหน้าเขาแบบฉาดใหญ่ ๆ หรอกหรือ ? อีกทั้งเมื่อครู่ตอนที่มู่หลานจู่ ๆ ก็ล้มลงไปตายในสภาพเลือดไหลจากเจ็ดทวาร สิ่งที่ในใจเขาคิด คือพันธนาการระหว่างพระสนมกับนางจะขาดสะบั้นลงแล้วจริงหรือ ? ถ้าหากยาของนางยังไม่ถูกแก้ไขได้ทั้งหมด เวลานี้พระสนมก็จะเกิดเรื่องร้ายด้วยหรือไม่?
เรื่องน่าตกใจนี้ ทำให้เขาตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ แทบจะสูญเจ็ดวิญญาณหกจิตไปเป็นครึ่ง รีบวิ่งตะบึงมา เมื่อเห็นโหลชียังยืนอยู่ที่นี่ด้วยท่าทางที่สบายดีทุกประการ ในใจจึงรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
คิ้วของโหลชีที่ขมวดมุ่นถึงกับถูกอาบย้อมไปด้วยรังสีโหดเหี้ยม "รีบพาทุกคนไปที่ตำหนักยาทันที พวกเจ้า แล้วก็คนที่อยู่กับวู๊วู กับพวกที่เข้าใกล้หรือสัมผัสตัวอามู่กับมู่หลาน ให้พาไปที่นั่นให้หมด ช่วงเวลานี้ห้ามไม่ให้ใครแตะต้องหรือเข้าใกล้คนอื่นเด็ดขาด ไปเดี๋ยวนี้"
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดว่า "เยว่ เจ้าไปดูเจ้าขาวหน่อย อย่าให้ใครเข้าใกล้มัน"
ตอนนี้เจ้าขาวมีอาณาเขตของตัวเองแล้ว ด้านหลังภูเขามีป่าอยู่ผืนหนึ่งซึ่งเป็นถิ่นของมัน เวลาที่โหลชีว่างก็จะไปให้อาหารมันบ้าง แต่ปกติตัวมันก็สามารถออกไปหาอาหารเองได้อยู่แล้ว
หลังจากได้ยินคำสั่งนี้ของนาง สีหน้าของเยว่ถึงกับเปลี่ยนไปอย่างมาก "พระสนม?"
โหลชีมองออกว่าเขารู้สึกกังวล แล้วก็รู้ว่าเยว่ฉลาดมาก ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้พูดออกมาแบบชัด ๆ แต่ตัวเขาเองก็สามารถเดาได้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น "ไปเถอะ หลังจากไปดูเจ้าขาวแล้ว เจ้าก็ไปที่ตำหนักยาด้วย ข้าจะรีบไปดูอาการหมอเทวดากับอามู่"
เยว่พยักหน้ารับ แล้วเดินออกไปพร้อมกับฮั่วหยูฉุน พอไปถึงหน้าประตูก็หยุดชะงัก หันหน้ามาพูดว่า : "พระสนม โปรดดูแลตัวเองด้วย"
โหลชีโบกไม้โบกมือให้เขา แล้วสั่งให้โหลวซิ่นอุ้มวู๊วูขึ้นมา "เจ้าก็ไปด้วย"
โหลวซิ่นรีบอุ้มวู๊วูออกไป โหลชีค่อยเข้าไปในตำหนักบรรทม ขณะที่ก้าวเท้าไปที่เตียงบรรทมใหญ่ นางก็ร้องสั่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า "เทียนอิ่ง ประคองฝ่าบาทขึ้น ... "
คำพูดเพิ่งจะออกจากปาก ตัวเองก็ชะงักไปก่อนแล้ว
เทียนยีที่รอรับใช้อยู่อีกด้านคล้ายลมหายใจสะดุดไปเล็กน้อย แอบถอนหายใจเงียบ ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "พระสนม ต้องการให้ประคองฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
"ใช่"
โหลชีก็รู้สึกใจคอหดหู่ลงไปเหมือนกัน เทียนยีกับเทียนอิ่งเป็นพี่น้องกัน คิดดูแล้ว เขาคงจะเสียใจยิ่งกว่านางมากแน่
"เกิดเรื่องรึ?" เฉินซ่าเอนตัวพิงพนักหัวเตียง น่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เส้นผมดำขลับดั่งน้ำหมึกสยายลงมาคลุมใบหน้าได้รูป อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขากระอักเลือดตอนนี้สีหน้าจึงดูซีดเซียวลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงความโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ๆ
"อื้ม" โหลชีไม่พูดอะไรมาก ยื่นมือออกไปใช้นิ้วมือสามนิ้วจับที่เส้นชีพจรของเขา แล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้น ก็มีฝ่ามือใหญ่อันแสนอบอุ่นข้างหนึ่งลูบไล้ที่ใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดด้วยเสียงที่กดต่ำว่า "ชีชีของข้าต้องลำบากแล้ว"
โหลชีช้อนสายตาขึ้นมองเขาด้วยอาการตกตะลึง ประสานสายตาเข้ากับแววตาแสนอบอุ่นที่หาได้ยากยิ่งของเขา
"ไปกันเถอะ ไปตำหนักยาด้วยกัน"
ทุกอย่างที่นางพูดข้างนอกก่อนหน้านี้ เขาฟังอย่างใส่ใจทุกคำ
เทียนยีคิดจะแบกเขาขึ้นหลัง แต่เขาส่ายหน้า แล้วกลับไปแสดงสีหน้าเย็นชาเหมือนแต่ก่อน "ข้าจะเดินไปเอง" เขาไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้น
โหลชีตรวจชีพจรของเขาดูแล้ว แค่การเดินไม่เป็นปัญหาอะไรแน่ จึงพยักหน้าแล้วยื่นมือไปให้เขา
เมื่อไปถึงตำหนักยา ในห้องโถงที่ปกติหมอเทวดามักตรวจโรคให้ขุนนางและคนในวังทั้งหลาย ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันจนแน่นขนัดแล้ว อีกทั้งบรรยากาศยังค่อนข้างตึงเครียดและกดดันพอสมควร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ