ตอนที่เจอกันครั้งแรก นางแกล้งทำเป็นโง่เง่าไม่รู้อะไร พยายามซ่อนทักษะความสามารถทั้งหมดของตัวเองแทบตาย เพื่อที่จะได้แอบอู้ไม่ต้องทำงาน ทั้งยังคิดแต่จะไปตลอดเวลา รู้สึกว่าอยู่กับเขามันยุ่งยากเกินไป อันตรายเกินไป จึงอยากจะหลีกหนีไปไกล ๆ อย่างมาก
แต่ตอนนี้ นางกุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในกำมือ นึกกลัวแค่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อย จะเจ็บปวด
นี่คือความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง
แม้ว่าเฉินซ่าจะชอบที่นางใช้ชีวิตแบบหมุนรอบตัวเขาเช่นนี้ ใส่ใจห่วงใยแต่ตัวเองเช่นนี้ แต่เขากลับรู้สึกทั้งสงสารทั้งห่วงใยนางขึ้นเรื่อย ๆ ใครต่อใครต่างก็พูดกันว่า ความรักระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้มากที่สุด ผ่านไปเพียงไม่นานก็จะสลายหายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับมุมมองของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงนั้น ก็เหมือนมีไว้เพื่อสืบทายาทไม่ก็เอาไว้อุ่นเตียงให้ความบันเทิง แต่ทำไมยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางสำคัญเท่าชีวิตแบบนี้? ยิ่งพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยู่ห่างนางไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น
ความสามารถของนางแข็งแกร่งฉกาจฉกรรจ์อย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เขากลับหวังว่าจะใช้ทั้งใจเพื่อรักใคร่เอ็นดูนาง ทุ่มเทสุดใจเพื่อปกป้องนาง
เฉินซ่าลืมไปโดยสิ้นเชิงแล้วว่า ในตอนแรกเขาหวังอยากให้นางแข็งแกร่งทรหด เพื่อมาอยู่เคียงข้างเขา ร่วมต้านทานลมฝนและพายุไปด้วยกัน
โหลชีหวนนึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งอดีต ก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ที่จริงนางก็เป็นแค่คนธรรมดา ประเภทแก้เฉพาะปัญหาของตัวเองได้ก็เป็นสุขแล้วคนหนึ่งเท่านั้น ก่อนหน้านี้เฉินซ่าไม่ใช่คนของนาง แน่นอนว่านางย่อมไม่สนใจเรื่องของเขา แต่ตอนนี้ เขาเป็นผู้ชายของนางแล้ว นางจึงแทบอดใจไม่ไหวที่จะช่วยเขาให้มากขึ้นอีกหน่อย ถ้ามันเป็นเรื่องที่ช่วยได้ ก็พร้อมจะช่วยให้มากขึ้นอีกหน่อย
แต่ว่า นางก็ควรเชื่อในความสามารถของเขาด้วย เขาโดนกู่พิษนั่นเมื่อตอนที่ยังเด็ก ในเวลานั้นเขายังไร้หนทางปกป้องตัวเอง แต่ตอนนี้ย่อมไม่ง่ายที่จะโดนลูกไม้พรรค์นั้นเล่นงานแล้ว อีกทั้งผู้ชายของนาง ต้องให้นางมาคอยปกป้องตลอดเวลาอย่างนั้นรึ?
เรื่องในตอนนี้สำคัญกว่า
อีกฝ่ายไม่ต้องการให้พวกเขาเดินทางได้อย่างราบรื่น แต่ถึงอย่างไรนางก็จะออกเดินทางอย่างตรงต่อเวลาให้จงได้
"ตัวแทนของทั้งสี่แคว้นต่างแสดงท่าทีแล้วรึ?" นางไม่อยากให้หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว แคว้นต้าเซิ่งกลับถูกสี่แคว้นกดดัน
เฉินซ่าย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เขาบีบ ๆ มือนางแล้วพูดว่า "ไม่ต้องกังวล ทั้งหมดต่างลงนามในหนังสือรับรองทางการทูตแล้ว พวกเขาไม่กล้าหรอก"
สี่แคว้นต่างถูกความดุร้ายของพวกเขาสองสามีภรรยาทำให้ตกใจกลัวแทบแย่แล้ว ไม่มีทางกล้าแม้แต่จะคิดเรื่องบุกโจมตีต้าเซิ่งแน่ ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ภายในของราชวงศ์ทั้งสี่แคว้น ต่างก็วุ่นวายอยู่กับเรื่องแย่งชิงราชบัลลังก์ เฉินซ่ายังแอบกระซิบไปอีกประโยคว่า "ยังมี ข้าได้ลอบส่งทหารลับสี่หน่วยออกไป เพื่อไปช่วยเพิ่มความวุ่นวายให้พวกเขาขึ้นอีกหน่อยด้วย"
หากพวกเขารังเกียจว่ามันยังไม่วุ่นวายพอ ทหารลับทั้งสี่หน่วยนั้นก็สามารถก่อเรื่องผสมโรง ด้วยการพยายามคิดลูกไม้ใหม่ ๆ อย่างเต็มที่เพื่อก่อกวนให้เรื่องมันเละเป็นโจ๊ก ยกตัวอย่างเช่น แอบอ้างสร้างตัวตนขึ้นมาโดยเลือกตระกูลใหญ่ ๆ สักสองสามตระกูลแล้วก่อความวุ่นวายภายใน หรือสนับสนุนให้พวกโจรภูเขาก่อกบฏอะไรทำนองนั้น ถ้ายังไม่หนำใจ ก็ให้ดู ๆ ว่าถ้าองค์ชายองค์ไหนมีโอกาสชนะมากกว่าคนอื่นหน่อย ก็ให้ไปหาสถานที่สักแห่งเพื่อสร้าง "ปาฏิหาริย์"* ขึ้นมา เพื่อช่วยองค์ชายองค์อื่นรับมือเขา
อย่างไรก็ตามเรื่องสัพเพเหระพวกนี้ เขาได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว ทั้งสี่แคว้นย่อมไม่เหลือความคิดหรือเรี่ยวแรงใด ๆ ที่จะเอามาใช้โจมตีต้าเซิ่งอีกแน่ พวกเขาไม่มีเวลาพอจะมาสนใจเรื่องแบบนี้หรอก
ความกังวลเรื่องหลังจากนี้ไม่มีเหลือแล้ว ส่วนเรื่องที่ไม่รู้ก็มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเขาไป โหลชีพยักหน้า แล้วทุ่มเทกับการรักษาที่หนักหนาที่สุดตรงหน้าตัวเอง
"พระสนม โปรดช่วยรักษาพวกเราตรงนี้ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
อวิ๋นกับเยว่มายืนอยู่ตรงหน้าโหลชีในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ร้อนใจอยากให้ตัวเองได้รับการรักษาก่อน แต่เป็นเพราะหลังจากที่พวกเขาไม่เป็นไรแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายอย่างที่พวกเขาต้องไปทำ
"ไม่ต้องรีบ ข้ายังต้องทำยาแก้พิษอยู่" โหลชีส่ายหน้า แต่กลับตัดสินใจไปดูมู่หลานก่อนค่อยว่ากัน
ศพของมู่หลานถูกวางไว้ในลาน มีฮั่วหยูฉุนคอยเฝ้าด้วยตัวเองอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นโหลชีเดินออกมา เขาทำท่าลังเลเหมือนอยากพูด แต่ก็หยุดชะงักไป
โหลชีโบกมือ: "ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าหรอก แม้แต่ข้าเองก็ยังติดกับเหมือนกัน" นางเดินไปตรวจสอบร่างศพของมู่หลาน เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ศพของมู่หลานก็กลายเป็นเขียวคล้ำ ทั้งปรากฏรอยจ้ำศพขึ้นมาหลายรอย อีกทั้งเป็นเพราะว่านางตายในสภาพเลือดออกเจ็ดทวาร ตอนนี้คราบเลือดยังไม่ได้ถูกเช็ดออก จึงดูน่ากลัวอย่างมาก
แม้แต่องครักษ์สองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่อีกด้าน ก็ยังทนดูไม่ไหวรู้สึกอยากจะอาเจียน แต่เมื่อได้เห็นโหลชีที่ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่ควรให้ตัวเองมีสภาพน่าอับอายขายหน้าจนเกินไป
โหลชีตรวจสอบบริเวณดวงตา ลิ้น และหลังใบหูของนางอย่างละเอียด จากนั้นจึงเทเลือดจำนวนเล็กน้อยลงไปในน้ำยาสูตรพิเศษที่ใช้ทดสอบของนาง รอจนสุดท้ายนางได้ผลสรุปออกมา ก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
"ยืนยันได้ว่าติดกับของอีกฝ่ายเข้าแล้วจริง ๆ" นางพึมพำกับตัวเอง แต่ในใจก็รู้สึกหนาวเยือกกับแผนการนี้ของอีกฝ่ายที่วางไว้ได้อย่างแยบยล ทั้งยังเตรียมการไว้นานมากแล้วด้วย
มู่หลานเป็นต้นเหตุของการระบาดของไวรัสขนาดใหญ่ในครั้งนี้ นางมีพิษอยู่ในร่าง ซึ่งพิษชนิดนี้จำเป็นต้องใช้ร่างกายของนางเพื่อเพาะเลี้ยง ส่วนอามู่จะเป็นพิษอีกชนิดหนึ่ง เมื่อรวมพิษทั้งสองชนิดนี้เข้าด้วยกันแล้ว จะกลายเป็นยาพิษชนิดที่สามซึ่งมีฤทธิ์น่ากลัวมาก สามารถแพร่กระจายผ่านทางอากาศ และแพร่เชื้อผ่านน้ำลายในปากมนุษย์ได้ อีกทั้งยังมีหนอนกู่อีกชนิดหนึ่งในร่างของอามู่ ซึ่งช่วยเสริมการกระจายของพิษชนิดนี้ให้รุนแรงขึ้น
ก่อนหน้านี้ นางพามู่หลานไปที่ตำหนักจิ่วเซียว นั่นเท่ากับการวางระเบิดเวลาลูกหนึ่งไว้ในตำหนักจิ่วเซียว จากนั้นก็รอแค่ให้อามู่มาถึง พิษชนิดนี้ก็พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทันที
บางทีจุดประสงค์แรกของอีกฝ่าย อาจไม่ใช่เพื่อหยุดยั้งไม่ให้พวกเขาไปบ้านตระกูลโหล แต่คิดจะมอบสิ่งกีดขวางชิ้นใหญ่ในเวลาจำเป็นให้กับพวกเขา เพราะในเมื่อตอนที่ได้เจอมู่หลาน พวกเขายังไม่ได้ตัดสินใจกันว่าจะไปบ้านตระกูลโหล
ถ้าอย่างนั้น......
ใครกันที่ทำให้มู่หลานกับอามู่มีโอกาสได้พบกันในเวลานี้ ถึงขั้นที่ว่าคนคนนั้นที่เลือกสถานที่เป็นตำหนักยา จะเป็นคนที่มีจุดน่าสงสัยที่สุดอย่างนั้นใช่หรือไม่?
ไม่อย่างนั้น อามู่ก็น่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกับมู่หลานที่ถูกขังไว้!
โหลชีหันหน้ากลับไปอย่างกะทันหัน มองตรงไปที่คนในห้องโถง....เสี่ยวโฉว
เสี่ยวโฉวเป็นคนไปลากอวิ๋นมา พออวิ๋นมาแล้ว แน่นอนว่าอามู่ก็จะต้องตามมาด้วยเป็นธรรมดาสินะ? แต่ว่า เป็นเสี่ยวโฉวรึ? นางกลับคิดว่ามันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
ในเวลานั้น เยว่ อิง อวิ๋น ต่างก็ตามมาพร้อมกันหมด หรืออาจจะเป็นพวกเขา?
"พระสนม หรือว่าจะมีอะไรไม่ถูกต้องใช่หรือไม่?" ฮั่วหยูฉุนเอ่ยถาม
โหลชีส่ายหน้า "เอาศพของมู่หลานไปเผาเสียเถอะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ