ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 514

ให้คนอื่นมาเห็นเรือนร่างของอามู่? ทั้งยังได้สัมผัสด้วย? แน่นอนว่าอวิ๋นต้องปฏิเสธเป็นธรรมดา

ช่างเถอะ เอาแบบนี้นี่ล่ะ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยินดีรับผิดชอบนางอยู่แล้ว "ขอพระสนมโปรดทรงชี้แนะด้วย"

โหลชีพยักหน้า แน่นอนว่าวิธีการแก้หนอนกู่มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น แม้ว่าจะขับเอาหนอนกู่ออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังต้องใช้กำลังภายในเพื่อผลักดันการไหลเวียนของเลือด แล้วค่อยขับเลือดสกปรกที่ยังตกค้างอยู่ในร่างออกมา สิ่งนี้ต้องใช้ทั้งเวลา แรงกาย และแรงใจอย่างมาก ตอนนี้นางทำได้เสียที่ไหนกันล่ะ ยังมีคนอีกมากที่รอให้นางไปช่วยอยู่นะ

ให้อวิ๋นเป็นคนทำนับว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

หลังจากพูดถึงวิธีการโคจรกำลังภายในเรียบร้อยแล้ว นางก็พูดเตือนว่า "หลังการโคจรพลังแล้วเจ้าจะอ่อนแอมาก รอจนเจ้าทำเสร็จ ให้รีบสั่งคนไปแจ้งข้าเพื่อมาดูอาการเจ้าทันที"

"พ่ะย่ะค่ะ"

โหลชีพยักหน้ารับทันที แล้วดึงเข็มออกจากร่างของอามู่ อามู่ลืมตาขึ้น ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ ก็ได้ยินโหลชีถามด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า " อามู่ ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าถึงได้ตามองครักษ์อวิ๋นไปที่ตำหนักยารึ? หรือจะบอกว่าตอนนั้นเจ้ากำลังจะไปหาองครักษ์อวิ๋นพอดี? "

ความคิดของอามู่ถูกคำพูดประโยคนี้ของนางชี้นำไปทันที ตอบออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า: "เป็นเพราะแม่นางเอ้อร์ชิงจากตำหนักสองเพคะ ตอนนั้นนางบอกข้าว่าพี่อวิ๋นดูเหมือนไม่มีความสุข อีกทั้งสีหน้าก็ดูไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าป่วยหรือไม่ แล้วยังบอกข้าอีกว่าท่านหมอเทวดามียาดี ๆ อยู่มากมาย ตอนนั้นเดิมทีข้าคิดว่าจะไปเรียกพี่อวิ๋นให้ไปที่ตำหนักยา..." แต่ยังไม่ทันที่นางจะเรียก ก็เห็นว่าเสี่ยวโฉวลากเขาไปที่ตำหนักยาด้วยความเร็วที่ราวกับจะเหาะได้อยู่แล้ว นางย่อมรีบร้อนตามไปเป็นธรรมดา

โหลชีเดินจ้ำออกไปอย่างเร่งรีบ "องครักษ์เยว่! ส่งคนไปจับสาวใช้ที่ชื่อว่าเอ้อร์ชิงของตำหนักสองมาเดี๋ยวนี้ ยังมีอีก ถามมาให้ได้ว่าปกตินางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร ให้จับมาพร้อมกันเลย!"

เพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ ลูกน้องดูแลยาที่อยู่ตรงมุมห้องโถงคนหนึ่งพลันตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็ทำท่าจะวิ่งออกไปข้างนอก พอดีกับที่ซวนหยวนฉงโจวเห็นท่าทางผิดปกติของเขา จึงยื่นมือออกไปจับเขาไว้ทันที ยกเขาขึ้นแล้วโยนเข้าไปกลางห้องโถง

ลูกน้องดูแลยาส่งเสียงร้องด้วยเสียงชวนเวทนาขึ้นมาเสียงหนึ่ง ก่อนที่ทุกคนจะทันมีปฎิกริยาตอบสนอง คนก็เลือดออกเจ็ดทวารตายไปแล้ว

"บัดซบ รีบไปเร็วเข้า" โหลชีมีความประทับใจต่อลูกน้องดูแลยาคนนี้อยู่บ้าง เพราะอย่างไรนางก็มักไปที่ตำหนักยาบ่อย ๆ หมอเทวดาเคยชื่นชมความเฉลียวฉลาดของลูกน้องดูแลยาคนนี้ให้นางฟัง ยังเคยบอกด้วยว่าอยากสอนความรู้ทางการแพทย์ให้นาง

เรื่องของไส้ศึกยกให้เป็นหน้าที่ของเยว่ นางรีบพาอิ้นเหยาเฟิงกับเสี่ยวโฉวตรงดิ่งไปที่ด้านหลังห้องยาชนิดไม่หยุดพักเพื่อจะเอาเลือดมาทำยา

ชิวชิ่นเซียนเห็นนางกรีดนิ้วจนเป็นแผล หลังจากตัวเองกินยาเข้าไปเม็ดหนึ่ง เลือดพวกนั้นก็ไหลออกมาราวกระแสน้ำ จึงอดรู้สึกทั้งตกใจทั้งเจ็บปวดไม่ได้ "พระสนม ต้องทำแบบนี้จริง ๆ หรือเพคะ?"

ทำไมต้องใช้เลือดของนางทำยาด้วย?

สีหน้าของโหลชีดูปกติมาก ท้าวคางดูเลือดตัวเองไหลหลั่งดั่งธารน้ำไปพลาง ก็พูดไปพลางว่า "อันที่จริงก็พอจะมีวิธีอื่นอยู่หรอก แต่มันต้องเปลืองเวลา เปลืองแรง แถมเปลืองยา ประเด็นหลักคือเปลืองเวลา ข้าไม่มีเวลา" ถ้ายึดตามวิธีการปกติ คือต้องไปเสาะหายา จัดยา เคี่ยวยา อีกทั้งผลของยาก็ไม่ได้ออกฤทธิ์เร็วขนาดนั้น คนเยอะขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาราว ๆ ครึ่งเดือนกว่าจะรักษาได้หมด นางมีเวลามากขนาดนั้นเสียที่ไหน?

นอกจากนี้ ไม่แน่ว่าหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป ทุกอย่างก็อาจไม่ทันการณ์แล้วก็ได้

ในตอนที่เลือดไหลออกมาได้ประมาณหนึ่งขวด จู่ ๆ หัวใจของนางก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่เป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยมีมาก่อน แรงเต้นนั้นสะเทือนจนทำให้มือของนางสั่นไปด้วยเลยทีเดียว จู่ ๆ นางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

"พระสนม เป็นอะไรไปเพคะ?" เอ้อร์หลิงต้มน้ำแกงบำรุงเลือดมาให้นาง ได้เห็นตอนที่สีหน้าของนางจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวเข้าพอดี คิ้วพลันขมวดมุ่น หัวใจก็อดหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้

"ข้า..." นางอยากพูด แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

เฉินซ่าเดินเข้ามา ดึงเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ นาง รับน้ำแกงบำรุงเลือดจากมือของเอ้อร์หลิง หยิบช้อนขึ้นมาแล้วตัก ยื่นส่งไปที่ริมฝีปากของโหลชี

"ชีชี จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกใจคอกระสับกระส่ายขึ้นมา"

ชั่วขณะนั้นโหลชีก็หันไปมองเขาทันที: "...ข้าก็ด้วย"

นี่มันเป็นเพราะอะไร? สัญชาตญาณเตือนภัยของทั้งคู่ น่าจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไประดับหนึ่ง หรืออาจพูดได้ว่า พวกเขาทั้งคู่ต่างมีสัมผัสรับรู้อันแข็งแกร่งที่ยากจะอธิบายเกี่ยวกับคนบางคน หรือเหตุการณ์บางเหตุการณ์ การรับรู้ลักษณะนี้ มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ?

ทันทีที่นางพูดการคาดเดานี้ออกไป สีหน้าของเฉินซ่าก็ดูไม่ค่อยดีขึ้นมา: "แล้วทำไมพวกเราถึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ จนถึงขั้นตื่นตระหนกขึ้นมาพร้อมกันแบบนี้ได้? จะมีความบังเอิญขนาดนี้อยู่จริงรึ? หรือจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าและข้าจะตกอยู่ในอันตรายพร้อมกัน?"

โหลชีมองเขานิ่ง ๆ แล้วพูดว่า "ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือ--"

"เดิมทีพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว" จู่ ๆ ชิวชิ่นเซียนก็พูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หลังจากพูดออกไปแล้ว ทั้งเฉินซ่ากับโหลชีต่างก็หันมามองนาง จึงรีบเอ่ยปากรับผิดว่า "ชิ่นเซียนไม่ควรพูดจาเหลวไหล..."

"ไม่หรอก บางทีที่เจ้าพูดมาอาจจะถูกแล้ว"

โหลชีกับเฉินซ่าหันมามองหน้าประสานสายตากันแวบหนึ่ง ในใจเริ่มเกิดความรู้สึกหนักหน่วงขึ้นมาบ้างแล้ว

"ไม่ต้องคิดมากแล้ว ข้าคิดว่าพวกเรากลับไปครั้งนี้ จะสามารถแก้ปัญหาความรู้สึกสับสนว้าวุ่นนี้ได้แน่" โหลชีพูด

เฉินซ่าพยักหน้ารับ

โหลชีเอาเลือดออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วสอนอิ้นเหยาเฟิงกับชิวชิ่นเซียนทำยาก่อน จัดส่วนผสมยาเรียบร้อย ก็ให้พวกเขาทำยาแล้วส่งไปให้ทุกคนกินก่อน ส่วนนางค่อยไปรักษาหมอเทวดากับวู๊วูต่อ

หมอเทวดาตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม หลังตื่นขึ้นมา เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างมันไม่เหมือนว่าเป็นร่างกายของเขาเลย แต่เมื่อเห็นว่าทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยเข็มและยันต์เลือด เขาก็แทบจะหงายหลังเป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง

"หมอเทวดา ตั้งสติหน่อย ข้ายังมีเรื่องมากมายที่ต้องมอบหมายเจ้าอยู่นะ" เวลานี้โหลชีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษไปแล้ว นางแทบจะฝืนต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ เฉินซ่ายังคงกอดนางไว้ตลอดเวลา สีหน้าหนักอึ้ง มือข้างหนึ่งยังกดลงบนไหล่ของนาง คอยเติมกำลังภายในเข้าไปในร่างของนางอย่างต่อเนื่อง

ในเวลานี้ คนอื่น ๆ ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว ต่างคนต่างถูกเขาส่งออกไปทำงานตามหน้าที่

"พระสนม..." หมอเทวดาเห็นนางในสภาพนี้ก็ตกใจจนผงะ ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเฉินซ่าพูดตัดบทกลางอากาศ

"อย่ามัวพูดจาไร้สาระ ฟังนางพูด"

เขาหุบปากฉับ โหลชีอธิบายเรื่องในช่วงสามวันข้างหน้าว่าเขาจะต้องทำอะไรบ้างแบบคร่าว ๆ ให้หมอเทวดาฟัง คนแทบจะเป็นลมล้มลงไปให้ได้แล้ว

เฉินซ่าอุ้มนางขึ้นแล้วก้าวเดินยาว ๆ ออกไปจากตำหนักยา เดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของตำหนักสอง โหลชีเพิ่งค้นพบในตอนนี้เองว่าตลอดทางที่ผ่านมา ในพระราชวังจุดไฟจนสว่างไสว ไล่จากระเบียงทางเดิน ศาลาหอชมจันทร์ สวนดอกไม้ภูเขาเทียม ล้วนจุดโคมไฟแขวนไว้ทุกที่จนทั่วพระราชวัง สะท้อนให้เห็นยามราตรีที่โชติช่วงละลานตาหาใดเปรียบ

"นี่ทำอะไรกันรึ?"นางถามอย่างแปลกใจ แต่หลังพูดประโยคนี้จบ ก็ถึงกับทำให้นางหายใจหอบน้อย ๆ ขึ้นมาเลยทีเดียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ