หนึ่งวันกับหนึ่งคืน ท้องฟ้าแจ่มใส การเดินทางปลอดภัยราบรื่น
แต่ตลอดการเดินทางไม่มีใครกล้าลดความระแวดระวังภัยแม้แต่คนเดียว รวมถึงไม่กล้าทำเสียงดังเอะอะ เนื่องจากโหลชียังไม่ตื่น ยังคงหลับลึกอยู่ตลอดเวลา
รถม้าคันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่หรูหรา ทั้งยังมั่นคงอย่างยิ่ง ข้างในปูด้วยผ้าห่มแบบหนา แต่ตลอดเส้นทางเฉินซ่ากลับโอบกอดนางไว้ คอยใช้สำลีชุบน้ำเช็ดที่ริมฝีปากของนางเป็นระยะ ๆ
ครั้งนี้ใบหน้าของนางขาวซีดไปทั้งหน้า แต่เพราะความขาว จึงยิ่งทำให้เห็นความบอบบางประณีต เขากอดนางไว้ คิดในใจอยู่ตลอดว่าทำไมนางถึงได้มีผิวที่ดีได้ขนาดนี้ ? ระหว่างที่โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน ก็รู้สึกอดใจไม่ไหวอยากจะลูบไล้อยากจะบีบจับ ตอนที่ป้อนน้ำให้นาง เขาก็มีความสุขมากที่ได้เอาปากแนบเข้าไปหา
บางทีอาจเพราะเมื่อชาติที่แล้วเขาทำความดีไว้มาก ดังนั้นพอมาชาตินี้ถึงได้มีโอกาสครอบครองผู้หญิงคนหนึ่งที่วิเศษเช่นนาง
แม้ว่าโหลชีจะหลับลึกสลบไสลอยู่ตลอดเวลา แต่ความเร็วในการเดินทางก็รวดเร็วมากเช่นกัน เนื่องจากมีเวลาไม่มาก จำเป็นต้องเร่งเดินทางอย่างต่อเนื่อง ที่นี่ไกลจากบ้านตระกูลโหลไม่น้อย
ครั้งนี้ไม่ได้พาเจ้าขาวมาด้วย วู๊วูได้แต่ขดตัวกลมอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า คอยมองดูโหลชีเป็นระยะ แต่กลับไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะเฉินซ่ากลายสภาพเป็นจอมปีศาจจอมหวงภรรยาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ยอมให้มันเข้าใกล้ได้เลยแม้แต่น้อย
ความเร็วที่ใช้เดินทางนั้นเร็วมาก หนึ่งวันหนึ่งคืนพวกเขาก็ออกห่างจากเมืองหลวงไปไกลมาก แล้วเข้าสู่เขตชายแดนของแคว้นที่กำลังขยายตัวใหม่
ที่นี่คือเมืองชายแดนที่ถูกบุกยึดโดยกองราชาอสูรเทพ แน่นอนว่าตอนนี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้าเซิ่งไปแล้ว ทั้งยังมีการส่งขุนนางของต้าเซิ่งมาที่นี่ด้วย แต่เพราะแต่ก่อน เมืองชายแดนแห่งนี้อยู่ติดกับดินแดนที่เลวร้ายอย่างทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ ดังนั้น จึงเป็นได้เพียงเมืองเล็ก ๆ เท่านั้นสภาพแวดล้อมไม่ค่อยดี ผู้คนในเมืองก็ยังไม่มีใจยอมจำนนต่อต้าเซิ่งอย่างสมบูรณ์ แม้จะพูดได้ว่าไม่ถึงขั้นต่อต้านฝ่าฝืน แต่ถ้าเป็นความหวั่นเกรงหรือหวาดกลัวนับว่ามีอยู่บ้าง ดังนั้นในตอนที่ขบวนของพวกเขาเข้าไปในเมือง ผู้คนบนท้องถนนต่างก็แยกย้ายกันหลบหนีหลีกเลี่ยง ไม่มีภาพฉากเหมือนเมืองอื่น ที่ผู้คนจะพากันเข้ามารุมล้อมเฝ้าดูด้วยความสงสัยใคร่รู้
พวกเขาต้องเร่งทำเวลา ตอนนี้เสบียงอาหารที่เตรียมมามีเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้วางแผนว่าจะหยุดอยู่ที่นี่นานนัก แค่พักผ่อนราว ๆ ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ในคณะเดินทางกลุ่มนี้มีคนเพียงสามร้อยคนเท่านั้น กองราชาอสูรเทพต่างก็เตรียมจะกลับไปยังแผ่นดินใหญ่หลงหยิน แต่อาจต้องเดินทางช้าออกไปสองวัน เพราะถึงอย่างไร ถ้าจะให้ทหารนับหมื่นวิ่งตามไปตลอดทางมันก็จะดึงดูดสายตาเกินไป อีกทั้งกองทัพใหญ่ไม่เหมาะจะเดินทัพผ่านเมือง จำต้องหลีกเลี่ยงเขตเมืองต่าง ๆ
การเร่งเดินทัพ อาจไม่แน่ว่าจะช้ากว่าพวกเขามากนัก
ขบวนคนสามร้อยคน ใช้รถเกือบยี่สิบคันกับม้าอีกหลายร้อยตัว ขนาดของขบวนนี้ก็ไม่นับว่าเล็กแล้ว เมืองชายแดนแห่งนี้ แน่นอนว่าต้องไม่มีโรงเตี๊ยมที่สามารถรองรับผู้คนและม้าจำนวนมากขนาดนี้ได้หมดในครั้งเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม ไปพักในโรงเตี๊ยมห้าแห่ง สั่งอาหารจานด่วนกับเหล้าอีกนิดหน่อย เตรียมตัวว่าหลังจากพักผ่อนและกินข้าวมื้อนี้เสร็จ ก็จะออกเดินทางต่อ
เฉินซ่าอุ้มโหลชีขึ้นไปบนห้องพักชั้นสอง
"ฝ่าบาท ข้าน้อยจะไปบอกแม่ครัวให้ทำโจ๊กใสมาให้จักรพรรดินีก่อนนะเพคะ" อิ้นเหยาเฟิงพูดขึ้น
"อื้ม ไปเอาน้ำร้อนมาอ่างหนึ่ง" ประโยคหลังเฉินซ่าหันไปพูดกับเอ้อร์หลิง ออกมาครั้งนี้พวกเขาพาสาวใช้มาด้วยน้อยมาก เดิมทีเฉินซ่าตั้งใจว่า จะพาอิ้นเหยาเฟิงกับชิวชิ่นเซียนมาแค่สองคนเท่านั้น เพราะพวกนางมีวรยุทธ์ ส่วนเรื่องดูแลรับใช้โหลชีในชีวิตประจำวันก็พอจะช่วยได้นิดหน่อย โดยเฉพาะอิ้นเหยาเฟิง นางเป็นคนที่โหลชีอบรมสั่งสอนออกมาเอง มีนางอยู่ข้างกายจึงนับว่าเป็นการดีที่สุด แต่เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงไปขอร้องโหลชีไว้นานมากแล้วว่าจะขอตามมาด้วยให้ได้ เขาคิดว่ามีเพิ่มมาอีกสองคน ก็ช่วยให้โหลชีสบายขึ้นอีกหน่อย ดังนั้นจึงยอมให้ตามมาทั้งหมดสี่คน
เอ้อร์หลิงรับคำสั่งออกไป เสี่ยวโฉวก็นำเสื้อผ้าที่จะให้โหลชีเปลี่ยนออกมาชุดหนึ่ง "ฝ่าบาท ข้าขอเช็ดตัวให้ฮองเฮาสักหน่อยนะเพคะ ฝ่าบาทจะได้พักผ่อนสักครู่หนึ่งด้วย"
เนื่องจากโหลชีไม่มีมุมมองเรื่องลำดับชนชั้นที่ชัดเจนมากนัก การเรียกแทนตัวเองของคนที่อยู่รอบตัวนางจึงค่อนข้างหละหลวม บางครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนก็จะเรียกตัวเองว่าสาวใช้ เหมือนกับอิ้นเหยาเฟิงที่ยังเป็นหน่วยศูนย์ก็จะเรียกตัวเองว่าข้าน้อย แต่บ่อยครั้งที่มักแทนตัวเองว่า "ข้า" แบบตรง ๆ
เฉินซ่าก็ไม่ได้สนใจพวกเขาในจุดนี้มากนัก อาจเป็นเพราะว่าโหลชีมีอิทธิพลอย่างลึกล้ำจนส่งผลให้ความคิดเปลี่ยนไป
"วางเสื้อผ้าลงเถอะ พวกเจ้าไปกินข้าวกันก่อน" เฉินซ่าวางโหลชีลงบนเตียง แล้วลูบไล้ใบหน้าของนางเบา ๆ
เสี่ยวโฉวตกใจจนผงะ "ฝ่าบาท แม้ว่าจะอยู่ในรถม้าตลอด แต่ก็ยังต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จักรพรรดินีบ้างนะเพคะ นางจะได้รู้สึกสบายขึ้นสักหน่อย...."
"ข้าจะเป็นคนเช็ดตัวให้นางเอง" เฉินซ่าตวัดสายตาไปมองนางแวบหนึ่ง ในดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังพูดว่า นี่เจ้าโง่ไปแล้วหรืออย่างไรกัน?
เขาแค่ไม่อยากให้เรือนร่างของโหลชีถูกใครคนอื่นได้เห็น ได้สัมผัส แม้กระทั่งผู้หญิงด้วยกันก็ไม่ได้ โอ้ ในเวลานี้เองที่เขารู้สึกว่ามุมมองบางอย่างของโหลชีนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น ไม่จำเป็นต้องมีคนรับใช้ระหว่างอาบน้ำ เรื่องเหล่านี้นางจะทำเองมาโดยตลอด
มีเส้นสีดำสามเส้นห้อยค้างอยู่บนหน้าผากของเสี่ยวโฉว แต่ใบหน้ากลับร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
นี่ฝ่าบาทช่างดีต่อจักรพรรดินีจริง ๆ ในฐานะราชาของประเทศประเทศหนึ่ง ถึงกับอาสาจะดูแลเช็ดถูให้ด้วยองค์เอง! เมื่อได้เห็นดวงตาของเฉินซ่าที่แสดงแววดูหมิ่นความฉลาดของนางเข้าไป จึงรีบค้อมกายคำนับ แล้วถอยออกจากประตูไปทันที
"หลงเอี๋ยน!"
"ท่านอาเสี่ยวโฉวต้องการให้ข้าทำอะไรรึ?" หลงเอี๋ยนที่ก็ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นมาจากมุมไหน ยื่นหน้าเข้ามาตรงหน้านาง ยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนน้อย ๆ
เมื่อครู่เสี่ยวโฉวกำลังคิดถึงภาพฉากที่เฉินซ่าเช็ดร่างกายให้โหลชีอยู่ ถูกเขาที่จู่ ๆ ก็โผล่มาตรงหน้าทำให้ตกใจจนปากอ้าตาค้าง ด้วยเหตุนั้นจึงอดไม่ไหวยื่นมือออกไปตบเพี๊ยะเข้าที่ไหล่ของเขา: "ไอ้เด็กน่าตายนี่ เดินมาเงียบ ๆ ไม่ให้ซุ่มให้เสียง!"
หลงเอี๋ยนรู้สึกน้อยอกน้อยใจขึ้นมาทันที: "ท่านอาเสี่ยวโฉว เป็นองครักษ์ลับทั้งที ถ้าเดินแล้วมีเสียงก็ไม่ผ่านเกณฑ์น่ะสิ"
"อย่ามาสำออย ข้าจะบอกเจ้าให้นะ อีกเดี๋ยวให้เฝ้าหน้าประตูไว้อย่าให้ใครเข้าไปเด็ดขาด"
เสี่ยวโฉวกลัวว่าอีกเดี๋ยวองครักษ์อวิ๋น หรือไม่ก็พวกฉงอ๋องจะมา แล้วพุ่งเข้าไปเห็นภาพฉากที่ไม่ควรเห็นเข้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ