ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 516

เรือนร่างที่เหมือนดั่งหยกขาวแสนอบอุ่นอ่อนนุ่มนี้ แทบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่งให้ได้แล้ว เขาจะปล่อยให้คนอื่นรับใช้นางได้อย่างไรกัน? นี่เป็นของเขา เป็นของเขาคนเดียว ตั้งแต่ร่างกายไปจนถึงหัวใจ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามายุ่มย่ามเด็ดขาด

แม้ว่าพวกเขาจะเคยนอนบนเตียงเดียวกันมาก่อนแล้ว ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกันไม่น้อย แต่โหลชีเคยถูกเขาเห็นหมดทุกสัดส่วนแบบนี้เสียที่ไหนกันล่ะ? ดังนั้นพูดกันตามจริง การที่เขาได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางแบบเต็มตา ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรก

แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกอาลัยอยากจะดูต่ออีกหน่อย แต่สุดท้ายเฉินซ่าก็ฝืนตัดใจ อากาศหนาวขึ้นมากแล้ว ถ้าไม่รีบสวมเสื้อผ้าเร็ว ๆ เกรงว่านางอาจโดนลมเย็นจนไม่สบายได้

รอจนเขาสวมเสื้อผ้าให้โหลชีทีละชิ้น ๆ จนเสร็จ เจ้าตัวกลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่ไหลอาบท่วมตัวแทน

เขาเปิดประตู แล้วพูดด้วยเสียงหนักอึ้งว่า"ไปยกน้ำเย็นมาถังหนึ่ง"

แม้จะมองไม่เห็นตัวคน แต่เทียนยีก็ส่งเสียงตอบรับออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่ง เพียงไม่นานถังน้ำเย็นก็ถูกส่งมาถึง เทียนยีกลับไปซ่อนตัวในมุมมืดตามเดิม ลูบ ๆ จมูกแก้เก้อ ในฐานะองครักษ์ลับของฝ่าบาท เขารู้ว่าฝ่าบาทกับจักรพรรดินียังไม่ได้ร่วมหอกัน นี่มันช่างเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจเสียจริง ฝ่าบาทคงไม่ต้องอดกลั้นจนเกิดปัญหาขึ้นมาหรอกนะ?

ครึ่งชั่วยามหลังช่วงเวลาแห่งไฟปรารถนาอันร้อนรุ่มของฝ่าบาทผ่านพ้นไป คณะเดินทางก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง เฉินซ่าอุ้มโหลชีขึ้นไปบนรถม้า ก่อนออกเดินทาง อวิ๋นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซับซ้อนแลดูยุ่งยากใจอย่างยิ่ง

"ขึ้นรถมาค่อยคุยกัน" เฉินซ่าวางโหลชีลงข้าง ๆ เอาผ้าห่มผืนบาง ๆ มาห่มให้ ส่วนตัวเองหยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วนั่งลงอ่านข้างตัวนาง

อวิ๋นขึ้นมาบนรถ พยายามควบคุมสายตาตัวเองไม่ให้หันไปมองทางโหลชี

"ฝ่าบาท อามู่......"

"ตามมาแล้วสินะ?" เฉินซ่าต่อคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ อันที่จริงการที่ไม่พาอามู่มาด้วย เหตุผลที่อวิ๋นบอกกับนางไปก่อนหน้านี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง นอกไปจากนั้นยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง อามู่ได้อธิบายในภายหลังว่าทำไมพวกนางพี่น้องถึงได้แยกจากกัน นางเล่าว่า หลังจากที่มู่หลานติดตามพ่อบุญธรรมที่ใช้แซ่มู่แห่งลัทธิสิ้นโลกีย์คนนั้นแล้ว ตัวนางเองยังได้อยู่ข้างกายพ่อกับแม่อยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าอีกสองปีต่อมาในคืนหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีนักฆ่าบุกเข้ามาถึงบ้าน นางถูกพ่อพาตัวไปซ่อนไว้ถึงรอดชีวิตมาได้ ทว่าก่อนที่พ่อของนางจะตาย เขาทำเพียงเบิ่งดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น แล้วพูดคำว่าตระกูลโหลออกมาแค่สองคำ นางจึงผลักเรื่องนี้ไปสุมไว้บนหัวของตระกูลโหล

แต่นางคนเดียวจะไปแก้แค้นตระกูลโหลได้เสียที่ไหนกัน? ครึ่งปีต่อมามู่หลานถึงตามหานางจนพบ แล้วพานางกลับไปด้วย ตอนนั้นเองนางถึงได้รู้ว่ามู่หลานได้เข้าร่วมกับลัทธิสิ้นโลกีย์แล้ว มู่หลานก็ให้นางเรียกชายคนก่อนนั้นว่าพ่อบุญธรรมด้วย แต่การใช้ชีวิตสองปีกว่า ๆ ของนางในลัทธิสิ้นโลกีย์นั้น กลับเป็นอะไรที่สบาย ๆ ผ่อนคลายไม่น้อย จากนั้นนางก็พบว่าพ่อบุญธรรมของนางไม่ใช่คนดีอะไร นางแอบเห็นเขาฆ่าสาวใช้อย่างโหดเหี้ยมไปหลายคน โดยทั้งหมดเป็นแค่เพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

นางเกลี้ยกล่อมพี่สาวให้ไปจากพ่อบุญธรรม ไปจากลัทธิสิ้นโลกีย์ แต่มู่หลานไม่ยอม อามู่จึงตัดสินใจออกไปเอง แต่นางคิดไม่ถึงว่าพ่อบุญธรรมจะถึงกับตอบตกลงทันที เขายังเปิดเผยข้อมูลให้ด้วยว่า ญาติหลายคนของแม่ของพวกนางที่มู่หลานเคยพูดให้เขาฟังก่อนหน้า ตอนนี้ไปอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าแล้ว

นางจึงมุ่งหน้าตรงไปยังทุ่งหญ้าตลอดทาง ค้นหาอยู่ที่นั่นเป็นนานสองนานก็หาไม่พบ ต่อมานางตกอยู่ในอันตราย ถูกอวิ๋นมาช่วยเอาไว้ เรื่องราวหลังจากนั้นตัวอวิ๋นก็รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งดีแล้ว

พูดแบบนี้ฟังดูแล้วก็คล้ายไม่มีจุดบกพร่องตรงไหน จุดน่าสงสัยข้อเดียวน่าจะเป็นเจ้าคนแซ่มู่คนนั้น ทำไมจู่ ๆ ถึงใจดีพูดเตือนนางว่าพวกญาติ ๆ ของนางอาศัยอยู่ในเขตทุ่งหญ้า?

ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาแฝง เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องเป็นคนที่มีความอดทนสูงอย่างยิ่ง เป็นคนที่ชอบวางแผนให้เรื่องราวมันใหญ่โต

แต่ก็ไม่ตัดประเด็นที่ว่าอามู่อาจโกหก

ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ยอมให้นางตามมาด้วย ทั้งยังเป็นการให้โอกาสนางอีกครั้ง ให้นางอยู่ในวังไปดี ๆ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาทางนี้ก็ไม่สามารถโทษนางได้ แต่ถ้านางตามมาด้วย แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นางจะเป็นคนแรกที่ถูกสงสัย.

อวิ๋นพยักหน้า มีท่าทีเหมือนอยากจะพูดแต่ก็หยุดไป

"เจ้าก็ไม่ใช่คนจำพวกอ้ำอึ้งเชื่องช้าสักหน่อย มีอะไรก็พูดมา" เฉินซ่าเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ค่อยกวาดสายตากลับมาอ่านหนังสือเล่มเล็กต่อ ทั้งหมดนั้นล้วนรวบรวมโดย ฉินซูเป่าทำการเรียบเรียงออกมาสู่สายตาผู้คนว่าด้วยขนบธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติ ไปจนถึงประเพณีสำคัญของแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ยังมีการจัดแบ่งภายในแคว้น การแบ่งกองกำลัง ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกในราชวงศ์ไปจนถึงทรัพย์สินแหล่งรายได้ ส่วนอื่นนอกเหนือไปจากนั้น ถูกเพิ่มเข้าไปโดยซวนหยวนอี้สามีภรรยา รวมถึงเรื่องของราชวงศ์ซวนหยวนบางส่วนด้วย

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แม้ว่าหลายอย่างที่พวกเขารู้ จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว แต่สิ่งที่รู้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นประโยชน์มาก

ช่วงระหว่างที่โหลชีหลับใหลอยู่ เขาอ่านหนังสือคู่มือเล่มเล็ก ๆ เล่มนี้ฆ่าเวลาอยู่ตลอด

"ฝ่าบาท ข้าน้อยเชื่อในตัวอามู่" อันที่จริงอวิ๋นอยากจะพูดแบบนี้มานานแล้ว แต่เขารู้นิสัยของเจ้านายดี ก่อนหน้านี้เขามีช่วงเวลาที่ไม่จะอาศัยความรู้สึกมาตัดสินว่าจะเชื่อใจใครสักคน อย่างน้อยที่สุดเขาต้องเห็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้

คิดไม่ถึงว่าคำพูดนี้เพิ่งจะหลุดออกไป ก็ได้ยินเฉินซ่าพูดว่า: "อื้ม ข้าเชื่อในตัวเจ้า"

อวิ๋นถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

ในรถม้าด้านหลัง อามู่จิกเสื้อตัวเองแน่น ยกผ้าม่านขึ้นมองออกไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหน้า นางรู้ว่าอวิ๋นกำลังไปขอร้องฝ่าบาทให้นางตามไปด้วย ตอนนี้นางรู้สึกกังวลไม่น้อย กลัวว่าฝ่าบาทจะยังต้องการให้นางกลับไปอยู่ดี

แต่เพราะรอตั้งนานแล้ว พี่อวิ๋นก็ยังไม่กลับมาสักที

คณะเดินทางออกจากเมืองไปแล้ว ม้าทุกตัวล้วนเป็นม้าชั้นดี วิ่งทะยานไปข้างหน้าได้รวดเร็ว เมื่อเหลียวหลังมองกลับไปก็มองไม่เห็นเมืองชายแดนแห่งนั้นแล้ว

ถนนสายหลักที่นี่ชำรุดทรุดโทรม ขาดการซ่อมบำรุงมานานแล้ว ขณะที่วิ่งไปบรรดาเศษฝุ่นเศษทรายสีเหลืองก็ปลิวว่อน อามู่มองดูครู่หนึ่งก็ปิดผ้าม่านลง แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าล้อรถสะดุดไปจังหวะหนึ่ง เกิดเสียงดัง"ปัง"ขึ้นมาเสียงหนึ่ง แล้วรถม้าทั้งคันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

"มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ" เดิมทีอามู่ก็ไม่ใช่สาวน้อยประเภทอ้อนแอ้นบอบบางอะไรอยู่แล้ว นางปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายมานาน จึงผุดลุกขึ้นแล้วเปิดม่านออกมา ตั้งใจจะไปถามคนขับรถม้าให้รู้เรื่อง

"เจ้านั่งลงดี ๆ บนถนนมีกับดัก" เดินทางหนนี้ คนขับรถม้าทั้งหมดต่างก็เป็นคนในกองราชาอสูรเทพ มีทัพใหญ่ตามหลัง แต่ยังคงส่งทหารจำนวนร้อยนายตามขบวนมา เพื่อคุ้มครองฝ่าบาท

พวกเขาผลัดกันขับรถ ทุกคนต่างได้พักผ่อนกันเต็มที่ ยืดกายเต็มความสูง ท่วงท่าสง่างามพร้อมรบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ