แต่เพียงไม่นานเฮ่อเหลียนเจี๋ยก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะเขาถึงกับอ่อนแอไร้เรี่ยวไปทั้งร่าง กระทั่งมือก็ยังยกไม่ไหว พยายามสู้รบกับเปลือกตาที่หนักอึ้ง ความง่วงโหมกระหน่ำเข้าใส่ราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดสาด จู่โจมต่อเนื่องจนแทบคุมสติไม่อยู่
"นายท่าน นายท่าน?" ชิงยีร้องเรียกสองครั้งแต่ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมา จึงรีบหันกลับมาเปิดผ้าม่านทันที ก็เห็นเฮ่อเหลียนเจี๋ยเอนกายพิงกับผนังรถหลับสนิทไปแล้ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
เขาจึงวางใจลงได้ ดึงผ้าม่านลงเพื่อกันไม่ให้ลมพัดเข้าไป แล้วหันไปพูดกับหลานยีซึ่งกำลังขับรถอยู่ว่า "นายท่านทุ่มเทใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะจับตัวท่านผู้นี้มาได้ หรือว่านายท่านคิดจะหมั้นหมายตบแต่งกับนางจริง ๆ ?"
"องค์หญิงน้อยอภิเษกกับรัชทายาทของราชวงศ์เฉินไปแล้ว นายท่านของพวกเราคู่ควรกับคนที่ดีกว่านี้กระมัง? จะต้องการผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งไปทำไมกัน? " สีหน้าของหลานยีเฉยเมยไร้อารมณ์
ชิงยีกลับกดเสียงลงต่ำแล้วพูดด้วยท่าทางลึกลับว่า "เจ้าจะไปรู้อะไร? นายท่านของพวกเราคล้ายจะมองออกว่า องค์หญิงน้อยยัง.....เป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่"
"ชิงยี อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ถ้าเจ้ายังปากไม่มีหูรูดแบบนี้อีก ระวังนายท่านจะจับเจ้าไปฝังในสุสานตระกูลซวนหยวนตรง ๆ "
"ชิ!" ชิงยีทำเสียงชิขึ้นมาเสียงหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
หนึ่งคืนผ่านไป หลังจากรุ่งสาง ในสถานที่ที่เดิมมีรถม้าจอดอยู่ เฉินซ่านั่งอยู่ในรถม้ายกผ้าม่านขึ้น แล้วกวาดสายตามองออกไป "รถม้าหนึ่งคัน คนสี่คน ไล่ตามต่อไป"
พ่อลูกซวนหยวนยังนับว่าไม่เท่าไหร่ เพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ได้นอนหนึ่งวันหนึ่งคืนพวกเขาก็ทนไหว แต่เฉินเซียงอดนอนแบบนั้นไม่ไหว แม้ว่านางจะรู้สึกกังวลมาก แต่นางต่อสู้กับความง่วงไม่ไหวจริง ๆ เวลานี้นางซบตัวหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของสามีไปได้เกือบ ๆ สองชั่วยามแล้ว จู่ ๆ ได้ยินเสียงของเฉินซ่าจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ร้องถามออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า "ไล่ตามนกอินทรีตัวนั้นทันแล้วรึ?"
"ท่านแม่ ไม่ใช่ขอรับ พวกนั้นเปลี่ยนเป็นรถม้าแล้ว" ซวนหยวนฉงโจวตอบ แต่กลับหันไปถามเฉินซ่าด้วยความสงสัย "เจ้ารู้ได้อย่างไรรึว่าเขาเปลี่ยนเป็นรถม้า?"
ขี่นกอินทรีไปจะไม่ดีกว่า ไม่เร็วกว่าหรอกหรือ?
เมื่อถามคำถามคลำทางประโยคนี้ออกไป เฉินซ่ากลับทำแค่ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร เขาหลับตาแล้วเอนตัวพิงกับผนังรถ ซวนหยวนฉงโจวเห็นว่าในที่สุดเขาก็ยอมหลับตาพักสักครู่แล้ว จึงอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้
เมื่อคืนเฉินซ่าลืมตาตื่นอยู่ตลอด บางครั้งก็เปิดม่านรถขึ้นมองออกไปข้างนอกเป็นระยะ ๆ กระทั่งจิตใจที่จะใช้ดูแลตัวเองให้พร้อมก็ยังไม่มี ถ้าหลายวันจากนี้ยังตามไม่ทัน หรือครึ่งเดือนจากนี้ก็ยังตามไม่ทัน เขาที่เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา จะต้องร่างกายทรุดโทรมจนหมดสภาพแน่
เขาหันกลับมาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกถึงจิ้งจอกม่วงขึ้นมาได้ มุมปากกระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มีเจ้าตัวเล็กนั่นตามไปแล้ว จะต้องมีร่องรอยอะไรบางอย่างหลงเหลือให้ตามต่อได้แน่ ๆ ดังนั้น เฉินซ่าถึงได้ดูมั่นใจมากขนาดนี้
แต่จะว่าไปแล้ว สามีภรรยาคู่นี้ก็ไม่เลวเลยจริง ๆ ไม่ใช่แค่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากเท่านั้น กระทั่งสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาเลี้ยงไว้ ก็ยังมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากขนาดนี้ด้วย อื้ม! หลังจากนี้ถ้าเขาคิดจะแต่งงานมีภรรยา เขาจะต้องแต่งกับคนประเภทนี้นี่ล่ะ อ่อนแอเกินไปไม่เอา
แต่ว่าบนโลกใบนี้ จะมีโหลชีสักกี่คนกันล่ะ?
อันที่จริง เฉินเซียงก็แอบรู้สึกกังวลเรื่องที่เอ้อร์หลิงเป็นกังวลอยู่เหมือนกัน นางมองไปที่เฉินซ่า ทำท่าเหมือนอยากจะพูดแต่ก็หยุดไป หันไปหาสามีแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เพราะถึงอย่างไร สามีของนางก็เป็นอารองของโหลชี
จู่ ๆ เฉินซ่าที่หลับตาอยู่ก็พูดขึ้นว่า "บนร่างกายของชีชีล้วนอาบไปด้วยยาทั้งร่าง ใครก็ตามที่แตะโดนตัวนางจะรู้สึกร่างกายอ่อนแรง ตามด้วยง่วงงุนจนต้องหลับไป"
ดังนั้น เขาจึงไม่รู้สึกกังวลกับปัญหาที่พวกนางคิดเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยต้องการจะทำอะไรกับชีชี จะต้องมีสติตื่นรู้เพื่อจะทำมันให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน อีกทั้งผงยาชนิดนั้นก็เป็นชีชีทำขึ้นด้วยตัวเอง หลังจากผล็อยหลับไปจะมองไม่ออกเลยว่าโดนพิษ ต่อให้คนคนนั้นมีพรรคพวกอยู่ก็ไม่เป็นไร พวกเขาไม่รู้อยู่แล้วว่าพิษนี้ต้องแก้อย่างไร เชื่อได้ว่าหลังจากที่ชีชีตื่นขึ้นมาแล้ว ก็คงไม่กล้าทำอะไรนาง
และเมื่อไหร่ที่โหลชีตื่นขึ้นมา เขาก็ยิ่งไม่กังวลแล้ว ความสามารถของผู้หญิงของเขา ตัวเขายังไม่รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งอีกรึ?
แต่ในความเป็นจริง การรู้ทางสติปัญญานับเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในด้านอารมณ์ความรู้สึกเขาก็ยังกังวลจนยากจะทนรับไหวอยู่ดี พูดไป นั่นก็ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นเฮ่อเหลียนเจี๋ย
ตามที่เฮ่อเหลียนเจี๋ยพูดไว้ ความห่างชั้นระหว่างแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง กับแผ่นดินใหญ่หลงหยินนับว่าต่างกันเกินไป บางทีความร้ายกาจของยาทางนั้นอาจมีฤทธิ์มากกว่ายาของทางนี้ มีความเป็นไปได้ที่อาจทำให้เขาไม่กลัวผงยาของโหลชี
นอกจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนข้างตัวของเฮ่อเหลียนเจี๋ยเป็นพวกโง่เขลา พอเห็นว่าผ่านไปหนึ่งวันแล้วก็ยังปลุกเฮ่อเหลียนเจี๋ยให้ตื่นไม่ได้ ก็รีบฆ่าโหลชีให้ตายก่อน หรือทำให้ได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงฆ่า แค่เขาคิดไปถึงเรื่องที่ว่าโหลชีอาจได้รับบาดเจ็บ หัวใจดวงนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกโยนลงไปในเตาไฟที่ร้อนจัด เจ็บปวดจนเกินจะทานทน
ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งหลบหนีอย่างดุเดือด อีกฝ่ายหนึ่งไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
ยามค่ำเวียนมาถึงอีกคืน
ชิงยีขับรถไป คิด ๆ ดูก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาจึงตบ ๆ เรียกหลานยีผู้ซึ่งเอนหลังพิงผนังรถหลับอยู่อีกด้านมาสองชั่วยามแล้ว พูดขึ้นว่า "หลานยี นี่มันผิดปกติหรือไม่? นายท่านของพวกเราเคยนอนหลับนานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?"
การนอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นี่มันต้องไม่ปกติมาก ๆ แล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยใช้ผีเสื้อตามหาลอบเข้าไปในตำหนักจิ่วเซียว เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของโหลชีย่อมจะต้องใช้พลังมากทีเดียว แล้วยังฝืนบังคับใช้กำลังภายในเพื่อควบคุมนกอินทรีอีก ทำให้สูญเสียพลังมากเกินไปจนร่างกายอ่อนล้า แต่ก็ไม่ควรจะถึงขั้นนอนหลับไปนานมากขนาดนี้
หลานยีลืมตาตื่นขึ้นมาทันที: "นายท่านยังไม่ตื่นอีกรึ?" เขากับชิงยีผลัดกันขับรถ คิดไม่ถึงว่าผ่านไปอีกสองชั่วยามกว่า ๆ แล้วเฮ่อเหลียนเจี๋ยก็ยังไม่ตื่น เวลานี้เองที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
"ใช่แล้ว เจ้าเข้าไปดูสักหน่อยสิ"
หลานยียกม่านขึ้น ผลคือได้เห็นว่าเฮ่อเหลียนเจี๋ยยังคงนอนอยู่ในท่าเอนหลังพิงผนังรถอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่มีการขยับเขยื้อนใด ๆ จึงยื่นมือออกไปเขย่า ๆ ที่ไหล่ของเขาเบา ๆ "นายท่าน?"
ท่ามกลางความสะลึมสะลือ เฮ่อเหลียนเจี๋ยได้ยินเสียงของหลานยี แม้ว่าฤทธิ์ของยาจะยังมีผลอยู่บ้าง แต่เหมือนว่าเขาจะอาศัยเจตจำนงที่ต้องการคืนสติอย่างแรงกล้า ผ่านไปเพียงครู่เดียว เขาก็สามารถลืมตาขึ้นมาได้สำเร็จ
เพิ่งจะลืมตาตื่นมา ยังรู้สึกสับสนมึนงงอยู่เล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ