ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 519

สรุปบท บทที่ 519 ผู้หญิงที่สมน้ำสมเนื้อกับเขา: ใต้ร่มยาใจ

สรุปเนื้อหา บทที่ 519 ผู้หญิงที่สมน้ำสมเนื้อกับเขา – ใต้ร่มยาใจ โดย ลิ่วเยว่

บท บทที่ 519 ผู้หญิงที่สมน้ำสมเนื้อกับเขา ของ ใต้ร่มยาใจ ในหมวดนิยายประวัติศาสตร์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

เดิมทีโหลชียังไม่ถึงเวลาที่ควรตื่น นางคำนวณเองมาแล้ว อย่างน้อยจะต้องใช้เวลาสามวันถึงจะตื่นได้ แต่นางไม่รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาสามวันตามที่คำนวณไว้ แต่เพราะอดรนทนไม่ไหว จึงขยับมือไปมาเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเรี่ยวแรงกลับมาแล้ว ก็ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า แล้วคว้าหมับเข้าที่ตัวของมันทันที

"วู๊วๆ!"

วู๊วูถูกนางทำให้ตกใจแทบตายแล้ว บวกกับเพราะเหนื่อยเกินไป ชั่วอึดใจนั้นจึงไม่ได้หลบเลี่ยง ถูกมือของนางบีบไว้จนแน่น

โชคดีที่มันส่งเสียงเร็ว เมื่อโหลชีได้ยินเสียงของมัน จึงรีบคลายแรงมือที่ใช้บีบลงทันที

"วู๊วู?"

เพราะนางหลับไปแล้วสองวัน หนึ่งวันหนึ่งคืนมานี้ไม่มีใครป้อนน้ำให้นาง ลำคอของโหลชีเวลานี้แห้งผากแสบร้อนจนแทบจะลุกไหม้เป็นควันได้อยู่แล้ว น้ำเสียงขณะที่พูดก็แหบแห้งเล็กน้อย

"วู๊ววว ๆ ๆ" มันแทบจะร้องไห้แล้วจริง ๆ ตื่นมาก็ดีแล้ว

เพียงแวบแรกที่ตื่นมา โหลชีก็สามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ได้แล้ว นางแทบจะตัดสินได้ในพริบตาเลยว่า ตัวเองไม่ได้อยู่ข้างกายเฉินซ่า! เพราะเขาไม่มีวันปล่อยให้นางนอนบนพื้นหญ้าแบบนี้แน่ ตอนนี้เริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมตามฤดูกาลก็ยังเย็นอยู่บ้าง! ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่เคยเห็นผ้าห่มผืนนี้ มันไม่ใช่ของนาง

คนรวยของที่นี่มักชอบใช้ผ้าต่วนมาตัดเย็บเป็นผ้าห่ม แต่นางให้เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงเปลี่ยนเป็นผ้าฝ้ายแท้ให้นางมานานแล้ว ผ้าฝ้ายแท้จะให้สัมผัสที่สบายที่สุด อีกทั้งเวลาสัมผัสโดนจะไม่รู้สึกเย็น ๆ แต่ตอนนี้ตัวนางกลับถูกห่อด้วยผ้าห่มที่ทำจากผ้าต่วนแทน

ยิ่งไปกว่านั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับทั้งเนื้อทั้งตัวของวู๊วูล่ะเนี่ย?

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ ก็เห็นว่าวู๊วูทำท่าเหมือนจะผล็อยหลับไป นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่าบนร่างกายของนางมียาอาบไว้ทั่วร่าง แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังผ่านการแช่น้ำยามาด้วย นี่ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อมั่นในตัวเฉินซ่า แต่มันเป็นแค่นิสัยของนาง ที่ต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ตัวเองอยู่ในสภาพพร้อมที่สุด ถ้าหากทำไม่ได้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อีกทั้งหลังจากที่นางตื่นก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที น่าจะเป็นเพราะว่านางกลืนดวงใจน้ำพุลงไป ร่างกายของนางก็แข็งแรงยิ่งขึ้นด้วย ติดอยู่แค่ว่าแม้จะฟื้นตัวแล้ว ก็ฟื้นตัวมาได้เพียงหกส่วนเท่านั้น แน่นอนว่าย่อมเทียบไม่ได้กับสภาพร่างกายตอนที่สมบูรณ์ที่สุด

นางแตะที่เข็มขัดของตัวเอง พบว่าเข็มขัดยังอยู่ดี ของทุกอย่างที่อยู่ข้างในนั้นก็ยังอยู่ดี ถึงค่อยรู้สึกโล่งใจไปได้บ้าง

แม้ว่าวู๊วูจะมีพลังวิญญาณ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง โหลชีหยิบยาแก้พิษออกมาให้มันกินแก้พิษ แล้วชี้ไปที่ผ้าห่ม: "ถูออก"

วู๊วูรีบม้วนตัวกลิ้งเกลือกไปมาบนผ้าห่มหลายตลบ ถูไถเอาเศษดินโคลนเศษใบไม้เน่าเสียทั้งหลายบนร่างกายออกจนหมด ก่อนจะกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของโหลชี ส่งเสียงร้องเรียกเบา ๆ สองครั้ง ตัดสินใจว่าจะนอนหลับให้สบายในอ้อมแขนของนางสักงีบ ตอนนี้มันน่าจะปลอดภัยแล้ว

เมื่อเห็นว่ามันผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาของโหลชีก็เป็นประกายวาบ ดูแล้วเหมือนว่าวู๊วูน่าจะไล่ตามนางมานานมาก ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่มีสภาพน่าอเนจอนาถเหนื่อยล้าอิดโรยขนาดนี้แน่ แต่นี่เป็นเพราะอะไรกัน?

นางยืนขึ้นอย่างแผ่วเบา กวาดตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ เห็นม้าที่ตายไปแล้วสองตัวนั่น กับรถม้าที่พังไปแล้วอีกหนึ่งคัน นั่นไม่ใช่รถม้าที่ใช้ในขบวนเดินทางของพวกเขา

รอบ ๆ นี้ไม่มีใครอยู่เลย มีทางเดินแคบ ๆ ที่มีลักษณะคดเคี้ยว ทอดยาวตรงขึ้นไปบนยอดเขา ส่วนจุดที่นางอยู่ตอนนี้เป็นพื้นที่ลาดต่ำเป็นแอ่งหลุม สามารถบังลมได้ ข้าง ๆ มีผงยาโรยอยู่เป็นวงกลมรอบตัว หลังจากใช้นิ้วแตะขึ้นมาบี้ดูเล็กน้อย นางก็ตัดสินได้แบบง่าย ๆ เลยว่าเป็นยาที่ใช้ป้องกันพวกแมลงพวกงู

เป็นใครกันที่พานางมาถึงที่นี่?

ถ้านางถูกคนอื่นลักพาตัวจริง ๆ เช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีคนที่เฉินซ่า รวมถึงทหารจำนวนมากขนาดนั้นสู้ไม่ได้มาปรากฏตัวขึ้น?

แล้วเฉินซ่าในเวลานี้ จะมีความรู้สึกอย่างไรบ้างนะ?

ในใจคิดเรื่องพวกนี้ไปพลาง ตัวนางก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้รถม้าคันนั้น เปิดออกดู แต่กลับไม่มีอะไรเลย

ในเวลานี้เอง นางได้ยินเสียงคนเหยียบเศษใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้น หันหลังมองย้อนกลับไปตามแนวระนาบรถม้า จึงเห็นชายหนุ่มสองคนสวมชุดสีเขียวคราม คนพวกนั้น ต่างก็เป็นคนที่นางเคยเห็นมาก่อน----

องครักษ์ทั้งสองคนของเฮ่อเหลียนเจี๋ย!

เฮ่อเหลียนเจี๋ยอย่างนั้นรึ.....

"เดินไปก่อไฟตรงนั้นแล้วกัน ม้าสองตัวนี้มีออกจะกลิ่นอยู่บ้าง อาจส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารได้" ทั้งสองคนต่างถือของไว้ในมือ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกำลังเตรียมทำอาหารกินข้างนอก

จ๊อก ๆ

ท้องของโหลชีส่งเสียงร้องราวกับตอบสนอง เสียงร้องนั้นดังสนั่นหวั่นไหว

แต่ไหนแต่ไรมา นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งท้องของตัวเองจะว่างเปล่าโหวงเหวงจนเปิดเผยตัวเองได้ขนาดนี้ เดิมทีนางคิดว่าจะซ่อนตัวเพื่อรอโอกาสเหมาะ ๆ เสียหน่อย แต่ท้องของนางดันส่งเสียงร้องจนสนั่นหวั่นไหว จากนั้น นางก็เห็นเฮ่อเหลียนเจี๋ยในชุดสีขาวกระจ่าง ดูหล่อเหลางามสง่า กำลังเดินออกมาจากป่าอีกด้าน มองมาที่นางด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยน

มีเสียงหัวเราะจาง ๆ แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา "นี่คงไม่ใช่ว่าเจ้าอยากไปตรวจดูอาการของม้าสองตัวนั้นหรอกนะ?"

โหลชีถอนหายใจเฮือก: "ถ้าข้าอยากจะขอให้ท่านอ๋องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นข้า ท่านอ๋องคงจะไม่ยอมสินะ?"

ไม่รู้ว่าทำไม เวลาที่ฟังนางพูด เฮ่อเหลียนเจี๋ยมักจะรู้สึกว่าน่าสนใจดี เดิมทีเขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยอะไรมากมายนัก แต่กลับรู้สึกชอบที่ได้คุยกับนางสักหลาย ๆ ประโยค

"ข้าก็คงหลอกสายตาตัวเองไม่ได้เหมือนกันน่ะสิ"

"ถ้าอย่างนั้นท่านอ๋องช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?" โหลชีเดินอ้อมออกมาจากหลังรถม้า ใช้มือข้างหนึ่งลูบ ๆ ที่ขนของวู๊วู ขมวดคิ้วน้อย ๆ ใช้แค่ผ้าห่มถูมันไม่สะอาดพอจริง ๆ ด้วย รอให้มันตื่นก่อน ต้องจับอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวอีกที

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจี๋ยจับจ้องไปที่วู๊วู "คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าตัวเล็กนี่จะไล่ตามมาทันจนได้"

"ไล่ตามมา?" โหลชีได้ยินคำสำคัญที่เขาพูด จึงรีบคว้ามันไว้: "เอ๋ ท่านอ๋องคงจะไม่บอกข้าหรอกนะว่า เจ้าถึงกับทำตัวเป็นโจรถ่อยที่ชิงตัวฮองเฮาของแคว้นที่ดีงามมาแบบนี้....เอ่อ! ต้องเรียกว่าโจรถ่อยสินะ?"

"ฮองเฮาของแคว้นที่ดีงาม? ไม่ใช่แคว้นต้าเซิ่งรึ?" ครั้งนี้ เฮ่อเหลียนเจี๋ยเริ่มจะตามความคิดของนางไม่ทันขึ้นมาแล้ว

นิ้วของเฮ่อเหลียนเจี๋ยจับอยู่ที่เข็มขัดของนาง แล้วสอดเข้าไปด้านในส่วนข้างขอบเอว เดิมทีตั้งใจว่าจะดึงเข็มขัดของนางออก แต่นิ้วไปสัมผัสโดนส่วนโค้งเว้าของเอวนางเข้าพอดี รับรู้ได้ถึงความนุ่มนิ่มของผิวกายผ่านทางเนื้อผ้า ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันคือเอวอันแสนบอบบางคอดกิ่วของนาง ในดวงตาของเขาพลันมีแสงสว่างวาบผ่านขึ้นมาสายหนึ่ง

ขณะที่ดึงเข็มขัดของนางออก มืออีกข้างหนึ่งกลับโอบรอบเอวของนางไปพร้อมๆ กัน

ที่แท้... มันเล็กขนาดนี้เชียว!

เอวเพรียวบางจนไม่อาจห้ามใจให้จับต้อง อีกทั้งบนร่างของนางยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ที่หอมอบอวลติดค้างอยู่ในจมูกของเขา จนเขาอดใจไม่ไหวต้องขอสูดดมกลิ่นนั้นเบาๆ

วินาทีถัดมา เขาก็รู้สึกว่ามือข้างนั้นของเขาชาหนึบ มันชาจนไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย

สิ่งนี้บีบให้เขาไม่อาจไม่ปล่อยนาง ตัวเองก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ส่วนโหลชีก็ถอยหลังออกไปสองก้าวในเวลาเดียวกัน หรี่ดวงตางดงามทรงเสน่ห์จ้องมองเขาเขม็ง

เฮ่อเหลียนเจี๋ยก้มลงมองมือตัวเอง มีรอยเลือดจาง ๆ ปรากฏบนปากแผลเล็ก ๆ รอยหนึ่ง "องค์หญิงช่างมีฝีมือนัก เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกที่สามารถบีบบังคับให้ข้าถอยได้"

โหลชีแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง: "ชมเกินไป ๆ เจ้าก็เป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรสพิษบนเล็บของข้า"

ที่ผ่านมา นางไม่เคยปล่อยให้ใครมีโอกาสประชิดตัวนางได้ขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งบนร่างของนางตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเลย จึงทำได้แค่ใช้เล็บของนางเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไม่เพราะนางเพิ่งจะเปลี่ยนเลือดจนผล็อยหลับไปนานขนาดนี้ นางย่อมไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้ามาใกล้ได้แบบนี้แน่นอน

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าเจ้าพิษเครื่องหอมนี้มันมีผลอย่างไร?"

"ได้สิ ก็ไม่ได้มีอะไรมาก ก็แค่เจ้าไม่สามารถเข้าใกล้ผู้หญิงได้เท่านั้นแหล่ะ เจ้าก็คงรู้สินะ ว่าปราณของผู้ชายกับผู้หญิงนั้นไม่เหมือนกัน ปราณหนึ่งคือหยาง อีกหนึ่งคือหยิน อืม..... แต่ถ้าเจ้าอยากจะเล่นชายรักชายก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อไหร่ที่เข้าใกล้ผู้หญิง ร่างกายของเจ้าก็จะอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง แน่นอนว่าถ้าท่านอ๋องยินดีที่จะอยู่ในสภาพอ่อนเปลี้ย แล้วปล่อยให้ฝ่ายหญิงสาวใจกล้าผู้นั้นแต๊ะอั๋งลูบคลำเล่น ก็ไม่เป็นปัญหาหรอกนะ" โหลชีพูดอย่างราบเรียบ

ชั่วขณะนั้น หลานยีพลันร้องตะโกนขึ้นอย่างโกรธเคือง: "บังอาจ! ยังไม่รีบแก้พิษให้ท่านอ๋องอีก!"

เฮ่อเหลียนเจี๋ยปรายตามองไป หลานยีจึงทำได้แค่กัดฟันกรอด แล้วถอยออกไปเงียบ ๆ

"เช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้วจริง ๆ เดิมทีข้ายังคิดอยู่ว่าจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับองค์หญิงได้แท้ ๆ เชียว " เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ มองนางด้วยสายตาที่แฝงความอบอุ่นแต่อ้างว้างสายหนึ่ง "ข้ากับองค์หญิงมีสัญญาหมั้นหมายต่อกัน"

โหลชีถึงกับหน้าดำคล้ำไปทั้งหน้า: "เฮ่อเหลียนเจี๋ย เจ้าอย่า ... "

นางยังไม่ทันพูดจบ ชิงยีก็ยกน้ำแกงเยื่อไผ่อ่อนเข้ามา "องค์หญิง นี่เป็นน้ำแกงโสมที่ท่านอ๋องสั่งให้พวกเราทำ ท่านดื่มก่อนเถอะ"

"วู๊วๆ !" เมื่อได้กลิ่นหอมเตะจมูกนั่นโชยมา วู๊วูจึงกระโดดผลุงขึ้นทันที เอียงปากเข้าไปหา แล้วกวาดเอาน้ำแกงชามนั้นลงคอไปชนิดไม่กี่คำหมดเกลี้ยง

สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจี๋ยถึงกับเปลี่ยนไปน้อย ๆ เลยทีเดียว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ