ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 520

โสมเขียว แน่นอนว่าเป็นของที่ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถมีได้อย่างจริงแท้ แม้แต่ในราชวงศ์ ก็มีเพียงองค์ชาย ท่านอ๋อง ฮองเฮา หรือไม่ก็กุ้ยเฟย ซึ่งเป็นที่โปรดปรานเท่านั้นถึงจะมี ไม่มีใครเพาะปลูกโสมเขียวขึ้นมาได้ ล้วนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่โสมเขียวป่าก็หายากมากเช่นกัน เหมือนกับโสมอายุห้าสิบปีสองต้นที่อยู่ในมือของเขา ในราชวงศ์เฮ่อเหลียนนั้นไม่มีใครที่มีมันเป็นคนที่สามอีกแล้ว

เขาใจกว้างกับนาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะโดนสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ มาหยิบชิ้นปลามันไปกินเสียได้

ชิงยีโกรธมาก ยื่นมือออกไปหมายจะจับวู๊วู โหลชีกะพริบตาพลางร้องขึ้นว่า "เฮ้ นี่เจ้าคิดจะจับหน้าอกของข้าใช่หรือไม่?"

จับหน้าอก?

ระหว่างที่ชิงยียังไม่ทันมีการตอบสนองใด ๆ เฮ่อเหลียนเจี๋ยก็คว้าเข้าที่ไหล่ของเขาแล้วลากเขาออกไปเรียบร้อย ในเวลานี้เองที่ชิงยีค่อยมีการตอบสนอง นึกได้ว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนั้นถูกโหลชีอุ้มไว้ในอ้อมแขน เมื่อครู่เขายื่นมือออกไปหามัน ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนเขายื่นมือไปที่หน้าอกของโหลชีมาก ใบหน้าของเขาถึงกับเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนทันที ไม่สิ ดำแบบมีสีแดงปนอยู่ในนั้นด้วยต่างหาก

"แม้แต่ข้าก็ยังเสียรู้นาง เจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาอะไรไปจากมือขององค์หญิงได้อย่างนั้นรึ?"

ทันทีที่ชิงยีได้ยินคำพูดนี้ ก็พลอยคิดไปว่า ท่านอ๋องคงกลัวว่าเขาจะถูกวางแผนเล่นงานอย่างนั้นสินะ? จึงทำให้ในใจรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

โหลชีพูดขึ้นว่า "มีอะไรอย่างอื่นให้กินอีกหรือไม่? ถ้าไม่มี ข้าจะไปหากินเองแล้วนะ"

หลานยีที่กำลังย่างเนื้อกับปรุงโจ๊กอยู่ส่งเสียง "ฮึ" ขึ้นมาในลำคอ

"เชิญองค์หญิงเสวยตามสบายเถอะ"

แม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เฮ่อเหลียนเจี๋ยก็ยังสง่างามแลดูสูงศักดิ์ไม่เปลี่ยน ท่าทางการเคลื่อนไหวขณะกินอาหารของเขาก็ดูดีมาก เห็นอยู่ว่าเนิบนาบ แต่กลับไม่เชื่องช้า

ทั้งโหลชีและวู๊วูต่างก็หิวสุดขีด จึงไม่มัวเกรงอกเกรงใจอะไรพวกเขาทั้งนั้น หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกกินกระต่ายไปสี่ตัว กับโจ๊กอีกสี่ชามแบบต่อเนื่องไม่มีสะดุด ดูจนทั้งชิงยีกับหลานยีถึงกับต้องเบิกตากว้าง พวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่กินเก่งขนาดนี้ แถมยังไม่อ้วนด้วย

หลังจากที่กินดื่มอิ่มหนำดีแล้ว สมองของโหลชีก็แล่นได้เร็วขึ้นมาอีกหน่อย จากประโยคที่เฮ่อเหลียนเจี๋ยพูดเมื่อครู่ ที่ว่า "รอให้เฉินซ่าตามมาจนทันก่อน" นางก็สามารถตัดสินได้ว่าเฉินซ่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไร น่าจะกำลังไล่ตามพวกเขามาตลอดทางอยู่ ส่วนเขาก็ชิงตัวนางมาจากเฉินซ่าจริง ๆ

แน่นอนว่าโหลชีย่อมไม่โทษเฉินซ่า เฮ่อเหลียนเจี๋ยเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากคนหนึ่งจริง ๆ

นางก็ไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่า เฮ่อเหลียนเจี๋ยจะมีแรงจูงใจจากความรู้สึกหลงใหลชอบพอนาง ถึงได้อยากพาตัวนางไปด้วยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางกลืนดวงใจน้ำพุลงไป เขาก็เคยบอกแล้วว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากนาง ดูเหมือนว่าที่ใดที่หนึ่งไม่ก็ด่านใดด่านหนึ่ง คงจะต้องการสรรพคุณทางยาของดวงใจน้ำพุแน่ ๆ

ถ้าอย่างนั้น ระหว่างนี้นางก็น่าจะไม่มีอันตรายอะไรเป็นการชั่วคราว อีกทั้งจากการเข้าใกล้จนประชิดตัวเฮ่อเหลียนเจี๋ยในระยะเวลาสั้น ๆ สองครั้งติดต่อกัน แม้ว่าเขาจะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนดี แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่น่ากลัว ประเภทชั่วร้ายอำมหิตอย่างแน่นอน

ทักษะและความแข็งแกร่งทางกายของนาง ยังไม่ฟื้นคืนสู่สภาพที่ดีที่สุด แค่พอจะทำให้เขาได้รับความลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังพอไหว แต่ถ้าคิดจะหลบหนีไปจากใต้หนังตาของเขานั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

ดังนั้น โหลชีจึงไม่เคยคิดจะทำเรื่องที่ต้องเปลืองแรงโดยไร้ประโยชน์

"แล้วนี่ท่านอ๋องคิดจะไปที่ไหนหรือ?" นางถามแบบไม่ใส่ใจนัก

เฮ่อเหลียนเจี๋ยเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง: "ข้าก็จะไปบ้านตระกูลโหลเช่นกัน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะไปช่วยพี่ชายของเจ้าไม่ทัน เพียงแต่ว่า ข้าแค่เปลี่ยนเส้นทางนิดหน่อย มาใช้เส้นทางที่สั้นกว่าก็เท่านั้นเอง"

มีทางลัดให้ไป ถ้าก่อนหน้านี้พวกเฉินซ่าตัดสินใจละทิ้งมัน นั่นย่อมแสดงว่าเส้นทางสายนี้จะต้องเต็มไปด้วยอันตรายแน่นอน โหลชียังจำท่าทางไม่สบายใจที่วู๊วูแสดงออกก่อนหน้านี้ได้ จะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ในหุบเขาข้างหน้านี้แน่ ๆ

แต่เพราะปลายทางยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน นางจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจแล้ว ต่อให้มีอันตรายอะไร ก็แค่บุกฝ่ามันไปตรง ๆ ก็สิ้นเรื่อง

เมื่อเห็นว่าสายตาของนางย้ายไปทางหุบเขาติดตรึง ดวงตาปรากฏแววใสกระจ่าง ไม่ได้มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย กระทั่งมองไม่เห็นความรู้สึกเป็นห่วง หรือกังวลใจต่อเฉินซ่าด้วยซ้ำ เฮ่อเหลียนเจี๋ยจึงอดรู้สึกชื่นชมนางไม่ได้

หากยึดตามคำทำนายที่ว่า ผู้ที่ได้ครอบครองหงส์จะได้ครอบครองใต้หล้าเป็นความจริง ถ้าหากนางคือหงส์ตามคำทำนายจริง ๆ ล่ะก็ ......

ถ้าเป็นนางจริง ๆ เช่นนั้นก็คงจะดีไม่น้อย

"นั่นคือหุบเขาติดตรึง ตอนนี้พวกเรายังอยู่ในเขตแดนของตงชิง หุบเขาติดตรึง องค์หญิงน้อยเคยได้ยินชื่อนี้บ้างหรือไม่?" เฮ่อเหลียนเจี๋ยรับผ้าขนหนูที่ชิงยีเอาไปต้มในน้ำร้อนแล้ว มาเช็ดไม้เช็ดมืออย่างระมัดระวัง

"หุบเขาติดตรึง? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย"

"มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า หุบเขาติดตรึงเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับบรรดาผู้หญิงที่ถูกคนรักหักหลัง พวกนางหัวใจสลายไม่หลงเหลือความหวังอะไรในชีวิต เมื่อมาถึงที่นี่ก็จะจบชีวิตตัวเองลง"

น้ำเสียงเยือกเย็นระหว่างที่เล่าเรื่องนี้ของเฮ่อเหลียนเจี๋ย ทำให้หัวใจคนฟังรู้สึกหนาวเหน็บน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา "แต่ถึงแม้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองก็จริง แต่ความคับแค้นใจที่มีต่อคนรักกลับไม่ได้สูญสลายหายไป ความคับแค้นใจเหล่านั้นจึงยังคงติดตรึงอยู่ภายในหุบเขาไม่ไปไหน รอจนหญิงสาวคนต่อไปที่เจ็บป่วยด้วยโรคช้ำรักแบบเดียวกันมาถึง ความปรารถนาที่จะไปให้พ้นจากโลกใบนี้ของนางก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้น ดังนั้น ผู้หญิงที่เข้าไปในหุบเขาติดตรึง ล้วนมีจุดจบแบบเดียวกันหมด"

เขามองนางด้วยท่าทางสงบนิ่ง แล้วพูดต่อไปว่า "นั่นก็คือตาย"

"แล้วผู้ชายล่ะ?" โหลชีถามไปพลาง ในขณะที่มือก็คว้าผลไม้ป่าขึ้นมากัดแทะไปพลาง ดูจนคิ้วของชิงยีกับหลานยีกระตุกรัวไม่หยุด

ไม่เพียงแค่กินเก่งเท่านั้น แต่ยังขวัญกล้ามากอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยเห็นแต่พวกผู้หญิงที่พอได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็ตกอกตกใจจนร้องไห้กันหมด

"แน่นอนว่าพวกผู้ชายก็ตกอยู่ในอันตรายด้วย มีบางคนที่ตายอยู่ในนั้น แต่ก็มีบางคนที่หนีรอดออกมาได้" เฮ่อเหลียนเจี๋ยตอบ

"ในเมื่อที่นี้มันอันตรายขนาดนั้นแท้ ๆ ทำไมถึงยังต้องผ่านที่นี่ให้ได้? หาทางอ้อมไปไม่ได้หรือ?"

"เพราะว่าที่นี่เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด ขอแค่ผ่านหุบเขาติดตรึงไปได้ ที่นั่นก็จะเป็นเขตพรมแดนของซีเจียงแล้ว ทั้งยังเป็นถิ่นทุรกันดารของซีเจียง แม้ว่าจะมีพวกแมลงพิษเยอะ แต่โอกาสที่จะได้พบเจอผู้ใช้คำสาปชาวซีเจียงนั้นมีน้อยมาก พอจะนับได้ว่าปลอดภัยอยู่ เดินเท้าต่อไปอีกราว ๆ สองสามวัน ก็จะพ้นจากซีเจียงไปถึงสี่แคว้น...โอ้ ไม่สิ ตอนนี้ควรจะพูดว่าห้าแคว้นของพวกเจ้าแล้ว"

ดวงตาของโหลชีเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

ที่แท้ถึงกับมีทางลัดแบบนี้อยู่ด้วย! แบบนี้มันดีมากเลยนี่ ช่วยย่นระยะเวลาที่พวกเขาจะไปถึงบ้านตระกูลโหลได้มากจริง ๆ นางก็สามารถไปพบกับพี่ใหญ่ได้เร็วขึ้นด้วย!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ