เมื่อฉันตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น โหลชีพูดไม่ออกเล็กน้อย เพราะว่าเมื่อคืนวานนางไม่รู้แม้กระทั่งเฉินซ่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่และขึ้นมานอนบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อจากนี้ไปนางก็ไม่รู้ว่านางควรจะตายอย่างไร
เฉินซ่านั่งอยู่บนเตียง จับมือข้างหนึ่งของนาง และกำลังเอามาติดกับตัวเขาเองทีละนิ้วๆ เพื่อเปรียบเทียบความสั้นยาว
"เมื่อคืนนี้ เจ้ากลับมาจากที่ใดรึ?" เมื่อเห็นว่านางตื่นแล้ว เขาจึงก้มศีรษะลงไปมองนางแล้วถาม
โหลชีชักมือกลับ ขยี้ตาไปมาแล้วพูดว่า "มาจากระเบียงทางเดินด้านนั้นไง"
"อ่อ เช่นนั้นเจ้าได้พบเจอใครหรือเรื่องอะไรบ้างไหม?"
โหลชีก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน แล้วสบตากับเขา หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วพูดว่า "นายท่าน ท่านถามข้ามาตรงๆ ก็ได้นะ ท่านหมายถึงสาวใช้ที่ตายไปแล้วคนนั้นใช่หรือเปล่า?"
"เอ๊ะ?"
"อืม ข้าเห็นแล้ว แต่ข้าไม่ได้สนใจ ก็เลยเดินจากไปเลย"โหลชีพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาว่า "ท่านคิดว่าข้าอยู่กับท่านมานานแล้ว ก็เลยมีความกล้าขึ้นมากอย่างนั้นรึ? ข้าก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน! เดิมทีข้าอยากจะไปหาใครสักคน แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นพอดี ข้าขี้เกียจกลับไปเรียก ดังนั้นข้าก็เลยทำได้แค่ไม่สนใจเขา"
"งั้นเหรอ?" มุมปากของเฉินซ่ากระตุกขึ้นเล็กน้อยจนไม่สามารถมองเห็นได้
"ใช่ ทำไมเหรอ นั่นคือใครรึ?" นางไร้เดียงสาต่อไป
"คนซีเจียง" ทันใดนั้นเฉินซ่าก็พูดขึ้นมา ตอนที่เขาพูดสามคำนี้ เขาไม่เคยพลาดเค้าที่จะส่อให้เห็นพิรุธที่อยู่บนใบหน้าและในสายตาของนางเลยแม้แต่นิดเดียว
"อย่างนี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะเป็นคนซีเจียง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ถ้าในตำหนักจิ่วเซียวไม่มีคนซีเจียงปะปนเข้ามา คำสาปของท่านก็จะไม่สามารถสำแดงฤทธิ์ออกมาได้ คาถานั้นน่ะ จะต้องใช้ตัวกระตุ้นคำสาป มีตัวกระตุ้นคำสาปจึงจะสามารถสำแดงฤทธิ์ได้"
"อืม ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง" เฉินซ่าพยักหน้าไปมาด้วยความเข้าใจ
โหลชีบิดขี้เกียจแล้วพูดว่า "ข้าหิวแล้ว ลุกขึ้นไปทานข้าวเช้ากันเถอะ!"
ณ ห้องพิพากษาในวันนี้ ฮั่วหยูฉุนก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดกับเฉินซ่าว่า "ทูลฝ่าบาท ผู้ใต้บังคับบัญชาไร้ประโยชน์ ที่ยังหาสาเหตุการตายและตัวตนที่แท้จริงของสาวใช้ที่เป็นใบ้คนนั้นไม่ได้"
เฉินซ่าส่ายหัวและพูดว่า "ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ ไม่ต้องสืบแล้ว"
"เอ๊ะ? ฝ่าบาท ทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?" ฮั่วหยูฉุนตกใจมาก
"หญิงคนนั้นเป็นสายลับจากซีเจียง และคนที่ฆ่านาง ก็เป็นคนของนางเอง" เฉินซ่าพูดอย่างเมินเฉย ปฏิกิริยาของโหลชีและคำพูดของนางตอนที่ตื่นขึ้นบนเตียงในตอนเช้าได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะยังคงไม่ยอมบอกความจริงกับเขา และยังเก็บงำเอาไว้อีก ดีมาก ดีมาก เห็นชัดๆ ว่านางเป็นคนฆ่า แล้วมาเสแสร้งกับเขา เขาเชื่อว่านางไม่อาจฆ่าคนซุ่มสี่ซุ่มห้าได้ ตอนที่คำสาปของเขาสำแดงฤทธิ์ก่อนหน้านี้ พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องมีสายลับในตำหนักจิ่วเซียวอย่างแน่นอน แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่เคลื่อนไหว พวกเขาก็ทำได้เพียงทำเป็นนิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์ ดังนั้น ภายในตำหนักจิ่วเซียวแห่งนี้ ในตอนนี้ คนที่สามารถปล่อยให้โหลชีลงมือสังหารได้ คงเป็นได้แค่สายลับคนนั้นเท่านั้น ดังนั้น ในตอนเช้าตรู่เขาพูดว่านั่นคือคนซีเจียง ก็เพียงเพื่ออยากจะยืนยันการคาดการณ์ของตัวเองเท่านั้น
นางแสร้งทำท่าทำทางเป็นคนบริสุทธิ์ แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถปิดบังเขาได้
คนคนนั้นเป็นคนที่นางฆ่า แล้วก็เป็นสายลับของซีเจียง
ถ้านางอยากเล่น เขาก็จะเล่นเป็นเพื่อนนาง ตอนนี้เขาอยากจะรู้ว่า นางยังสามารถทำอะไรได้อีกบ้างกันแน่ และยังสามารถทำให้เขาประหลาดใจและคาดไม่ถึงได้มากน้อยแค่ไหน
พวกอิงมองหน้ากัน พวกเขาต่างก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง คนของตัวเองรึ? ใครกัน? คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาตามหาสายลับอย่างเงียบ หลังจากนั้นก็สังหารอย่างเงียบๆ เช่นนี้ได้? แต่ทว่าพวกเขาอยู่กับฝ่าบาทมานานขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าในหมู่พวกเขาจะมีใครที่สามารถฆ่าคนด้วยวิธีการที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้ เช่นนั้นเขาทำได้อย่างไรกันแน่นะ? ฮั่วหยูฉุนไม่พบยาพิษหรืออาวุธลับจากตัวผู้หญิงคนนั้นเลย และบนตัวของนางก็ไม่มีรอยแผลด้วย
"นายท่าน ใครเป็นคนลงมือหรือขอรับ?" อิงอยากรู้มากจริงๆ ถ้าเป็นคนของตัวเอง เขาจะต้องไปตามหาเขาเพื่อที่จะถามให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาฆ่าคนอย่างไร ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องขาดใจตายเป็นแน่
ใครเล่าจะรู้ว่า พอเขาถามออกไปแล้ว เฉินซ่ากลับเพียงแค่เหลือบมองเขาเท่านั้น และไม่ตอบอะไร นี่มันทำให้เขาอัดอั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วจริงๆ
องครักษ์เยว่ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่
"ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเป่ยชาง เดิมทีสามารถมอบตำแหน่งพระสนมให้นางได้ แต่เมื่อคืนนี้นางได้มีการแตะต้องตัวกับยู่ไท่จื่อภายใต้สายตาของมวลชนในสวนดอกไม้แล้ว เรื่องนี้ ขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
ผู้ดูแลพิธีเข้าร่วมและคัดเลือกนางสนมยืนขึ้นมา
ผู้หญิงของฝ่าบาทของพวกเขา จะเคยถูกผู้ชายคนอื่นกอดได้อย่างไร? ถึงแม้ว่านั่นเป็นเพราะยู่ไท่จื่อได้ทำช่วยชีวิตคน แต่ก็ทำไม่ได้เหมือนกันนะ แต่องค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชางแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในนางสนมของฝ่าบาทที่พวกเขาได้กำหนดเอาไว้เป็นการภายในแล้ว ซึ่งนั่นสามารถเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ที่มีกับเป่ยชางในอีกสิบปีหรือหลายทศวรรษข้างหน้าได้ ถ้าพวกเขาไม่เก็บเป่ยฝูหรงเอาไว้ ถึงเวลานั้นหากนางได้แต่งงานกับยู่ไท่จื่อแห่งแคว้นตงชิงแล้วพวกเขาจะทำอย่างไรกันดี? เดิมทีตงชิงกับเป่ยชางต่างก็เป็นแคว้นที่ใหญ่โต ถ้าพวกเขาได้ผนึกกำลังกันอย่างแข็งแกร่ง คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพั่วอวี้เป็นแน่
อันที่จริงก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนั้นเฉินซ่าไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไร แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม พอเขาได้ฟังเรื่องเหล่านี้แล้วเขากลับรู้สึกเบื่อหน่ายมาก และยังมีอารมณ์ต่อต้านเล็กน้อย
เลือกพระสนมเหรอ? หาผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ด้วยกัน ถึงเวลานั้นก็อาจจะทะเลาะกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวได้ นอกจากนี้ พอเขาคิดถึงตอนที่จะต้องอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหลับนอนด้วย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเลย อืม แต่โหลชีได้
หลังจากที่คนถัดไปพูดอะไรขึ้นมาเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะฟังเลย แต่ฮั่วหยูฉุนที่อยู่ข้างหลังกลับพูดร้องขออย่างเขินอายเล็กน้อยและได้ดึงความสนใจของเขากลับมา
และเขาก็ได้อนุมัติคำขอนี้แล้ว
ดังนั้น ตอนที่เขากลับไป ฮั่วหยูฉุนจึงตามเขาไปที่ตำหนักสามอย่างมีความสุข พอโหลชีที่เพิ่งจะรับประทานอาหารเช้ามื้อใหญ่เสร็จได้เห็นฮั่วหยูฉุนภายในใจก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในทันที นางก็เลยรับลุกขึ้นมา แล้วพูดกับเอ้อร์หลิงโดยที่ไม่มองพวกเขาว่า "ไอ๊หยา เอ้อร์หลิง ข้ากินอิ่มมากเลย เจ้าไปเดินย่อยอาหารเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ!"
ฮั่วหยูฉุนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แม่นางโหลนี่เห็นได้ชัดว่าพอเห็นเขาเข้ามานางก็เดาจุดประสงค์ในการมาของเขาออกแล้วสินะ?
"ฝ่าบาท?"
เขาไม่กล้าเอ่ยปากเรียกนางโดยตรง เขาจึงทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ เพื่อขอร้องฝ่าบาท
"มานี่ซิ" เฉินซ่ากลับไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลย เขาเอ่ยปากเรียกโหลชีที่กำลังจะแอบหนีไปให้หยุดได้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ