ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 54

"แม่นางโหล ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?" ฮั่วหยูฉุนทำสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน เขาไม่คิดว่านี่คือผีที่โหลชีสร้างขึ้นมา เขาจึงพูดได้เพียงว่าก่อนหน้านี้พวกเขาต่างก็ละเลยสถานที่แห่งนี้ และคิดว่าไม่มาที่นี่ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า สถานที่ที่ตัวเองอยู่อย่างสงบสุขได้ซ่อนความอันตรายอย่างนี้เอาไว้เสียแล้ว และมันทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ พอนึกขึ้นได้ก็รู้สึกหนาวหลังขึ้นมาในทันที

ทหารองครักษ์ที่ตายไปแล้วคนนั้นยังคงนอนอยู่บนพื้น สถานการณ์ที่น่าเศร้านั้นทำให้ผู้คนรู้สึกจุกที่หน้าอกขึ้นมา

"หัวหน้าผู้คุ้มฮั่ว ท่านเชื่อข้าไหม?" การแสดงออกทางสีหน้าของโหลชีในตอนนี้ก็เคร่งขรึมจริงจังมากเช่นกัน นางสามารถรับประกันได้ว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้งานของนางไม่ได้ง่ายอย่างนั้น นางยังคงต้องพยายามอย่างดีที่สุดในการรักษาชีวิตคนเหล่านี้เอาไว้ เพราะว่าในตอนนี้นางได้พบว่าบนร่างกายของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีพลังหยินของหญ้าปีศาจ ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น บางทีทุกคนที่อยู่ในเรือนจำก็อาจจะมีกันทุกคนแล้วเช่นกัน

ฮั่วหยูฉุนพยักหน้าไปมาแล้วพูดว่า "หยูฉุนเชื่อแม่นางโหลอยู่แล้ว" ก็ลองดูสิว่า ก่อนหน้านี้ใต้เท้าองครักษ์เสวี่ยกับกัวเฟิ่งล้วนแต่ยืนยันอย่างแน่วแน่ว่านางเป็นสายลับ ฝ่าบาททรงกริ้วมากขนาดไหน คนที่ฝ่าบาทเชื่อถือ เขาจะไม่เชื่อถือได้อย่างไร

"งั้นก็ดี ท่านถอยออกไปหนึ่งร้อยก้าว ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาที่นี่ ให้ยืนอยู่ตรงจุดนั้น" ในขณะที่โหลชีพูด นางก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง และของสีแดงเล็กๆ ก็ถูกดีดออกมา แล้วตกลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่ง " ไปเถอะ ไปยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น หรือเห็นอะไร ท่านก็อยากขยับ รอให้ข้าตะโกนเรียกให้ท่านลงมือทำกับใครลงมือ เข้าใจแล้วใช่ไหม?"

"ใช่ ข้าเข้าใจแล้ว" ฮั่วหยูฉุนเหลือบมองไปที่ทหารองครักษ์คนอื่นๆ อีกแปดนาย แล้วพูดว่า " พวกเจ้าฟังที่แม่นางโหลพูดนะ ผู้ใดขัดขืนคำสั่งอีก จะฆ่าโดยไม่มีการให้อภัย"

ไหนเลยจะยังต้องการให้เขาสั่ง แค่องครักษ์ทั้งแปดนายเห็นจุดจบของเพื่อนคนนั้นเมื่อสักครู่นี้ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ถ้าหากพวกเขาไม่ฟังคำพูดของโหลชี จุดจบก็คงต้องเป็นเยี่ยงฉากที่อยู่ตรงหน้า

"ขอรับ"

ทั้งแปดคนขานรับเป็นเสียงเดียวกัน

โหลชีพยักหน้าไปมา แล้วพูดว่า "ดีมาก ตอนนี้พวกเจ้าตั้งใจฟังนะ ใช้ตัวเลขแทนตัวพวกเจ้า จากซ้ายไปขวา หมายเลขหนึ่งถึงแปด ฟังคำสั่งของข้า หมายเลขหนึ่ง ก้าวไปทางซ้ายสิบก้าว"

"หมายเลขสอง ถอยหลังสองก้าว แล้วก้าวไปทางซ้ายอีกสามก้าว"

"หมายเลขสาม ก้าวไปข้างหน้าหกก้าว"

"หมายเลขสี่......" โหลชียืนอยู่ในศาลา ดวงตาดำขลับและแวววาว ริมฝีปากแดงก่ำเปิดออกเล็กน้อย แล้วนางก็ออกคำสั่งต่อๆ กัน ทหารองครักษ์ทั้งแปดทยอยเดินไปยังตำแหน่งที่กำหนดและยืนนิ่งตามคำชี้แนะของนาง หลังจากนั้นทั้งหมดก็มองดูนางด้วยความงุนงง แล้วมีบางคนอดไม่ได้ที่จะถามว่า "แม่นางโหล พวกเราจะต้องทำอะไร?"

ดวงตาของโหลชีเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพูดว่า "เรื่องที่พวกเจ้าจะต้องทำ อาจเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตที่พวกเจ้าเคยพบมาจนถึงตอนนี้ ถ้าหากสามารถแบกรับมันไปได้ ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าใครอีกหลายคนเชียวล่ะ"

"งั้นถ้าไม่อาจแบกรับมันไปได้ล่ะ?"

โหลชีลู่หนังตาลง ทันใดนั้นนางก็พูดด้วยเสียงที่มีความรู้สึกเย็นชาเล็กน้อยและมีความเฉยเมยที่ทำให้ผู้คนต้องตกใจอยู่ด้วยขึ้นมาว่า "ถ้าไม่อาจแบกรับมันไปได้ ผลลัพธ์มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ"นางหยุดพูดไปชั่วขณะ แล้วจึงพูดขึ้นมาทีละคำๆ ว่า "ตาย อย่าง น่า อนาถ!"

ราวกับว่าทันใดนั้นได้มีสายลมเย็นๆ โชยขึ้นมาตามเสียงพูดของนาง อันที่จริงมันยังคงเป็นช่วงเวลาที่แสดงอาทิตย์เจิดจ้าอยู่ แต่กลับทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกว่ากำลังมีเมฆดำทะมึนแผ่ปกคลุมอยู่ ซึ่งมันทั้งมืดครึ้มและเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก

ตายอย่างน่าอนาถ

มีเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้น

ถ้าพวกเขาไม่อาจแบกรับมันไปได้ ก็คงมีเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าตกลงพวกเขาต้องแบกอะไรเอาไว้กันแน่ เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ พวกเขาจึงยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก

"กลัวซะแล้วหรือ?" โหลชีเงยหน้าขึ้นไปมองสีสันของท้องฟ้า แล้วพูดว่า "กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ในตอนนี้พวกเจ้าไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะถอนตัวออกไปแล้ว ถ้าหากไม่พยายามสู้สักตั้ง ก็จะต้องตายกันหมด ตอนนี้พวกเจ้าบอกข้ามาซิว่า กลัวหรือไม่?"

"ไม่กลัว!"

"เสียงดังๆ อีกนิดจะได้ไหม? ที่ตำหนักจิ่วเซียวไม่มีอาหารเช้าให้พวกเจ้ากินกันรึ?" โหลชีขมวดคิ้ว

"ไม่กลัว!"เสียงของทั้งแปดคนดังขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว และหน้าอกของพวกเขาก็ได้ยืดตรงขึ้นมาในเวลาเดียวกัน จะสู้แล้ว จะสู้แล้ว มีอะไรที่น่ากลัว ถ้าไม่พยายามสู้พวกเขาก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย สู้แล้วยังมีโอกาสรอดตายอยู่บ้าง มีเหตุผลอะไรที่จะไม่สู้เล่า

ในครั้งนี้โหลชีจึงรู้สึกพอใจขึ้นมาแล้ว แล้วนางก็พยักหน้าไปมาแล้วพูดว่า "มันก็ไม่ได้น่าอนาถขนาดนั้นหรอกนะ ยังมีข้าอยู่ไง"

ต่อจากนั้น ก็เห็นแต่เพียงว่านางเอามือของนางไปลูบคลำที่เอว แล้วในมือของนางก็ได้ปรากฏพู่กันด้ามหนึ่งขึ้นมา ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ใกล้กับนางที่สุดคนนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ด้ามของพู่กันด้ามนั้นสั้นกว่าด้ามพู่กันที่พวกเขาใช้กันปกติมาก ปลายพู่กันดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พู่กันขนหมาป่าอย่างที่พวกเขามักจะใช้กัน มันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ และดูเหมือนว่าจะมีแสงสีเงินลางๆ เปล่งประกายออกมาด้วย ด้ามพู่กันน่าจะเป็นหยกสีไขมันแพะชั้นดี งดงามเป็นอย่างยิ่ง

จะว่าไปก็น่าแปลกจริงๆ แค่พู่กันด้ามเดียวนี้ ก็ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้มากในทันใด เพราะพู่กันแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ธรรมดามาก นี่แสดงให้เห็นว่าโหลชีอาจจะไม่ธรรมดาจริงๆ และวรยุทธของนางก็แข็งแกร่งมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อสักครู่นี้นางก็พูดไปแล้วว่ายังมีนางอยู่ด้วย บางทีพวกเขาก็อาจจะไม่สามารถแบกรับเอาไว้ไม่ไหวก็ได้

ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า "พี่น้องทั้งหลาย หลังจากที่ทุกคนอดทนเอาไว้เพื่อข้าแล้ว และสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ ข้าขอเชิญพวกเจ้ามาดื่มด้วยกันกับข้า!"

"ตกลงขอรับ!"

"เอาล่ะ ผู้ใดทนแบกรับไม่ไหวผู้นั้นก็จะเป็นเหมือนนี่!" มีใครบางคนยกนิ้วก้อยขึ้นมา แล้วชี้ลงไปที่พื้น

"ได้!"

ทันใดนั้นความมั่นใจของทุกคนก็เพิ่มสูงขึ้น

หลังจากที่โหลชีกวาดสายตามองดูพวกเขาแล้ว มุมปากของนางก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา

นางยกแขนขึ้น แล้วนิ้วมือของนางก็หมุนวนไปมาอย่างว่องไว พู่กันด้ามนั้นได้หมุนไปมาสองสามรอบในนิ้วมือของนาง คิดไม่ถึงเลยว่าแสงและเงาสีเงินจางๆ จะปรากฏออกมาแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ