ในสายตาของฮั่วหยูฉุนและเฉินซ่า นอกจากงูหมอกสีเขียวเข้มที่อยู่ตรงในศาลาเล็กด้านนั้น และความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าและความหม่นหมองของสีท้องฟ้าแล้ว จุดที่ทหารองครักษ์ทั้งแปดนายนั้นกำลังยืนอยู่คือสถานที่ที่ไม่มีหมอกอะไร ไม่มีอะไรเลย
เพียงแค่เห็นคนพวกนั้นล้วนแต่กำลังเคลื่อนไหวแปลกๆ บ้างก็ย่ำเท้าอยู่กับที่ตลอดเวลา เหมือนกับว่ากำลังจะรีบออกเดินทาง บางบ้างก็กุมศีรษะร้องไห้เสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด บ้างก็หลับตาไม่ขยับเขยื้อนราวกับกำลังอยู่ในสมาธิ แต่บางคนกลับมีสีหน้าที่เคียดแค้นและกำลังทำท่าทางถือดาบสังหารใครบางคนอยู่ และยังมีบางคนกำลังยิ้มและน้ำตาไหลอยู่ การแสดงออกทางสีหน้าดูเหมือนจะเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
และทหารองครักษ์คนนั้นที่กรีดร้องเสียงแหลมเมื่อสักครู่นี้นิ้วมือแดงทั้งสองข้าง ทันใดนั้นเขาก็ดึงดาบพกออกมาจากเอว แล้วหมุนตัวมา และดาบที่อยู่ในมือชี้ไปที่องครักษ์อีกคน แล้วกัดฟันพูดว่า "พี่ใหญ่ อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าพี่นะ เป็นพี่ เป็นพี่ที่ฆ่าท่านแม่!"
คนที่เขาชี้ไปคือทหารองครักษ์อีกคน ไหนเลยจะเป็นพี่ชายคนโตของเขา!
นี่คือมารสินะ นี่คือภาพลวงตาสินะ!
เขากำลังถือดาบเดินไปทางทหารองครักษ์ที่กำลังยิ้มและร้องไห้อยู่คนนั้นทีละก้าวๆ และภายในดวงตาของเขาได้มีเจตนาฆ่าส่องประกายแวววับขึ้นมาแล้ว
"อู๋จื่อ! อย่าทำอะไรซี้ซั้วนะ!"
ฮั่วหยูฉุนตะโกนเสียงดังขึ้นมา แต่ทหารองครักษ์คนนั้นกลับไม่ได้ยินอะไรเลย ฮั่วหยูฉุนตะโกนใส่ทหารองครักษ์อีกคนอีกครั้งว่า "รีบหลบไป!"
ทหารองครักษ์คนนั้นยังคงยืนน้ำตาไหลอยู่ตรงนั่นอย่างเงียบๆ และไม่ขยับเขยื้อนเลย
"จะช่วยคนได้อย่างไร?" เฉินซ่าขมวดคิ้ว
"ไม่ จะขยับไม่ได้ แม่นางโหลพูดไว้แล้ว ไม่มีคำสั่งของนาง ข้าก็ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้เท่านั้น จะขยับก็ขยับไม่ได้!" ฮั่วหยูฉุนร้อนใจจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย และเขาต้องมองตาปริบๆ ดูลูกน้องเหล่านี้เกิดเรื่องขึ้นโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย แถมยังอาจจะมีการฆ่ากันเองอีก!
การตายแบบนี้มันช่างทำให้คนรู้สึกหดหู่เกินไปแล้ว!
นี่มันค่ายกลอะไรกัน ทำไมอานุภาพของมันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้! ก่อนหน้านี้เขาก็รู้เช่นกันว่าค่ายกลจะทำให้ผู้คนตกอยู่ในอาการประสาทหลอนอยู่บ้าง แต่ทว่าองครักษ์แปดคนนี้ต่างก็ยังเด็กมากและอายุต่ำกว่ายี่สิบทั้งนั้น ปกติมักจะมีบุคลิกร่าเริงสดใสเป็นมากเลยนะ พวกเขาทั้งหมดมีด้านมืดที่หนักหนาเช่นนี้ได้อย่างไร?
นี่แสดงให้เห็นเพียงว่าอานุภาพของค่ายกลนี้ทรงพลังมากเหลือเกิน ทรงพลังมากจนสามารถขยายความรู้สึกที่มืดดำให้เพิ่มมากขึ้นได้อย่างไร้ขอบเขต!
ถ้าอย่างนั้นโหลชีที่อยู่ในศาลาซึ่งสถานที่ที่มีพลังหยินมากที่สุดจะเป็นอย่างไรบ้าง?
เฉินซ่าไม่มองไปที่ทหารองครักษ์แปดคนนั้นอีกต่อไป เขาจับจ้องไปยังเงาร่างนั้นที่อยู่ในศาลาอย่างไม่วางตา ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นงูหลามยักษ์สีดำตัวนั้นกำลังอ้าปากที่ใหญ่มหึมางับลงไปที่ศาลาแล้ว สาเหตุที่เขาไม่ขยับตัว เป็นเพราะหมอกสีเขียวเข้มที่มีแสงเงาสีขาวและสีเงินจางๆ นั่นได้แฉลบผ่านอย่างรวดเร็วและนำพาปากงูนั่นมาด้วย แล้วทำให้มันอ้าออกมาเสียแล้ว
แต่ทว่าตอนนี้ หัวงูนั่นพุ่งเข้าไปในศาลาอย่างแรง ทันใดนั้นหางงูก็สะบัดขึ้นไปบนฟ้า กระแสน้ำวนสีดำขนาดใหญ่บนท้องฟ้านั่นดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างจับหางงูได้ในทันที แล้วหมอกงูเหลือมยักษ์สีเขียวเข้มนั้นก็พุ่งทะยานสูงขึ้นเป็นสองเท่าในชั่วพริบตา ร่างกายของมันก็ได้กลายเป็นสีดำและสีเขียวเข้มพันกัน!
ไม่ว่านั่นจะเป็นอะไรก็ตาม ก็สรุปได้ว่า ตอนนี้มันใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว!
ท่ามกลางบรรดาสิ่งที่มีขนาดมหึมาที่ดูชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวนี้ ร่างของโหลชีนั้นดูเล็กและเปราะบางมากเหลือเกินอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าจะสามารถถูกกลืนไปโดยง่ายอย่างไรอย่างนั้น!
ถ้าถูกหัวงูนั่นพุ่งชนเข้า นางจะเป็นอย่างไรบ้าง?
ไม่รู้ว่าหมัดของเฉินซ่ากำแน่นจนสุดชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่แย่มาก! ต้องการให้เขาอยู่นิ่งๆ และเฝ้าดูนางเป็นอะไรไปอย่านี้หรือ? นั่นมันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! เขาจะเฝ้ามองดูผู้หญิงของเขาตายไปต่อหน้าต่อตาเขาโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้แบบนี้ได้อย่างไรกัน!
"โหลชี เจ้าฟังข้านะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่านรกหรือสวรรค์ ข้าก็จะทำลายวิญญาณของเจ้าให้ดับสูญอีกครั้งอย่างแน่นอน"
เสียงที่เผด็จการ เย็นชา เหี้ยมโหดและโหดร้ายทารุณอย่างหาใดเปรียบดังเข้ามาในศาลาโหลชีแทบจะไม่ถูกประโยคนี้ทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างสุดชีวิตเลย
ทันทีที่หัวงูพุ่งเข้ามา เท้าซ้ายของนางก็ไม่ขยับเลย นางจึงหมุนเอวหนึ่งรอบ เท้าขวาของนางก็เลยเปลี่ยนตำแหน่งอีกครั้ง แล้วนางก็ได้หมุนพู่กันที่อยู่ในมือสองครั้ง จากนั้นก็จุดลงไปยังดวงตาที่อยู่บนหัวงูที่มีพลังหยินและพลังปราณของหญ้ามรณะทำให้เกิดภาพลวงตานั้นอย่างแรง!
หลังจากที่นางจุดเข้าไปที่ตาข้างหนึ่ง งูหลามยักษ์ตัวนั้นก็หายไปในทันใด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เกาะตัวกันกลายเป็นรูปร่างอื่นอย่างช้าๆ อย่างช้าๆ
โหลชียังคงนึกถึงคำพูดนั้นของเฉินซ่าเมื่อสักครู่นี้ และรู้สึกเพียงว่าอยากจะรีบพุ่งตัวออกไปกัดบนใบหน้าของเขาคำโตๆ สักหนึ่งคำมากด้วยความโมโห คนอะไรเนี่ย แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง ด้วยสถานะที่เป็นสาวใช้ของตำหนักจิ่วเซียวของนางในตอนนี้ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการตายในหน้าที่ไม่ดีหรือ ไม่พูดว่าจะจัดงานศพที่ยิ่งใหญ่ให้กับนางก็ช่างปะไร คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะทำให้นางต้องกลัวจนอกสั่นขวัญหายอีก!
แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อสักครู่นี้นางได้ยินประโยคนั้นไม่ค่อยชัดมากนัก เพียงแต่ได้ยินคร่าวๆ ว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า...ข้าก็จะทำลายวิญญาณของเจ้าให้ดับสูญอีกครั้ง...
ซึ่งนี่ก็กลายเป็นสองความหมายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในเวลาต่อมา โหลชีก็มองความดีงามต่างๆ ของเฉินซ่าด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ซึ่งเฉินซ่าก็คิดไม่ถึงเลยว่าความเข้าใจผิดในคำพูดประโยคนี้จะใหญ่โตถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ พวกเขาต่างก็ไม่มีเวลามาตั้งกระทู้กันเกี่ยวกับคำพูดประโยคนี้
เพราะว่าโหลชีตกตะลึงไปแล้ว
และเฉินซ่าก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงอย่างกะทันหันด้วยเช่นกัน
เพราะว่า งูหลามยักษ์ตัวนั้นหายไปแล้ว แล้วก่อตัวขึ้นมาใหม่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นร่างของผู้ชายที่สูงใหญ่คนหนึ่ง
มันไม่มีใบหน้า มันมีเพียงร่างกาย แต่รูปร่างที่สูงยาว ผมและเสื้อคลุมที่พลิ้วไหวนั้น และเซียวที่กำลังเกาะแน่นอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าล้วนแต่ทำให้คนจำต้องยอมรับว่า ถ้าหากนี่เป็นผู้ชายในสภาพความเป็นจริงขึ้นมาจริงๆ เขาต้องเป็นผู้ชายที่มีออร่าที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ