ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 541

พอโหลปาพูดจบ โหลชีสะบัดมือเล็กน้อย ผงยาสาดใส่พวกเสี่ยวโฉวไปทันที "พวกนางล้วนเป็นสาวใช้ของข้า ย่อมต้องคอยอยู่ข้างกายรับใช้ข้าอยู่แล้ว มีหรือเจ้านายอยู่ แต่กลับให้สาวใช้ไปพักผ่อนก่อน" ระหว่างพูดก็มองไปทางโหลปา พลางเลิกคิ้วถาม "จะว่าไป เจ้าเป็นใครกัน?"

"ข้า..." โหลปาเหมือนไม่คิดว่านางจะไม่เกรงใจถึงเพียงนี้ "ข้าคือ..."

โหลเหล่าไท่จวินอึ้งไป บอกกับโหลชีว่า "นี่คือรั่วหว่าน พี่สาวของรั่วหมิ่น ปีนี้อายุสิบเก้า ข้าคิดจะให้ย้ายชื่อนางมาเป็นลูกพ่อเจ้า ต่อไป นางจะเป็นน้องสาวแท้ๆของเจ้ากับฮ่วนเทียน"

โหลรั่วหว่าน

"รั่วหว่านคารวะพี่หญิง คารวะพี่เขย"

ตอนนี้โหลรั่วหว่านถึงยืนขึ้นมา และคารวะให้โหลชี

เฉินซ่ารั้งโหลชีเข้าอ้อมกอดตน เบี่ยงเท้าหลีกหนีการคารวะของนาง เขาขมวดคิ้วก้มหน้ามองโหลชี พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า "ไปถามพี่ชายเจ้าสิ เขามีน้องสาวที่หน้าตาสะสวยราวดอกไม้เยี่ยงนี้อยู่คนหนึ่งแล้วยังไม่พอใจ ไปคว้าพวกหน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงนี้กลับมาให้เกะกะลูกตาอีก?"

ฮะฮะ

โหลชีหลุดหัวเราะออกมาทันที

ฝ่าบาทท่านไม่ปากร้ายแบบนี้ได้ไหม ถึงโหลรั่วหว่านจะไม่ถึงกับสวยเลอเลิศอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง เป็นพวกหน้าตาอัปลักษณ์ที่ไหนกัน?

แต่ว่า ในที่สุดนางก็พบว่าจุดที่ผิดปกติของโหลรั่วหว่าน ถ้าเป็นสตรีอื่นโดนพูดแบบนี้ใส่ ไม่แค้นก็คงโกรธจัด หรืออาจจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่โหลรั่วหว่านกลับยังคงยิ้มน้อยๆ เหมือนไม่ใส่ใจกับคำพูดของเฉินซ่าเลย

มันผิดปกติจริงไหม?

นางเลยยิ่งมองสังเกตโหลรั่วหว่านมากขึ้น

โหลเหล่าไท่จวินกลับตบโต๊ะผ่าง "พูดเยี่ยงนี้ได้ไรกัน? ถึงเจ้าจะถือเป็นคนตระกูลโหลครึ่งหนึ่ง แต่เรื่องของตระกูลโหลยังไม่มีที่ให้เจ้ามาแทรกแซง!"

ฉินซูเป่าและอวิ๋นทนไม่ไหวก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เฉินซ่าโบกมือให้พวกเขาถอยไป จากนั้นพลันขยุ้มห้านิ้วเป็นกรงเล็บ กำหมัดกลางอากาศแน่น โต๊ะเล็กที่โหลเหล่าไท่จวินเมื่อครู่ตบไปสองทีพลันชำแหรกสาแหรกขาด เศษไม้ลอยกระเด็น พุ่งใส่ตัวโหลเหล่าไท่จวินและโหลรั่วหว่าน ยังมีเศษไม้บางส่วนกระเด็นเข้าหาหน้าโหลรั่วหว่าน เกิดรอยแผลบาดเล็กๆขึ้นมา แค่ความสูงหนึ่งมิล แต่โหลรั่วหว่านกลับมือกุมหน้า ถลึงตามองเฉินซ่าอย่างตะลึงและโกรธจัด

เฉินซ่าพูดเสียงเย็นว่า "ถึงเจ้าจะแก่กว่าข้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติมากร่างทำตัวเป็นผู้อาวุโสได้"

บ้า บ้าอำนาจจริงๆ

สายตาโหลรั่วหว่านจับจ้องไปที่หน้าเฉินซ่า

โหลชีค้นพบอีกครั้งว่านางไม่มีอารมณ์อะไรเลย จะว่าไป ผู้หญิงที่เห็นหน้าเฉินซ่าแล้วไม่ตกหลุมรักเขามีไม่มาก และพอเห็นเขาบ้าอำนาจขนาดนี้กลับไม่มีวี่แววตกใจตกตะลึงเลย ยิ่งน้อยขึ้นไปอีก

จากนั้นนางก็หันมองโหลเหล่าไท่จวิน นางกำลังเอามือกุมหน้าข้างที่ได้รับบาดเจ็บเพียงน้อยนิดนั่น สายตาราวกับจะฉีกเฉินซ่าออกเป็นชิ้นๆ

"เหล่าไท่จวิน..." โหลยู่เทียนมองนางอย่างเป็นห่วง

"ไสหัวพวกมันออกไป! พรุ่งนี้ค่อยมาคารวะคำนับ!"

โหลเหล่าไท่จวินลุกขึ้นยืนจากตั่งโบราณ กวักมือเรียกโหลรั่วหว่าน "รั่วหว่าน ไป!"

ระหว่างพูด ก็ลากโหลรั่วหว่านออกไปอย่างโกรธขึ้ง มองตามแผ่นหลังนางไปดูไม่เหมือนคนแก่อายุเกินหกสิบจริงๆ

โหลรั่วหว่านโดนนางลากไปถึงประตูก็หันกลับมาบอกโหลชีว่า "คืนนี้พี่หญิงคิดดูให้ดีๆเถิด พรุ่งนี้อย่าได้ยั่วโมโหเหล่าไท่จวินเยี่ยงนี้อีก..."

รอจนเสียงฝีเท้าพวกนางห่างไปไกลแล้ว ทุกคนในห้องโถงรวมถึงเฉินซ่าและโหลชี ยังคงมึนงง นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?

ทำอะไรกันน่ะ?

โหลยู่เทียนกลับโกรธมาก ชี้หน้าด่าเฉินซ่าอย่างเกรี้ยวกราด "เจ้ากล้าลงมือกับเหล่าไท่จวิน! เจ้า...."

พูดยังไม่ทันจบ กระบี่ของอวิ๋นก็พาดไปที่คอเขาแล้ว พลางพูดด้วยน้ำเสียงทะมึน "ใครให้เจ้าบังอาจพูดจาไม่เคารพฝ่าบาท?"

กระบี่ถูกกดหนักลงเล็กน้อย คอของโหลยู่เทียนมีรอยเลือดขึ้นจางๆ

โหลรั่วหมิ่นเดินเข้ามาหาอย่างร้อนใจ "พี่ชายท่านนี้โปรดยั้งมือด้วยเถิด ข้าจะให้คนพาพวกท่านไปพักผ่อนก่อน" ระหว่างพูด ก็หันไปทางโหลชีอย่างอ้อนวอน "พี่หญิงเจ็ด?"

โหลชีโบกมือเป็นเชิงให้อวิ๋นถอยไป และได้ยินเฉินซ่าส่งกระแสจิตหานางว่า "แปลก"

นางมีหรือจะไม่รู้ว่าแปลก? แต่ความแปลกนี่มันมีตั้งแต่เมื่อไหร่ เริ่มขึ้นตรงไหน นางยังรู้สึกมึนงงในสมองอยู่เลย

โหลเหล่าไท่จวินทำอย่างนี้ เพื่ออะไร?

.....

"ฉงอ๋อง ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?"

พวกฉิงเหวยต่างหันมองซวนหยวนฉงโจว รอเขาตัดสินใจ ทั้งเจ็ดคนเข้าสู่ป่าไผ่เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

ซวนหยวนฉงโจวมองป่าไผ่นี้ พอลมพัดมาใบไผ่พัดไหวเอนเล็กน้อย เงียบมาก และก็เงียบมาก เงียบจนทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ

นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมาจนบัดนี้

ถ้าเลือกได้ บางทีเขาไม่อยากพาคนพวกนี้เข้าไป แต่วู๊วูอาจจะอยู่ด้านใน ตอนนี้มีเจ็ดคนอยู่ด้านใน เขาจะละทิ้งไม่ได้

"เข้าไป"

หลังจากพูดเบาๆมาสองคำ เขาก็ขยับตัวก่อนทันที

คนที่เหลือต่างตามเขาเข้าไปอย่างไม่ลังเล

ก่อนเข้าป่าไผ่ ทุกอย่างไม่มีปัญหาเลย แต่พอพวกเขาเข้าเขตป่าไผ่แล้ว กลับพบว่าด้านหน้ามืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย

"ฉงอ๋อง?"

"พวกเจ้าก็ระวังหน่อย"

"ขอรับ"

ทุกคนต่างจับสังเกตฟังเสียงฝีเท้าเพื่อนร่วมทางข้างกายและค่อยๆเดินไปข้างหน้า

มีองครักษ์คนหนึ่งจู่ๆก็ถามขึ้นว่า "ฉงอ๋อง จุดไฟได้หรือไม่?"

ความมืดนี่มันทำให้รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ

ถึงแม้ว่าการจุดไฟจะทำให้เปิดเผยตัวตน แต่ก็ดีกว่ามืดจนมองไม่เห็นนิ้วมือแบบนี้กระมัง?

ซวนหยวนฉงโจวครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนเห็นด้วย

แต่รออยู่นานก็ยังไม่เห็นประกายไฟถูกจุดขึ้น ไม่มีเลย บางคนทนไม่ไหวเอ่ยเรียกชื่อทหารองครักษ์คนนั้น เรียกอยู่สองครั้งก่อนถาม "ทำไมไม่จุด?"

คนนั้นผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูด "จุดไม่ติด"

คนอื่นไม่เชื่อ ควักหินไฟของตนออกมา ได้ยินแต่เสียงแคร่กๆของการที่หินไฟเสียดสี แต่ไม่มีประกายไฟเลยแม้แต่นิดเดียว

ซวนหยวนฉงโจวเองก็ลองแล้ว มันแปลกมาก

ในเมื่อจุดไฟไม่ติด งั้นก็อย่ามาเสียเวลาตรงจุดนี้ "เดินต่อไป เดินเกาะกลุ่มกันไว้ อย่ากระจายกันเกินไป"

"ขอรับ"

ทุกคนขานรับพร้อมกัน

เดินคลำทางไปข้างหน้าเรื่อยๆ และยังเรียกชื่อองครักษ์เจ็ดนายนั่นเบาๆ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบกลับเลย และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว พวกเขาพลันพบว่าทางด้านหน้ามีเส้นแนวนอนที่มีแสงสีเงินจางๆ มองไม่ค่อยชัดว่าเป็นอะไร แต่คลำหาในความมืดมานานขนาดนี้ก็พอเห็นแสงจางๆ ทำให้พวกเขาต่างดีใจกันมาก

พอเข้าไปใกล้อีกหน่อย ก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่านั่นเป็นหน้าผา!"

ยาวมาก เป็นแนวขนานกับป่าไผ่นี้ แสงเงินจางๆเส้นนั้นก็แค่แสงจากท้องฟ้าที่สะท้อนแสงจันทร์

"นี่มัน..."

ซวนหยวนฉงโจวกำลังสงสัย ก็มีกองราชาอสูรเทพคนหนึ่งก้าวขึ้นหน้ามาพูดกับเขาว่า "ที่นี่เหมือนผาโทงเทียนมาก"

"อะไรนะ?" ซวนหยวนฉงโจวตกใจมาก

เขาเองก็รู้ถึงข่าวที่โหลชีได้รับ บอกว่าหยุนโยวลักลอบพบบุรุษที่ผาโทงเทียน จากนั้นก็หายสาบสูญ พวกเขาเลยคิดว่าผาโทงเทียนน่าจะอยู่ใกล้ตระกูลโหล แต่สถานที่นี้น่าจะอยู่ห่างจากตระกูลโหลมากนะ!

"ทำไมเจ้ารู้ว่าที่นี่คือผาโทงเทียน?"

กองราชาอสูรเทพคนนั้นบอก "เพราะภูมิศาสตร์ของผาโทงเทียนสูงมาก แผ่นดินใหญ่หลงหยินที่อยู่ตรงข้ามผาโทงเทียนก็เป็นหุบเขาลึกพอดี ตอนนั้นที่พวกเราไปจากหุบเขาลึกก็เคยมองเห็นผาโทงเทียนอยู่ไกลๆ!"

คิ้วซวนหยวนฉงโจวขมวดขึ้นมา "ความหมายของเจ้าคือ ผาโทงเทียนอยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่หลงหยินมากใช่หรือไม่?"

"ประมาณนั้นขอรับ!" ทหารคนนั้นเดินเข้ามา ชี้ไปที่ฝั่งกว้างใหญ่ไกลๆตรงข้าม พลางว่า "ทางนั้นก็คือแผ่นดินใหญ่หลงหยิน แต่ไม่มีทางเดินไปจากที่นี่ ภูมิศาสตร์แย่มากเลย" เขามองไปรอบๆ ชี้ไปทางด้านซ้าย "ลัทธิสิ้นโลกีย์อยู่ทางนั้น ผ่านลัทธิสิ้นโลกีย์ไปก็จะมีทางตรงเข้าแผ่นดินใหญ่หลงหยิน"

ซวนหยวนฉงโจวไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่ ถ้าผาโทงเทียนไม่ได้อยู่ใกล้ตระกูลโหล อย่างนั้นหยุนโยวมาที่นี่ได้อย่างไรกัน? พวกโหลชีกับเฉินซ่าจะรู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วผาโทงเทียนไม่ได้อยู่บริเวณรอบๆตระกูลโหล?"

หยุนโยวจะสามารถวิ่งมาที่นี่ด้วยตัวเองคนเดียว? และสามารถเห็นภูเขาประหลาดนั่นกลายเป็นป่าไผ่ และก็บุกเข้ามาในป่าไผ่โดยที่รอบๆมืดจนมองไม่เห็นนิ้วมือตัวเองได้? แต่ไม่เคยได้ยินเลยว่าหยุนโยวมีฝีมือและความกล้าเยี่ยงนี้ด้วยนี่นา!

พริบตาเดียวซวนหยวนฉงโจวรู้สึกว่าตนเหมือนจับเบาะแสอะไรได้ แต่ในตอนที่เขาจะคิดให้ละเอียด เงาดำทะมึนมหึมากลับครอบพวกเขาลงมา

"รีบถอยเร็ว!"

ซวนหยวนฉงโจวสั่งการเร่งเร็ว แต่ช้าไปแล้ว ไม่ ไม่ถือว่าช้าไป แต่เป็นเพราะเงาทะมึนนั่นใหญ่เกินไป ขอบเขตที่ครอบลงมาไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะถอยทันเลย

พอเงยหน้าขึ้นมอง มันใหญ่มาก ปากดำทะมึนที่พวกเขาเห็นตอนบ่ายกำลังกดทับพวกเขาลงมา เหมือนกับจะกลืนกินพวกเขาลงท้องในคำเดียวเลย

"ฉงอ๋องระวัง!"

เสียงบรึ้มดังขึ้น ทุกคนโดนครอบลงไป

ไหนเลยจะมีป่าไผ่อีก?

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ซวนหยวนฉงโจวสะดุ้งตื่นด้วยความหนาวเหน็บที่เสียดแทงกระดูก เขาพยายามจะลืมตาขึ้น แต่พบว่าหนังตาหนักมากราวกับมีภูเขากดทับ เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก

แต่กลับมีความหนาวเย็นยะเยือกขั้นสุดครอบงำร่างกายเขาไม่หยุด เขารู้สึกตัวเองใกล้จะเป็นน้ำแข็งแล้ว ถ้าไม่ตื่นขึ้นมาอีก ไม่ขยับตัวอีก คงได้แต่หนาวตายที่นี่

ซวนหยวนฉงโจวกัดฟันกรอด เดินกำลังภายใน และพบว่ากำลังภายในของตนเหมือนโดนแช่แข็งก็ไม่ปาน ไม่ค่อยเชื่อฟังเอาเสียเลย

ฮุ ฮุ ฮุ เขาหายใจหนักหน่วง

รอจนเขาลืมตาขึ้นอย่างตื่นเต้น หัวใจก็แทบจะกระโดดออกมานอกอก

แม่เจ้า

เบื้องหน้าเขา ระยะห่างจากเขาแค่หนึ่งธูป ห้อยโครงกระดูกโครงหนึ่ง เผชิญหน้ากับเขา พลิ้วไหวเบาๆ

ซวนหยวนฉงโจวเอียงหน้ามองเห็นชัดว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนกันแน่ พอมองเขาก็สะท้านเยือกในอก

เขานอนอยู่บนเตียงน้ำแข็ง ไม่เพียงแค่เขา มีเตียงน้ำแข็งเรียงกันยาว บนเตียงนอนอยู่หนึ่งคน ทุกคนล้วนไม่ขยับราวกับตายแล้ว แต่เขาจำได้ ข้างๆเขาเป็นคนที่เขาพามา เหนือหัวทุกคนล้วนมีโครงกระดูกห้อยอยู่ พอมองไปอีกข้างก็เหมือนกัน

ที่นอนบนเตียงน้ำแข็งข้างขวาอยู่คือฉิงเหวย ตอนนี้สีหน้าเขาซีดเผือด ดูแล้วแข็งจนใกล้ไม่ไหวแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ